Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
16 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 

โยโกโซ ตอนที่ 3 ถวายตัวเป็นสนม

เช้านี้ นั่งเขียนเมล์ถึงพ่อ พร้อมกับรายงานตัวว่า เราสองคนไปไหนกันมาบ้าง แม่ถึงได้ค้นพบว่า สมองจำอะไรไม่ค่อยจะได้ นึกอยู่ตั้งนานว่า วันไหนเราไปไหน ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ไปไหนมากมาย
อย่ากระนั้นเลย เห็นทีจะต้องขยันอัพบล็อกของนู๋เร็วๆ นิ

วันแรกในเกียวโต พวกเรามีนัดเที่ยวพระราชวังเกียวโต น้านุ้ยยังเปื่อยอยู่ มา เลยได้แต่เดินมาส่งที่ป้ายรถเมล์
การเดินทางในเกียวโตนั้น สะดวกมากๆ ด้วยการนั่งรถเมล์ เพราะมีระบบที่ช่วยคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวเอ๋อๆ อย่างเรา ซ้ำยังได้ชมวิวสวยๆ เห็นชีวิตความเป็นอยู่คนญี่ปุ่นสองข้างทาง
ระบบที่ว่าเจ๋ง คือ ที่ป้ายรถเมล์ นอกจากจะมีตารางเวลารถเมล์แล้ว เค้ายังมีระบบคอมพิวเตอร์ คอยแจ้งสถานะของ รถเมล์สายที่เรารออยู่ ว่า ยังไม่มา หรือ ใกล้เข้ามาแล้วสองบล็อก หรือ กำลังจะเข้าป้าย ง่า บรรยายยากจังแหะ ต้องดูรูปปลากรอบนิ แม่ถ่ายไว้แล้วละ เด๋วรวบรัดตอนท้ายละกันนิ
ไอ้เจ้าป้ายนี้ เป็นที่โปรดปรานของนู๋มาก เดินไปป้ายรถเมล์ทีไร เป็นต้องขอทำหน้าที่ตรวจเช็ครายงานทู้กทีสิน่า...

เวลาขึ้นรถเมล์ เค้าให้ขึ้นประตูกลาง (รถมีสองประตู คือ ด้านหน้า และตรงกลางคัน ถ้าคันเล็ก ก็เป็นประตูหลัง) ถ้าต้องการถามอะไรคนขับก็ให้พูดถามก่อนขึ้นรถได้ เพราะมีสปีกเกอร์ใกล้ๆ ประตูทางขึ้น
แต่จริงๆ แล้ว แทบไม่จำเป็นต้องถามอะไรเลย เพราะแม้แต่ในตัวรถเมล์ ไม่ว่าคันเก่าหรือใหม่ จะมีมอนิเตอร์ แจ้งป้ายที่จะจอดต่อไป ยิ่งถ้าเป็นป้ายยอดฮิตของนักท่องเที่ยว ก็จะมีการแจ้งเป็นภาษาปะกิตให้ด้วย

การจ่ายตังค์ก็สะดวก และไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องเตรียมเศษให้พอดีเหมือนบ้านเราที่เมกา เค้ามีระบบหยอด สอด เสียบ อยู่ข้างๆ ตัวคนขับ เวลาจะลงก็เดินไปจ่ายค่าเสียหายที่นี่
อย่างถ้าเป็นบัตรวันเดย์พาสเหมือนของแม่ ตอนขึ้นครั้งแรกก็ต้องสอดบัตรเข้าไปด้านซ้ายสุด เพื่อให้เครื่องพิมพ์วันที่ลงในบัตร พอขึ้นครั้งต่อๆ ไป ก็แค่โชว์ให้พนักงานดู ไม่ต้องสอดเสียบแล้ว... นู๋หน่ะ พยาย๊ามจะขอเป็นคนโชว์เสียเรื่อย แม่ก็ไม่ค่อยอยากให้นู๋โชว์ เพราะส่วนใหญ่แม่จะชอบมั่วให้นู๋ขึ้นฟรี (ก็ขี้เกียจถามเป็นปะกิตให้เค้าเคียดอ่ะ) เห็นน้านุ้ยถามคอนวีเนียร์ สโตร์ ซึ่งเราซื้อบัตรรถเมล์ว่า นู๋ต้องจ่ายไหม เค้าว่า สามขวบก็น่าจะต้องจ่าย วันแรกที่เราขึ้น แม่ถามคนขับๆ ก็ส่ายหัว ไม่ต้องๆๆ หลังๆ แม่เลยขี้เกียจซัก

