Myanmar Trip 2015 : [1] เมืองแปร






Myanmar 2015 : [1] Pyay

ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ใช้เวลา 11 วัน ลางานแบกเป้ไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านมา
ทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก พม่าและกัมพูชา ครับ
พม่านี่คือผมชอบ มีอะไรที่อยากเห็นเยอะมาก คิดว่าคงไปอีกเรื่อยๆ ถ้ามีโอกาส
ส่วนกัมพูชานี่ผมดองเค็มไว้นานแล้ว คิดว่าจะไปมาตั้งสิบปีก่อน แต่ผัดผ่อนมาเรื่อยๆ
ถือว่าเป็นประเทศเพื่อนบ้าน AEC สุดท้ายบนแผ่นดินใหญ่ที่ได้ไปเยือน
ตอนนี้ครบหมดแล้ว ต่อไปหวังว่าจะได้ออกไปประเทศที่เป็นเกาะบ้างครับ


10 มิถุนายน 2558

ค่อนข้างเหนื่อยพอสมควร เพราะผมต้องนั่งรถจากบ้านนอกเข้ามาที่ตัวเมืองเชียงใหม่
แล้วนั่งหางแดงมาเปลี่ยนเครื่องนกที่ดอนเมือง เวลากระชั้นมาก
เช็คอินเสร็จผมรีบวิ่งไปหาข้าวกินรองท้องไว้ก่อน
เครื่องดีเลย์ไปเกือบครึ่งชั่วโมง ชักใจคอไม่ค่อยดี กลัวไปถึงแล้วไม่ทันรถโดยสาร
เวลาสองทุ่มยี่สิบ ผมก็ถึงสนามบินมิงกะลาดง ตอนนั้นผมยังมีวีซ่าอยู่เลยครับ
เพิ่งมีเปิดฟรีวีซ่าเดือนสิงหาคม แหม .... รู้งี้ไปทีหลังดีกว่า ไม่ต้องเสียเงินอีกร่วมพันบาท
มองแง่บวกครับ ผมยังมีวีซ่าพม่าติดอยู่ในหนังสือเดินทางเล่มล่าสุด คลาสสิคดี อิอิ
ครั้งก่อนที่มาพม่าคือปี 2555 ครั้งนี้ผมเห็นว่าพม่าดูสดใสขึ้นตั้งแต่สนามบินเลย...




ตอนแรกผมกะจะไปเมาะละแหม่ง แต่ดูแล้วไม่ทันแน่นอน เพราะรถน้อย มีแค่วันละสองหรือสามเที่ยวต่อวัน
เลยตัดสินใจไปเมืองแปร (Pyay) ดีกว่า เพราะผมอยากเห็นเมืองโบราณศรีเกษตรมานานแล้วด้วย
ดูตารางรถแล้ว มีถึงดึกดื่น นั่งแท็กซี่ไปขนส่งอ่องมิงกะลาครับ
ก็ต่อรองกันตามธรรมเนียม จบลงที่ 6,000 จ๊าต แต่สุดท้ายแล้วก็ให้เพิ่มไปอีก
เพราะอย่างที่(อาจจะ)รู้ๆ กันว่าแท็กซี่เมืองพม่านั้น ค่อนข้างเป็นกันเอง และให้ความช่วยเหลือจนถึงที่สุด

รถที่ไปแปรกำลังจะออกพอดี ตอนนั้นเกือบสี่ทุ่มแล้ว
เด็กรถบอกผมว่าไม่ต้องเอากระเป๋าใส่ใต้ท้องรถ หิ้วขึ้นไปเลย
ค่ารถ 5,000 จ๊าตครับ ประมาณร้อยห้าสิบบาท สภาพรถดีกว่าที่เคยขึ้นมาครั้งก่อนๆ มาก
แอร์เย็นจนหนาว ผมนอนไม่ค่อยหลับเพราะรู้แก่ใจว่ารถคันนี้ไม่ได้มีจุดหมายปลายทางที่เมืองแปร
แต่ต่อไปอีกไกล แค่จะจอดให้ลงเท่านั้น กลัวหลับยาว เลยกระสับกระส่ายดู Google Map เป็นระยะๆ



