ทริปญี่ปุ่น NO. 2 ตอนที่ 1 Kyoto
ทริปญี่ปุ่นครั้งที่ 2 --> ครั้งที่ 1 เมื่อ 2 ปีก่อนและไม่ได้ทำรีวิวไว้ พอวันนี้มานึกย้อนหลังก็รู้สึกเลือนๆไป จำรายละเอียดต่างๆ ไม่ค่อยได้แล้ว เลยคิดว่าครั้งนี้เขียนรีวิวทริปเก็บไว้ดีกว่า แผนการเดินทางสำหรับทริปนี้ ระยะเวลา สงกรานต์ ตั้งแต่ 11 - 20 เม.ย.2014 สถานที่ Kyoto-->Takayama-->Toyama-->Mutsumoto-->Gero-->Nagoya เดินทางด้วยสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ ตั๋วไป-กลับราคาเบ็ดเสร็จ 18,100 บาทถ้วน เป็น flight transit เปลื่อนเครื่องที่ Hanoi บินด้วยเครื่อง Airbus A321 เป็นเครื่องเล็ก ที่นั่งสองแถว แบบสามที่นั่ง พื้นว่างระหว่างที่นั่งถือว่ากว้างไม่อึดอัดยืดขาได้สบาย แต่ไม่มีหน้าจอเป็นของตัวเอง เครื่องจาก Hanoi ไป Osaka ก็เป็น Airbus A321 เหมือนกัน ไม่เคยนั่งเครื่องเล็กบินไกลๆ แบบนี้มาก่อน รู้สึกว่าเวลาปรับเพดานบิน หรือเจอสภาพอากาศแปรปรวนเครื่องก็มีสั่นๆ อยู่เหมือนกัน แต่การเดินทางก็ปลอดภัยดี ถึงที่หมายตรงตามเวลาเปะ Plan วันที่ 1 ทริปนี้เดินทางกัน 4 คน (พี่นิด น้องแป้ง เพื่อนตุ๋ม) ผู้หญิงล้วน ออกเดินทางจากบ้านพี่นิดตั้งแต่บ่ายสองโมง ถึงสนามบินบ่ายสามโมงพอดี วางแผนว่าจะมีเวลาชิว shopping ที่ Duty fee แต่ปรากฎว่าผู้คนมากมาย เคาเตอร์ check in เปิดก่อน 2 ชั่วโมงคิวยาวมากกก เซอร์ไพร์สคือเจอเพื่อนที่เคยไปด้วยกันเมื่อทริปแรกด้วย ครบทั้งห้าคน แต่คราวนี้ไปเที่ยวกันคนละเมือง หลังจากต่อคิว check in โหลดกระเป๋าอยู่เกือบชั่วโมง ก็ต้องมาต่อคิวผ่าน ตม. อีกครึ่งชั่วโมง จึงเหลือเวลา shopping อีกไม่ถึงชั่วโมงก่อน Gate เปิด ได้ซื้อแค่ไวน์แดงฝากไว้ 1 ขวด เนื่องจากเป็นช่วงสงกรานต์ ทั้ง flight จึงเป็นคนไทยโดยส่วนใหญ่ หลังจาก take off ก็เสริฟอาหารเย็น ซึ่งพวกเราได้ request ไว้ล่วงหน้าขอเป็น seafood เพราะกลัวเค้าเสริฟเนื้อวัว หน้าตาอาหาร จะมี 2 มื้อ คือมื้อเย็นจาก BKK-->Hanoi และอาหารเช้า จาก Hanoi-->Osaka มื้อที่ 2 นี่กล้ำกลืนมาก เพราะตอนเสริฟเป็นเวลาบ้านเราประมาณตีสาม งัวเงียกันขึ้นมากินอาหารเช้า (เนื่องจากเวลาของญี่ปุ่นเร็วกว่าเรา 2 ชั่วโมง) Plan วันที่ 2 ช่วงเช้า (เพื่อนทำแผนได้ละเอียดเปะมาก) เครื่องถึง Kansai airport ตามเวลา ใช้เวลาผ่าน ตม. ไม่นานเนื่องจากยังเช้าอยู่คนยังไม่เยอะ ตม. ก็ไม่เข้มงวด Passport ของเราเล่มใหม่หน้าขาวโล่ง แต่ผ่านฉลุยทั้ง 4 คน ออกจากสนามบินมาแลกตั๋ว