ส่วนคนที่จ่ายสด ก็หยอดเงินลงในช่องที่มีรูเหมือน รูหยอดเหรียญโทรสับ
แต่ถ้าใครไม่มีเศษ ก็สามารถเอาแบงก์ หรือ เหรียญใหญ่ ขอแลกเป็นเหรียญย่อยกะเครื่องได้ ซึ่งมานก็อยู่ใกล้ๆ กันตรงนั้นแล

ถึงไหนแล้วละ
อ้อ ขึ้นรถเมล์ไปถวายตัวในพระราชวัง อิอิ
ก่อนมา แม่จองการเข้าชมวังผ่านทางอินเตอร์เนตล่วงหน้า ซึ่งจองยากมาก ควรทำล่วงหน้าอย่างน้อย สี่ห้าเดือน จะได้มีสล็อตเวลาที่เราสะดวกให้เลือกเยอะๆ
รถเมล์ที่เราขึ้น เป็นสายยอดฮิตผ่านสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย จากเดิมที่นึกว่าใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง ก็กลายเป็นชั่วโมงนึง ทำให้พอลงจากรถ เราสองคนก็ต้องโกยสุดฤทธิ์ นู๋วิ่งแบบกังวลนิดๆ คงเพราะคาดว่า ยังไงๆ คุณแม่ต้องหลงสักหน่อยละเซ่
ไม่หลงคะ แต่มันสายแล้วอ่า เค้าให้ไปถึงก่อนเวลาสักสิบนาที แต่เราลงรถตอนสิบโมง แถมทางไปหน้าประตูก็ไกลโพดๆๆ โชคดี มีฝรั่งสี่คนไปสายเหมือนกัน ทำให้ไทยแลนด์ไม่เสียชื่อ เอิ้กก
พอตั้งหลักชมวังได้ นู๋ก็เริ่มบ่น ขุดมาได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ ร้อน เหนื่อย เบื่อ ไม่สนุก เอ้า นี่เลยก่ะ เชิญถ่ายรูปตามอัธยาศัย .... ได้แตะกล้องแล้ว นู๋คึกคักขึ้นมาอีก....ร้อนเหรอก่ะ เด๋วนางกำนัลพัดให้ก่ะ.... ง่า กระหายน้ำไหมเพคะ...เอ้า เชิญดื่มน้ำมะนาวเย็นๆ ก่ะ
แต่มานร้อน ตัวลวก จิงๆ อ่า
แม่ลูกตัวเปียกซ่ก
เสร็จจากชมพระราชวัง
เด่วมานะ จัดการนู๋ก่อง

เหอ เหอ กว่าจะได้กลับมาเขียนต่อ ก็กลับจากญี่ปุ่นแล้วสามวัน ครั้นจะมานั่งเขียน ก็ต้องทบทวนความจำสาหัส หุหุ

ง่า ต่อนะ
คิดว่า การเที่ยวชมพระราชวังเกียวโตไม่ค่อยคุ้ม เพราะเค้าให้ดูแต่ด้านนอก แต่ถ้าคิดว่าไหนๆ มาแล้วก็ควรชม ก็ขอแนะนำให้สำรองที่ล่วงหน้า โดยสำรองการชม พระราชวังเกียวโต และ พระราชวังเซนโต ในวันเดียวกัน เพราะวังทั้งสองอยู่ในบริเวณเดียวกัน และใช้เวลาชมแห่งละชั่วโมง โดยขอแนะนำว่า อย่าพลาดชม พระราชวังเซนโตเป็นอันขาด งามมั่กๆ แม่นู๋มรรคจองล่วงหน้าไม่ได้ วันที่ไปชมวังเกียวโต เลยแวะไปที่ออฟฟิศของทางวัง ขอจองการเข้าชมวังอื่นๆ ที่ไม่สามารถจองทางเน็ตได้
นิดส์นึง สำหรับคุณแม่ที่มีเด็กเล็ก อย่างนู๋มรรค ทางวังเค้าไม่อนุญาติให้เด็กอายุต่ำกว่าสิปแปดเข้าชม ยกเว้น พระราชวังเกียวโตคะ เดาว่า เป็นเพราะวังอื่นๆ ต้องเดินหลายโล และเค้าอาจจะกลัววัยรุ่นไม่ให้ความสนใจ เดินสะเปะสะปะ ทางเด

