มีนาคม 2553
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
5 มีนาคม 2553
 

ทฤษฎีบุคลิกภาพของ Erikson

ทฤษฎีบุคลิกภาพของErikson หรือ ทฤษฎีจิตสังคม ( Psychosocial Theory of Personality )

ทฤษฎีจิตสังคม (Psychosocial Theory of Personality ) ผู้ให้กำเนิดทฤษฎี คือ Erik Homburger Erikson ดังอธิบายรายละเอียดดังนี้

ประวัติErik H. Erikson เป็นนักจิตวิทยาคลินิก เกิดที่เมือง Frankfurt ประเทศเยอรมัน เมื่อปี 1902 หลังจากที่เข้าเกิดไม่นานพ่อก็แยกจากแม่เขาไป ต่อมา Theodor Homburger ได้รับเขาเป็นบุตรบุญธรรม หนังสือของเขาที่พิมพ์ก่อนปี ค.ศ. 1939 จะปรากฏว่าเขาใช้ชื่อ Erikson Homburger ต่อมาเขาได้ใช้นามสกุลเดิมมาต่อท้ายชื่อจึงเป็น Erik H. Erikson

Erik H. Erikson ได้รับยกย่องเป็นศาสตราจารย์ในวิชาพัฒนาการมนุษย์จากมหาวิทยาลัย Harvard งานเขียนของเขาเป็นที่แพร่หลาย มีการนำไปแปลและตีพิมพ์เป็นภาษาต่างๆ มากมาย ตัวอย่าง ปัญหาต่างๆ ที่ Erikson ยกมาประกอบในงานเขียนของเขาได้มาจากคนไข้ Erikson ถือว่าเป็นศิษย์ของ Freud ที่มีความเข้าใจในงานและความคิดของ Freud เขาได้นำจิตวิเคราะห์มาประยุกต์ในขั้นพัฒนาการต่างๆและได้รับยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ มีความสามารถไม่ด้อยกว่า Freud

Erikson ได้เข้ามาร่วมงานและถือว่าเป็นศิษย์คนหนึ่งของ Freud ในการตั้งทฤษฎีเขาก็นำแนวคิดพื้นฐานมาจากทฤษฎีของ Freud แต่มีแบบแผนที่แตกต่างไปจาก Freud สำคัญๆ 3 เรื่อง คือ
1. ระบบโครงสร้างของบุคลิกภาพ ( ซึ่ง Freud เน้นการทำงานของ id พัฒนาการมนุษย์โดยใช้ขั้นพัฒนาการทางเพศภายใต้การทำงานของพลังเพศ) แต่ทฤษฎีของ Erikson เน้นการวิเคราะห์ ego ว่ามีความสำคัญเพราะเป็นพลังที่ทำให้มนุษย์เกิดพัฒนาการของชีวิต เช่น การเกิดพัฒนาการของมโนมติต่างๆ และความสามารถในการตีความหมาย การสร้างมโนภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ ego ยังทำให้เกิดระบบความคิดที่แสดงความเป็นปัจเจกบุคคลเขาเชื่อว่าการศึกษาพัฒนาการของชีวิตนับตั้งแต่เกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับบุคคลนั้นด้วย ข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับพัฒนาการมนุษย์คือ ความสัมพันธ์และความต่อเนื่องของประสบการณ์กับการทำหน้าที่ของ ego และเพิ่มช่วงพัฒนาการที่ขาดหายไปเป็น 8 ขั้น
2. แบบพิมพ์ทางสังคม (social matrix) Erikson กล่าวว่า แบบพิมพ์ทางสังคม คือความสัมพันธ์ของบุคคลกับผู้เลี้ยงดูและบุคคลนอกครอบครัว ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมภายนอกของบุคคลด้วย
3. Erikson มุ่งความสนใจไปที่โอกาสที่บุคคลจะพัฒนาตนเองเพื่อความอยู่รอดของชีวิต เขาเห็นว่าทั้งบุคคลและสังคมต่างก็สามารถอยู่ร่วมกันและมีความต้องการที่จะเจริญก้าวหน้า
จากแนวความคิดที่แตกต่างไปจาก Freud ดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ชัดว่า Erikson วางแนวทางใหม่ของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ซึ่งทำให้การนำไปใช้และการแปลความหมายพฤติกรรมกว้างขวางกว่าเดิมและสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ข้อตกลงเบื้องต้นของทฤษฎี ( Assumption Basic to Erikson’s Theory )
การสร้างทฤษฎีของ Erikson มีพื้นฐานมาจากแนวความคิดของ Freud ตามที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นข้อตกลงเบื้องต้นในทฤษฎีของเขาจึงมีรายละเอียดและแนวความคิดของ Freud และของเขาร่วมกัน