เกือบตีหนึ่ง รถจอดพักรับประทานอาหารที่เมือง Tharawaddy เพิ่งได้ครึ่งทางเองครับ
เพราะรถจอดมาเป็นระยะๆ ตามเมืองที่ที่ผ่าน
ผมไม่ได้กินอะไร นึกเป็นกังวลว่าไปถึงเมืองแปรแล้วจะนอนไหน มันยังเช้าอยู่มาก
แต่ผมได้ข้อมูลและคำแนะนำมาจากคุณ เนเฟอร์ตีติ (Neffertitii) จากโต๊ะ Blue Planet
ทั้งเรื่องเที่ยวรถและที่พักไว้กันเหนียว และก็ได้ใช้จริงๆ ต้องขอบพระคุณคุณเนเฟอร์ตีติมากๆ ครับ



ตีสามนิดๆ ผมตื่นตัวขึ้นมาอีกหน่อยเมื่อรถเข้าเขตเมือง เห็นป้ายชื่อเมืองแปรแว่บๆ
พี่คนที่ยืนคุยกับคนขับที่หน้ารถตลอดเวลา ก็เรียกผมให้ไปนั่งเบาะหน้า บอกว่าใกล้ถึงแล้ว
คือเขาจะจอดให้ลงแล้วรถไปต่อทันที
ตีสามครึ่ง ก็ถึงวงเวียนกลางเมืองที่มีอนุสาวรีย์นายพลอองซาน แบบที่เคยเห็นในกระทู้
ผมขอบคุณคนขับและพี่คนนั้นก่อนจะหิ้วเป้ลงจากรถ



ตอนแรกกะจะรอให้เช้าแล้วค่อยไปหาที่พัก แต่ลืมคิดไปว่าเวลาที่พม่าช้ากว่าบ้านเราครึ่งชั่วโมง
ตอนนั้นเพิ่งจะตีสาม มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างกับสามล้อจอดตรงนั้นอย่างละคัน
พี่หน้าแขกเข้ามาพูดคุย ผมก็..เอาไงดีวะ ได้ข่าวว่าโรงแรมที่เมืองนี้แพงด้วย
คืนนึงอย่างต่ำก็ 35 US$ เห็นท่าจะไม่ค่อยดี เดี๋ยวจะเกินงบไป
เลยให้บังคนนั้นพาไปร้านกาแฟก่อน แล้วค่อยคุยกัน
ระหว่างทางผ่านเจดีย์ชเวซานดอว์ ผมยิ้มออก เหมือนเพิ่งนึกได้ว่่ามาถึงแล้วเมืองแปร
ร้านกาแฟอยู่ไม่ไกลจากวัดครับ ดื่มไปคุยไป ผมไม่ได้ถามชื่อบังมอไซค์คนนั้น แต่ก็เลี้ยงข้าวแกนะ
ทั้งข้าวทั้งกาแฟ แค่พันจ๊าตเอง บังถามผมว่าจะไป Smile Hotel โรงแรมยอดนิยมไหม
แต่่ผมคิดไปคิดมา กะนอนแค่คืนเดียวเอง ถ้าไปนอนสไมล์ก็ต้องจ่ายอีกเป็นพัน
ไม่เอาดีกว่า ตามรอยคุณเนเฟอร์ฯ ไปนอนเกสต์เฮ้าส์บ้านๆ แบบ Pangaba จ่ายน้อยๆ เพลย์เซฟไว้ก่อน
บังก็รู้ัจักดีครับ ผมเลยตกลงใช้บริการแกช่วงกลางวัน เหมาไปเที่ยววัดหลวงพ่อสวมแว่น กับอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเกษตร



คุณลุงเจ้าของโดนพวกเราปลุกครับ แกงัวเงียมาเปิดประตูให้ แต่ก็ไม่หน้าบูดหน้างออะไร
ผมนัดบังมอเตอร์ไซค์ 9 โมงเช้า คุณลุงพาผมขึ้นชั้น 2 ก่อนจะเข้าห้องพัก ก็พาแวะห้องพระ ไหว้พระกับนัตประจำบ้านก่อน
บอกว่าไม่มีลูกค้าคนอื่นเลย มีแต่ผมคนเดียววันนั้น

สภาพห้องก็อย่างที่เห็นนี่แหละครับ ผมเคยเห็นรูปมาแล้วเลยไม่แปลกใจอะไร แต่ไม่สกปรกนะ ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน หอมเชียว
ลูบๆ ดูก็รู้ว่าซักมาใหม่ๆ ส่วนห้องน้ำอยู่ข้างนอก เป็นทั้งห้องน้ำและที่อาบน้ำ ไม่ได้ถ่ายรูปมาหรอกนะครับ
ไม่งดงามน่าดูหรอกเป็นห้องน้ำแบบที่ใช้ในบ้านคนธรรมดาๆ นี่แหละ น้ำร้อนก็ไม่มีให้อาบ แต่ผมเฉยๆ นะ เพราะอากาศร้อนจะตายไป
การเดินทางที่ผ่านมาผมเคยเจอห้องพักสภาพแย่กว่านี้มาแล้ว
ห้องคืนละพันที่ Galle ศรีลังกาไงครับ ทั้งเหม็น ทั้งยุง ทั้งห้องน้ำสุดสยอง เทียบกันแล้ว ที่นี่ดีกว่าร้อยเท่าครับ



กะจะพักผ่อนเอาแรงหน่อย แต่นอนไม่หลับเพราะมีเรื่องเศร้าเกิด
ระหว่างผมตามลุงไปดูห้องน้ำ ได้ยินเสียงดังโครมในห้อง กลับไปดูพบว่ากระเป๋ากล้องผมร่วงจากโต๊ะหัวเตียงคร้าบบ
ซวยเลย เมื่อกี้ตอนเปิดกระเป๋าควักพาสปอร์ตให้ลุง ไม่ได้ปิดด้วย กล้องคว่ำหน้านิ่งอยู่ นึกว่าไม่เป็นไร
ที่ไหนได้ เลนส์มุมกว้างที่ติดกล้องอยู่ พังครับ โฟกัสไม่ได้เลย ทริปนี้ผมเลยต้องใช้เลนส์ 18-135 ยาวไปถึงเขมรด้วยความช้ำใจ
แต่ตอนนี้ wide ซ่อมแล้วล่ะครับ อิอิ



สรุปว่าผมรอจนสว่างจึงอาบน้ำแต่งตัวลงมา คุณป้าที่น่าจะเป็นภรรยาคุณลุงเจ้าของบ้าน เรียกให้ทานอาหารเช้า
ตอนแรกผมคิดว่าคุณลุงคิดราคาผมสองคืน แต่จริงๆ แค่คืนเดียวครับ 7,000 จ๊าต ได้อาหารสองมื้อด้วยนะ ใจดีมากครับ



ผมตกลงราคากับบังมอเตอร์ไซค์ที่ 16,000 จ๊าต (ประมาณห้าร้อยบาท)
ราคานี้รวมตั้งแต่พาผมไปกินกาแฟ พามาส่งเกสต์เฮ้าส์ วัดหลวงพ่อใส่แว่น ชเวเมี๊ยะมัน
และอุทยานฯ ศรีเกษตร คือทั้งวันแหละครับ





นั่งซ้อนท้ายย้อนไปตามทางเข้าเมืองที่ผมผ่านมาเมื่อคืน ราวครึ่งชั่วโมงก็ถึงครับ วัดหลวงพ่อโตสวมแว่น Shwe Myatmahn