เสร็จจากพระราชวังก็เพิ่งสิบเอ็ดโมง แม่ลูกนั่งโอ้เอ้ ตากแอร์ในบริเวณร้านอาหารและขายของที่ระลึกของวัง อยู่นาน เพื่อคิดแผนจะไปไหนต่อดี มรรคณิชาเสนอแต่จะกลับบ้านอย่างเดียว เฮ้อ ไม่สร้างสรรเลย

ในที่สุด แม่ตัดสินใจไปวัดจินคาคูจิ หรือ วัดเงิน ซึ่งตั่วอี๊เคยบอกว่า ไม่สวยไม่คุ้ม แต่พวกเรากลับพบว่า ที่นี่น่าสนใจมาก แม้ตัววัดจะเล็กจิ๊ดเดียว และไม่ให้เข้าไปด้วย แต่บริเวณสวนโดยรอบสวยงามน่าเดินเป็นที่สุด
พอเราไปถึง แม่ต้องรีบหาห้องน้ำให้นู๋โดยด่่วน เสร็จกิจแล้ว นู๋ก็คึกคัก โพสต์ท่าแบบซุปเปอร์โมเดลตั้งหลายท่า แม่ก็กดกระหน่ำ อิอิ

แม่ให้นู๋จัดการถ่ายรูปบ่อยๆ นู๋จะชอบตอนที่เราเดินขึ้นเขาเล็กๆ แล้วยิงภาพลงไปที่ตัววัด

เสร็จจากวัดแล้ว แม่ทำมั่วนิ่ม พานู๋เดินไปวัดใกล้ๆ ซึ่งแม่ไม่รู้จริงๆ ว่า มันคือวัดอะไร แต่ได้เห็นพระพุทธรูป แม่ก็จะต้องขอเข้าไปทำความเคารพ เอาบุญเสียหน่อยนะลูก

ไหนๆ ก็มั่วมาแร้น เลยมั่วพานู๋ไปไกลถึงวัด เอ้า จำชื่อไม่ได้ แต่เป็นวัดสำคัญแหละ แม่แกล้งทำเป็นหลงทาง เพื่อเดินไปถึงวัดนี้ ตลอดทาง จะมีร้านของพวกศิลปิน โรงงานอาร์ตต่างๆ ตลอดเส้นทาง เค้าเรียก Philosopher Path ซึ่งแม่มารู้เอาภายหลัง ว่าเราไปไกลซะขนาดนั้น
แล้วสวรรค์ก็ลงโทษ เพราะวัดปิดเข้าไปชมม่ายล่าย แงๆๆ ได้ชมแต่ ด้านหน้าซึ่งช่างเค้ากำลังกวาดหินทำสวนหินอยู่

ออกจากวัด แม่เลยต้องสำนึกผิดซึือไอติมให้นู๋หม่ำเป็นการขอโทษ นู๋ดีใจใหญ่เลย สั่งไอติมสตรอเบอร์รี่ ซึ่งตลอดทริปนี้ นู๋เลือกแต่สตรอเบอร์รี่ หวานจริงจริ๊ง

เฮ้อ เหนื่อย
ถึงบ้าน น้านุ้ยดูอาการดีขึ้น ยาซูชิรีบกลับแต่วัน เพื่อสอนนู๋ทำซูชิ นู๋ตื่นเต้ลล์มั่กๆ ตั้งใจเรียนอย่างดี ชิ้นแรก ยาซูชิทำให้ดูก่อน ชิ้นต่อมานู๋ทำเอง ใส่เครื่องมากไปหน่อย คุณครูต้องมาแก้งาน ชิ้นต่อมาดีขึ้น
ทำเสร็จ ยาซูชิโหดมากกกก มีสอบด้วยอ่า ถามคำถามให้นู๋ตอบ นู๋นั่งหน้าเหว๋อหวิน ตอบม่ายล่ายคะ ยาซูชิเลยไม่ให้ประกาศนียบัตร อิอิ
นี่แหละ คนญี่ปุ่น เค้าทำอะไรก็จริงจังๆ ยาซูชิเองก็เรียนจบมาด้านซูชิโดยตรง เห็นการใช้มีด การห่อแล้วก็นับถือๆ มีบุญได้มาอยู่ใกล้ปรมาจารย์นิ
ทำเสร็จนู๋ก็เสริฟลูกค้ารายตัว โอ๊ย ขนาดพวกเราอิ่มข้าวเย็นกันแล้ว ยังไม่วายซัดกันเข้าไปคนละหลายลูก เอิ้ก
ข้าวที่เอามาห่อนั้นรสชาติดี กลมกล่อมเข้ากันกะเครื่องข้างใน ซึ่งมีอะโวคาโด ไข่หวาน ผักกาดหอม ปูอัด
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกประทับใจเกี่ยวกับอาหารการกินของญี่ปุ่น คือ อาหารทุกอย่างเรียบง่ายมากๆ อย่างน้านุ้ยหุงข้าว ให้กินกะเต้าหู้เหยาะโชยุ หรือ ซุปมิโซ หรือ แม้แต่นาเบะ ซึ่งใช้น้ำซุปจากการต้มกะคอนบุ เท่านั้น แต่รสชาติของอาหารทุกจาน เป็นรสอร่อย แบบธรรมชาติของขุนเขา สายน้ำ เมคหมอก