ข้อตกลงเบื้องต้นของทฤษฎี Erikson ที่สำคัญมีดังต่อไปนี้
1. วิธีการสร้างทฤษฎี (Approach to Theory Formation)
2. แบบแผนชีวิตมนุษย์ (Order of Human Life)
3. คุณค่าพื้นฐานของมนุษย์ (Basic Human Values)
4. สาเหตุพฤติกรรมมนุษย์ (Etiology of Human Behavior)
5. แกนการทำหน้าที่ของมนุษย์ (Core of Human Functioning)
6. ทารกแรกเกิด (The Newborn)
7. สิ่งแวดล้อม (Environments) ได้แก่ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical) สังคม
(Social) วัฒนธรรม (Culture) และความคิด (Ideational) ดังจะอธิบายเป็นข้อๆ คือ
1. วิธีการสร้างทฤษฎี (Approach to Theory Formation)
Erikson ยอมรับในวิธีการและเทคนิคในการเก็บรวบรวมข้อมูลของทฤษฎีจิตวิเคราะห์โดยวิธีสังเกตเขาให้ความสนใจเป็นพิเศษกับความสำคัญของจิตไร้สำนึก (unconscious) และจิตก่อนสำนึก ( preconscious ) ซึ่งแสดงออกมาในรูปของคำพูดหรือจากพฤติกรรมที่แสดงออก แนวความคิดของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ในทัศนะของเขาคือ การทำความเข้าใจบุคลิกภาพของแต่ละบุคคลซึ่งแสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัวและเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นประจำในชีวิตประจำวัน เขากล่าวว่ากระบวนการสำคัญของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ในการเข้าใจพัฒนาการของบุคคลคือการเข้าใจบุคลิกภาพที่เบี่ยงเบนออกไปจากปกติ ซึ่งถือเป็นปัญหาหลักที่จะต้องพิจารณาเพื่อจะได้เข้าใจพัฒนาการของบุคลิกภาพปกติได้ชัดเจน Erikson ได้อธิบายเพิ่มเติมหลักสำคัญของทฤษฎีจิตวิเคราะห์ให้กว้างขวางขึ้นโดยกล่าวว่าการวิเคราะห์เป็นรายบุคคลนั้นจ ะต้องพิจารณาบุคคลนั้นในกลุ่มสังคมและวัฒนธรรมของเขาด้วย Erikson ได้นำความรู้ทางจิตวิเคราะห์มาใช้ร่วมกับวิธีการทางสังคมวิทยา ส่วน Freud จะพิจารณาว่าบุคคลยึดตนเองเป็นศูนย์กลางในการกระทำหรือความรู้สึกนึกคิดต่างๆ โดยอิทธิพลของจิตไร้สำนึก (unconscious) Erikson ให้ความคิดเห็นในเรื่องการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางที่แตกต่างไปว่าการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางนั้น เป็นเรื่องการรู้สำนึก (conscious) ตัวอย่างเช่น การเล่นของเด็กแสดงถึงการยึดตัวเองของเด็กได้เป็นอย่างดี
Erikson กล่าวว่าไม่มีการสังเกตโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่จะนำมาใช้อย่างได้ผล โดยไม่มีทฤษฎีนำทางก่อน ดังนั้นการจะอธิบานถึงลักษณะของพัฒนาการด้านต่างๆ ได้จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในทฤษฎีพัฒนาการต่างๆ ทั้งหมดก่อน Erikson ได้ตั้งทฤษฎีและใช้คนไข้ในคลีนิกของเขาเป็นกลุ่มตัวอย่าง เขาศึกษาคนไข้จากสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติประกอบกับประวัติส่วนตัวโดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นจำนวนมากซึ่งผลจากการศึกษาได้พิสูจน์ทฤษฎีของเขาได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามการศึกษาเพื่อพิสูจน์ทฤษฎี Erikson กล่าวว่าผู้ศึกษาจะต้องมีความมั่นใจในกลุ่มตัวอย่าง มีระยะเวลาในการศึกษานานพอ และมีเทคนิคในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง เขาให้ความสนใจความสำคัญในคุณภาพของข้อมูลมากกว่าวิธีการวัดต่างๆทฤษฎีของเขาจะเป็นไปตามลำดับ คือนำข้อมูลที่ได้จากการพิจารณาโดยใช้หลักเกณฑ์ทั่ว ๆ ไปมาประกอบกับความคิดเห็นของเขาแล้วพิจารณาคัดเลือกอีกครั้งเพื่อให้ตรงกับปัญหาที่ตั้งไว้ ซึ่งวิธีการนี้มีแนวความคิดไปทางเดียวกับจิตวิเคราะห์ของ Freud และ Erikson ได้นำความรู้ที่ได้จากวิธีการดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ เช่น การพิจารณาขั้นพัฒนาการต่างๆ ของเด็ก แต่เขาได้นำการศึกษาทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเข้ามาร่วมพิจารณาด้วย