JR One day pass ที่ซื้อมาล่วงหน้าจากงานท่องเที่ยว ในราคาเดิม 2000Y ซึ่งปัจจุบัน 2060Y ใช้กับรถไฟ JR ได้ในเขต Kansai ได้เกือบทุกขบวน มัวแต่หาวิธีใช้ตั๋วกันอยู่ เกือบไม่ทันเวลา เห็นคนอื่นเค้าใช้ตั๋วเสียบกันตรงทางเข้า แต่ของเรามันมาเป็นเล่ม ใช้งัยหว่า คิดว่าต้องใช้เหมือนกัน แต่ปรากฎว่าต้องเดินเข้าช่องริมสุดเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจก่อนเข้าไป แต่สุดท้ายก็ทันเวลาตามแผนพอดี นั่งรถไฟยาว...เข้า Kyoto เลยทีเดียว -->ขนวน Haruka Express non reserved ที่นั่งว่างมากมาย Plan วันที่ 2 ช่วงบ่าย ถึง Kyoto Station สิบโมงนิดๆ ผู้คนมากมาย อาจจะเพราะเป็นวันเสาร์ ภาระกิจต้องลากกระเป๋าไปฝากที่พัก คือ K's house kyoto ระยะทางในเวปบอกว่า 15 นาที แต่พวกเราเดินกันครึ่งชั่วโมง เล่นเอาเหนื่อยเลย หลังจากฝากกระเป๋าเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเริ่มต้นทริปตามแผนกันเลย อันดับแรกแวะเติมพลังด้วยอาหารที่ญี่ปุ่นมื้อแรก ข้าวหน้าหมูทอดที่ตึก Cube บริเวณ Kyoto Station แหล่งรวมร้านอาหารอยู่บนชั้น 10 ส่วนบนชั้น 11 เป็นจุดชมวิวรอบๆเมือง ข้าวหมูทอดร้าน Katsukura ชอบมากเพิ่งเคยกินทงคัตสึครั้งแรก บังเอิญไปตอนร้านเพิ่งเปิดคนเลยยังไม่มาก ไม่ต้องรอคิวนาน อร่อยสมคำร่ำลือเลย หลังจากเติมพลังเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มไปเที่ยวตามแผน สถานที่แรก Arashiyama อยู่แถบชานเมือง Kyoto ไปนั่งรถไฟ เป็น Romantic Train เปิดโล่ง โดยเฉพาะตู้ที่ 5 หลังคาเป็นแบบโปร่งใสด้วย ถึงสถานี Umahori Station ก็เจอซากุระเรียงรายต้อนรับ จากนั้นก็เดินชิวๆ ไปสถานี Kameoka torokko เพื่อไปซื้อตั๋ว Ramantic Train ที่สถานีนี้มีรูปปั้นตัวทานุกิเป็นสัญลักษณ์ด้วย ไปทันรถไฟรอบ 13:35 พอดี แต่ตู้ 5 ต้องตีตั๋วยืนแล้ว ซึ่งก็อยากยืนอยู่แล้ว พราะอยากชมวิวสองข้างทางรถไฟ รถไฟจะวิ่งลัดเลาะไปตามภูเขาและเลียบแม่น้ำไปตลอด วิ่งผ่านอุโมงค์ต้นไม้ซึ่งก็จะเป็นซากุระหลากหลายพันธุ์ ซึ่งก็มีทั้งที่บานแล้วและยังตูมอยู่ นอกจากนี้ยังผ่านอุโมงค์หินที่เจาะช่องเขาเป็นระยะๆ ทำให้เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างสลับกันตลอดทาง ได้อารมณ์แปลกไปอีกแบบ พวกเราเลือกลงสถานี Arashiyama เพื่อไปเดินเที่ยวต่อ บรรยากาศชิวมาก เดินเล่นไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยได้สนใจแผนที่ เดินตามๆเค้าไป แล้วก็มาเจอป่าไผ่ เจอศาลเจ้าที่มีคนต่อคิวขอพรเรื่องความรัก เดินชิวกันมาเรื่อยๆ นักท่องเที่ยวเยอะทีเดียว ทั้งคนไทย จีน ญี่ปุ่น บรรยากาศไม่เงียบเหงา หลังจากเดินมาประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็เริ่มเมื่อยล้า โดยเฉพาะรองเท้าของเพื่อนร่วมทริปเริ่มไม่เป็นใจ ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนแผนจากเดิมที่จะไปชมเสาโทอิ สีแดงเรียงรายที่ Fushimi Inari ไป shopping รองเท้าที่ Osaka แทน เนื่องจากเรามี JR one day pass อยู่แล้ว ไม่ต้องเสียค่ารถไฟเพิ่ม ต้องนั่งรถไฟกลับมาที่ Kyoto Station เริ่มต้นหาเป้าหมายว่า shop tiger อยู่ที่ใด พวกเราเช่า pocket wifi มาตั้งแต่เมืองไทย ถือว่าคุ้มและมีประโยชน์มากๆ เมื่อเราต้องหาข้อมูลต่างๆที่ไม่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้า ทำให้การปรับเปลี่ยนแผนทำได้ไม่ยาก เป้าหมายต่อไปคือย่าน Namba Osaka --> อาจจะเพราะเป็นวันเสาร์ รถไฟไป Osaka แน่นทีเดียว ต้องยืนจาก Kyoto ถึง Osaka ประมาณ 30 นาทีเล่นเอาเมื่อยขาเลย มาถึงสถานี Namba ผู้คนมากมาย แค่ในสถานีร้านขายของก็เยอะ ตื่นตาตื่นใจ แตกต่างจาก Kyoto มาก ได้พิกัด shop tiger มาแล้วต้องหาทางไปให้ถึง.........และแล้วก็ได้รองเท้ากันคนละคู่สองคู่สมใจ Kyoto & Osaka ในวันแรกเหนื่อยล้ามากมาย เนื่องจากการเดินทางโดยเครื่องบินที่ต้อง Transit ทำให้พวกเราแถบไม่ได้นอนเลย หลังจาก shopping เสื้อผ้า รองเท้า ประมาณสองทุ่ม ร่างกายก็ประท้วงเพราะตาจะปิด ขาก็ก้าวไม่ออก ระหว่างนั่งรถไฟกลับจาก Osaka สัปหงกมาตลอดทาง ปิดท้ายมื้อเย็นเป็นข้าวจากร้าน Sukiya สาขาที่อยู่ใกล้กับกับที่พัก ซึ่งวันนี้เค้าให้ซื้อ take home เท่านั้น สำหรับ 2 คืนที่ Kyoto พวกเราพักที่ K'house จบวันแรกด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ก็สนุกมากๆ ยังมีอีก 8 วันที่เหลือรออยู่ Plan วันที่ 3 เที่ยว Kyoto วันนี้วางแผนเที่ยววัด ชมซากุระซึ่งก็check แล้วว่ามาไม่ทันบลูมแน่นอน ออกจากที่พักประมาณ 9:00 โมงเช้า วันนี้จะเที่ยวโดยใช้รถบัส ซึ่งซื้อตั๋ว One Day Pass มาจากที่พัก ราคา 500Y บรรยากาศ Kyoto ตอนเช้าๆ ดีมาก เมืองนี้สงบ สะอาด น่าอยู่มาก ปรับแผนมาเที่ยววัดน้ำใสก่อน เพราะว่าใกล้กว่า บัสสาย 206 ผ่านใกล้ที่พักด้วย และตั้งใจจะเช่าชุดกิโมโนใส่กันด้วย แต่ร้านเช่าชุดเต็ม เลยไม่ได้ใส่ เสียดายมาก ที่วัดน้ำใส คิโยมิสึ คนเยอะมาก โดยเฉพาะทัวร์จีน