พระพุทธรูปที่เห็นแต่ในภาพถ่าย ได้มาเห็นต่อหน้า กราบสิครับ







ในตู้กระจกมีแว่นอยู่ ไม่แน่ใจว่าเป็นแว่นขาเดิมของหลวงพ่อ หรือแว่นสำรองนะครับ
แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นแว่นเดิม





ย้อนกลับทางเดิม เพื่อไปชมอุทยานประวัติศาสตร์มรดกโลกศรีเกษตร เมืองโบราณของชาวพยู
หนึ่งในชนเผ่าดั้งเดิมของพม่าครับ ผ่านป้ายชื่อเมืองแปรที่เห็นเมื่อเช้ามืด
เหนือป้ายยังมีประติมากรรมหงส์ตัวเมียเกาะหลังหงส์ตัวผู้อยู่ เพราะเมืองแปรอยู่ในแคว้นพะโค (Bago Division)
หงส์คู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของพะโคนะครับ พบเห็นได้ตลอดเวลาที่อยู่ในเขตนี้





ศรีเกษตรอยู่ห่างไปทางเหนือกว่า 14 กิโลเมตร คนละทางกันเลย
ผ่านวงเวียนนายพลอองซาน ผมเลยให้บังจอดกินข้าวก่อนครับ กินข้าวผัดจืดๆ กับน้ำพริกงาปิจ่อเผ็ดๆ
แล้วไปต่อ...เข้าอุทยานแล้วแวะพิพิธภัณฑ์ก่อนครับ ค่าเข้าชมโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์อย่างละ 5,000 จ๊าตครับ
เขาไม่บังคับหรอกนะ จะเลือกชมอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แต่ผมดูหมดครับ ไหนๆ ก็มาแล้วนี่
พิพิธภัณฑ์ไม่ใหญ่นะครับ ของมีให้ดูไม่เยอะ



















ออกจากพิพิธภัณฑ์ก็ไปดูโบราณสถานกันต่อ ระหว่างทางเจอเด็กๆ เก็บดอกบัว น่ารักดีครับ
เริ่มจาก บอว์บอว์จี Bawbaw Gyi Pagoda








แล้วต่อด้วยเจดีย์ต่างๆ สุสานราชินี ปิดท้ายที่เจดีย์พะยาจี ที่อยู่นอกเขตเมืองเก่า เพราะผมทนร้อนจนทนไม่ไหวเลยกลับก่อน







จริงๆ ผมถ่ายรูปโบราณสถานมาเยอะมากครับ แต่คงลงหมดไม่ไหว
ที่คิดว่าเหมารถมอเตอร์ไซค์เที่ยวทั้งวัน สุดท้ายก็ถึงแค่บ่ายสามโมง
ก่อนกลับที่พัก ผมให้บังพาไปตัดผม 800 จ๊าตครับ
ถึงเกสต์เฮ้าส์ก็อาบน้ำ หลับไปเลยด้วยความเหนื่อยอ่อน
ตื่นมาอีกทีเกือบหกโมงเย็น ตกใจรีบล้างหน้าล้างตา เพราะยังไม่ได้ไปวัดพระธาตุชเว ซานดอว์เลย

เมืองแปรช่วงเย็นก็คึกคักดีครับ เด็กๆ เลิกเรียน ผู้คนเลิกงาน มาจับจ่ายซื้อของที่ตลาด
แอบมองเห็นร้านเสื้อผ้าแบรนด์จิออร์ดาโน เอ...ร้านแบบนี้ที่ย่างกุ้งไม่มีนะเออ



สถานีรถไฟเมืองแปร ดูหงอยๆ



เดินอีกนิดเดียวก็ถึงวัดแล้วครับ ไม่เสียค่าเข้า



เหมือนๆ กับวัดใหญ่ เจดีย์ดัง ๆทั่วไปในพม่า ทางขึ้นก็จะขายของกันแบบนี้
เจดีย์ชเว ซานดอว์ ตั้งอยู่บนเนินเหมือนชเวดากองเลยครับ แต่ไม่สูงเท่า เดินไม่เหนื่อย