 

Create Date : 16 สิงหาคม 2553
2 comments
Last Update : 2 กันยายน 2553 11:56:24 น.
Counter : 1098 Pageviews.

 

เห้อๆๆอ่านแล้วสับสนแต่ยังหมายถึงยังอยู่กันดี ดีแย้วจ้า

ปล มรรคไม่อยู่ปัณณ์เลยไม่รู้จะกัดใครเลยกัดพี่ออนแทนกัีกๆๆๆ
ปล สอง ลืมแจ้งเปลี่ยนตั๋วได้แล้วนะคะ่

 

โดย: พี่ออน IP: 58.9.233.143 16 สิงหาคม 2553 12:31:00 น.  

 

แอบมาแวะเที่ยวกับมรรคและคุณแม่คร่า อากาศที่ญี่ปุ่นตอนนี้คงร้องมักๆ เลยนะคะ เห็นว่าน่าร้อนก็ร้อนเถิดเทิงทีเดียว แต่สถานที่ท่องเที่ยวคงสวยนะคะ คุณแม่อย่าลืมลงภาพให้ชมนะคร้า

 

โดย: แม่หมู (แม่หมูมหัศจรรย์ ) 28 สิงหาคม 2553 7:12:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


มรรคณิชา
Location :
Sleepless in Seattle United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีคะ
นู๋ชื่อ มรรคณิชา.... เรียกนู๋เต็ม ๆ นะคะ เพราะนู๋ไม่มีชื่อเล่นคะ ... อยากรู้จักนู๋ ก็ต้องตามไปช่วยอ่าน ช่วยคอมเม้นต์นะคะ แม่นู๋จะได้มีกำลังใจ
แก้ไขเพิ่มเติมคะ....
มีคุณน้า คุณพี่ หลายคนมักถามคุณแม่เสมอๆ ว่า "ชื่อของนู๋ แปลว่าอะไร"
บอกเลย ไม่เล่นตัว...อิอิ
มรรค มาจากคำว่า "มรรค 8" ในศาสนาพุทธไงคะ...คุณแม่คงอยากเห็นนู๋เป็นเด็กดี...แถมเวลาสะกดเป็นภาษาปะกิต คุณแม่ใช้ชื่อคุณพ่อสะกดซะเลย...งานนี้ คุณพ่อหน้าบานคะ
ส่วน ณิชา แปลว่า บริสุทธ์
พอมารวมกะ "มรรค" ชื่อนู๋เลยเก๋กู๊ดซ้า

แก้ไขเพิ่มเติม (อีก 5/29/2011)
แขกเค้ามีดาราหญิงชื่อ มานิชา คล้ายชื่อนู๋มากเลย แรกๆ แม่ก็ปลื้มหรอกนะ แต่หลังๆ ชักหวั่นไหว เพราะเพื่อนร่วมงานของพ่อชื่อนี้เปี๊ยบ เป็นตัวป่วนที่ทำคุณพ่อปรี๊ดส์บ่อยๆ

แม่พบว่า เด๋วนี้ เวลาเรียกมรรคณิชาเต็มๆ คือการทำเสียงเข้ม ในเหตุการณ์ปกติ แม่เรียกนู๋ ว่า "ลูก" "นู๋" หรือ ไม่ก็ "ชิชา" "ชา"
Friends' blogs
[Add มรรคณิชา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.