ทัวร์ไทย วัดน้ำใสช่วงนี้มีปิดบูรณะบางส่วน ซากุระก็โรยราไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีบางต้นดอกยังสวยอยู่ ถนนระหว่างไปวัดน้ำใส มีลักษณะเป็นเนินชันเรียกว่าSannenzaka slope จะมีร้านขายขนม ของฝาก ของที่ระลึกอยู่ตลอดทั้งสองฝั่ง เดินเพลินมาก เหมาะกับการละลายทรัพย์เป็นอย่างยิ่ง ลงจากเนินก็จะมีวัดที่ติดๆกันคือ วัดเงิน Ginkakuji เป็นวัดที่มีสวนแบบญี่ปุ่น เป็นสวนลานหินโบราณ และจุดชมวิว Kyoto จากบนเขาด้วย จากวัดไคโดจิ มาเดินชมซากุระต่อที่ถนนนักปราชญ์ เสียดายมากๆ ที่ซากุระส่วนใหญ่ล่วงไปแล้ว แต่บรรยากาศก็ยังดีอยู่มาก เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางสายนักปราญช์ มีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร จะมีทั้งวัดและศาลเจ้าเรียงรายอยู่หลายแห่งให้แวะชมและถ่ายรูปกัน และจะพบเห็นหญิงสาวในชุดกิโมโนตลอดทาง เราเดินกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงวัดนันซนจิ ก็รู้สึกว่าเมื่อยล้า คิดว่าคงจบการเที่ยววัดแค่นี้แล้ว ตัดสินใจเปลี่ยนบรรยากาศไป shopping กันบ้างดีกว่า คิดได้ดังนั้น ก็ใช้ internet ให้เป็นประโยชน์ และก็ได้จุดหมายต่อไป คือ ย่าน Shinkyogoku แหล่งรวมทุกสิ่งที่เราต้องการ จากวัดนันเซนจิ ต้องเดินออกมาหาป้ายรถบัสไกลพอควร และมีรถบัสสายเดียวที่จะพาเราไปถึงคือสาย 5 แต่มันก็ไม่เกินความพยายามของพวกเราไปได้ มา shopping กันจนฟ้ามืด ส่วนใหญ่ก็เป็นเครื่องสำอางค์ กับขนม และก็มาจบที่อาหารมื้อเดียวของวันนี้ ที่ดูเป็นเรื่องเป็นราวที่สุด เพราะกินแต่ขนมกันมาทั้งวัน งานเข้าอีก เนื่องจากเดินเข้าซอยนี้ ออกเข้าซอยโน้นกันจนงง พอถึงตอนกลับก็มืดซะแล้ว สับสนกับป้ายรถบัสเป็นอย่างยิ่ง ตรูจะกลับที่พักยังงัยเนี้ย ตัดสินใจถามดีกว่า ก็เจอสาวสวยใจดี พากลับมาจนถึง kyoto station จนได้ ต้องยอมรับว่าคนญี่ปุ่นมีน้ำใจมากๆ ไม่ว่าที่ไหน ถามทางไม่เคยผิดหวัง แม้จะสื่อสารกันเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่เค้าพยายามช่วยเราเต็มที่ ซึ้งจริงๆ และแล้วในวันนี้ก็ต้องจบทริป Kyoto เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางไป Takayama แต่เช้า เก็บแรงไว้เดินทางกันต่อ ยังเหลืออีก 7 วัน สู้ๆ
Create Date : 01 พฤษภาคม 2557 |
|
1 comments |
Last Update : 4 พฤษภาคม 2557 8:06:08 น. |
Counter : 1758 Pageviews. |
|
|
|
เอิ่มม...หมายถึงพวกชูครีม เค้ก ลาเต้อาร์ตไรงี้นะ