ที่พุกามก็มี ชเว ซานดอว์ เหมือนกัน สร้างโดยพระเจ้าอโนรธา
แต่ของที่นี่สร้างโดยพ่อค้า บรรจุพระเกศธาตุของพระพุทธเจ้า อายุเก่าแก่เป็นพันปี



มหาเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองแปร ที่ยอดฉัตรมีตาข่ายหุ้มดูแปลกตากว่าเจดีย์อื่นๆ



ด้านทิศเหนือของวัด มีพระใหญ่อีกองค์ครับ Sehtatgyi Bhudda





ในตู้กระจกมีหลวงพ่อสาน พระพุทธรูปสานด้วยหวายปิดทอง





มืดแล้ว ฝนปรอยๆอีกแล้วครับ จริงๆ มันก็ตกๆหยุดๆ มาทั้งวัน ผมเดินเข้าตลาดกินขนมจีนพม่า






เบียร์ไทยยี่ห้อเดียวที่ขายในเมืองแปร แต่ผมนั่งดื่มเบียร์พม่าที่ร้านนี้แหละครับ





เด็กๆ เดินยิ้มเข้ามาขอตังค์ ให้ไปนิดหน่อย แล้วขอถ่ายรูปเสียเลย คริคริ
ไม่รู้จะไปไหนต่อเลยเดินกลับที่พัก ผ่านโรงหนังที่เพิ่งเปิดใหม่



ตอนกลางคืนเพิ่งเห็นว่าตรงข้ามกับเกสต์เฮ้าส์เป็นร้านอาหาร ร้านเหล้า คนเยอะเชียวครับ
ผมเลยนั่งจัดเบียร์ต่ออีกสองขวด คืนนั้นหลับสบายเลย





กินอาหารเช้าเสร็จ เช็คเอาท์ คุณลุงเอาสามล้อพ่วงไปส่งที่ท่ารถครับ คิดราคาพันจ๊าต
ผมว่ามันไกลกว่าที่คิดนะ ค่าธรรมเนียมขนส่งที่ต้องจ่ายกันทุกที่ 200-300 จ๊าต ผมก็เลยออกเอง





บรรยากาศที่ขนส่ง รถออกตอนเจ็ดโมงเช้าเป๊ะๆ ไม่มีเลท
ลาแล้วเมืองแปร ได้ทำความรู้จักแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผมก็ชอบที่นี่นะ
มีโอกาสจะกลับมาอีกครับ
รูปในบล็อกนี้เกือบครึ่งถ่ายจากมือถือนะครับ
แล้วแต่ตามความสะดวก
เบลอๆ ห่วยๆ ไปบ้างก็ขออภัย ฮี่ฮี่


รถจอดแวะให้กินข้าวที่เดิม ร้านเดิมเลยครับ ผมกินด้วยความหิวเพราะเมื่อเย็นวานในท้องมีแต่ขนมจีนกับเบียร์
สั่งแบบกันเหนียวให้พอว่ากินได้หมดทุกอย่างแน่นอน
น้ำพริกงาปิจ่อเผ็ดๆ นั่นช่วยได้มากครับ เพราะข้าวผัดจืดมาก
แกงฮังเลนั่นก็ไม่อร่อย สู้ที่เชียงใหม่บ้านผมไม่ได้เลย
มื้อนี้ 3,500 จ๊าต รวมน้ำด้วยขวดโตๆ ครับ



ถึงขนส่งอ่องมิงกะลาตอนเกือบบ่ายโมง นั่งแท็กซี่เข้าไปย่านสุเลครับ จองที่พักไว้ที่นั่น..



Create Date : 26 กันยายน 2558
Last Update : 26 กันยายน 2558 8:27:10 น. 1 comments
Counter : 4138 Pageviews.

 
มาตวยย้อนอ่านต่อเจ้า


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 30 กันยายน 2558 เวลา:20:48:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Nagano
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
กันยายน 2558
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
26 กันยายน 2558
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Nagano's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.