ประชาธิปไตยคือเรื่องระหว่างทาง ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย(Goal)
จริงๆแล้วประชาธิปไตย ไม่ต้องการนำเป้าหมายสุดท้าย มาเป็นตัวตั้ง เพราะเรื่องระหว่างทาง ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน กรรมวิธีที่ถูกต้อง จะนำไปสู่ผลผลิตที่ดี พิธีกรรมที่ถูกต้อง จะนำไปสู่การแนบแน่นพระธรรม ของผู้ศรัทธา วาระของประชาธิปไตย จึงไม่ใช่วาระหลังการอ้างความจำเป็นของเผด็จการ (ซึ่งระบุคืนและวันที่แน่นอนไม่ได้) ประชาธิปไตย จึงไม่ใช่ผลลัพท์ของวิธีคิดแบบ Static แต่เป็นเรื่อง Dynamic หรือมีความเป็น พลวัต ซึ่งสอดคล้องกับหลักของเหตุที่ก่อให้เกิดผล ที่ต่อเนื่อง หรือหลักของอิทัปปัจจยตา เมื่อเข้าใจหลักนี้แล้ว ตระหนักแล้ว จิตใจย่อมมีแนวโน้มเบาสบาย เพราะได้รับการปลดปล่อยให้มีเสรีภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การให้เกียรติตัวเอง และการให้เกียรติคนอื่น และจะนำไปสู่ความรัก ศรัทธา และสามัคคีในหมู่เพื่อนของเราเอง คนร่วมชาติของเราเอง และ ณ วันนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ ประชาธิปไตย ไม่ใช่เรื่อง1+1 จะต้องได้ 2 เสมอไป ประชาธิปไตย ไม่ต้องการเทียบแบบบัญญัติไตรยางค์ เช่นว่า เกือบร้อยปีที่ผ่านมา ที่แนวคิดระบอบประชาธิปไตย อุบัติขึ้น ดังนั้น คงไม่ใช่จะต้องดูว่าเราจะต้องรอเวลาบวกเพิ่มขึ้น อีกเท่าไหร่ เราจึงจะได้ประชาธิปไตยที่เราต้องการตามนั้น โดยที่เราไม่ต้องออกแรงทำอะไรเลย เหมือนจะพูดว่า เวลาที่ผ่านไป เพราะดวงอาทิตย์มันขึ้น และที่ดวงอาทิตย์มันขึ้น เป็นเพราะมันอยากขึ้นของมัน โดยที่ไม่ต้องมีแรงดึงดูดในตัวเอง คงไม่ใช่อย่างนั้น เวลาเป็นเรื่องสมมุติ ไม่ใช่ความจริง.... การเอาระบอบประชาธิปไตยไปผูกไว้กับกาลเวลา...จึงเป็นเรื่องที่ผิดหลัก ผิดเกณฑ์