2. แบบแผนชีวิต (Order of Human Life)
Erikson กล่าวว่า “บุคลิกภาพกับความสมดุลกับของสุขภาพจิตมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน” เขาให้ความคิดเห็นว่าการมองเห็นคุณค่าและคุณธรรมต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของการเจริญเติบโตและความต้องการที่จะพัฒนาตนเองซึ่งคุณค่าและคุณธรรมนี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากกระบวนการฝึกหัดในวัยเด็ก ในความคิดของเขานั้นขอบข่ายพัฒนาการของมนุษย์ในแง่จิตวิทยามีการเปลี่ยนแปลงเหมือนๆ กับโครงสร้างทางชีวภาพทั้งจิตวิทยาและชีววิทยามีความสัมพันธ์ภายในกันมาก คือนับตั้งแต่คลอดเป็นต้นมา บุคคลจะมีการพัฒนาโครงสร้างทางกายภาพควบคู่ไปกับคุณลักษณะทางด้านจิตใจตัวอย่างเช่นสิ่งแรกที่จะทำให้ทารกมีชีวิตอยู่รอดคือความสามารถในการใช้ปาก การย่อยอาหารและการขับถ่าย ดังนั้นพัฒนาการขั้นแรกคือการใช้ปากดูดเพื่อให้ชีวิตอยู่รอดและในขณะเดียวกัน การดูดก็ให้ความสุขแก่เด็กด้วย ในพัฒนาการแต่ละขั้นพบว่ามีพัฒนาการร่วมกันไปทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อคลอดออกมาแล้วอวัยวะต่างๆ ก็หยุดการสร้างเพิ่มขึ้นแต่จะพัฒนาอวัยวะแต่ละส่วนให้เจริญเติบโตต่อไปซึ่งการพัฒนานี้จะควบคู่กับพัฒนาการทางด้านจิตใจ ทำให้มีความสามารถปรับตัวอยู่ในสังคมได้เป็นอย่างดี Erikson กล่าวว่ากฎของความเจริญเติบโตทางร่างกาย ระยะเวลา และสิ่งแวดล้อม จะเข้ามาสัมพันธ์กันทุกครั้งที่มีความเจริญเติบโตเกิดขึ้น การพัฒนาบุคลิกภาพเป็นหน้าที่ของ ego และกระบวนการทางสังคม ความเจริญเติบโตทางร่างกาย จิตใจ และสังคม เป็นผลจากการทำงานร่วมกันของอินทรีย์ซึ่งประกอบด้วย ego และความตระหนักในการเป็นสมาชิกของสังคม ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้จะเข้ามาทำงานร่วมกันตลอดเวลา
3. คุณค่าพื้นฐานของมนุษย์ (Basic Human Values)
คุณค่าพื้นฐานของมนุษย์ เขาเน้นถึงความสามารถสร้างสรรค์และความสามารถในการปรับตัวเขายอมรับในความสามารถของแต่ละคนที่สามารถฟันฝ่าชีวิตอยู่ได้ด้วยความสามารถและความเป็นตัวของตัวเอง Erikson ไม่ได้มองว่าคนดีหรือเลวแต่บุคคลมีศักยภาพที่จะทำในสิ่งที่ดีหรือเลวได้เท่าๆ กัน ส่วนความเชื่อในเรื่องความคิดสร้างสรรค์นั้นเขากล่าวว่าบุคคลมีศักยภาพที่จะสร้างสรรค์สังคมทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมต่างๆ ทางด้านการปรับตัว เขากล่าวว่า มีพฤติกรรมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่บุคคลไม่สามารถแก้ไขได้ แต่มีพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาเป็นจำนวนมากที่สามารถป้องกันไว้ก่อนได้
บุคคลจะมีคุณค่าเป็นที่รับรองจากบุคคลอื่นได้ ต้องเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจและได้รับการยอมรับจากสังคม และในทำนองเดียวกันสังคมก็ต้องการบุคคลที่มีความคิดเห็นตรงกัน พึ่งพาอาศัยและยอมรับซึ่งกันและกัน คุณค่าพื้นฐานประการสุดท้ายคือบุคคลต้องมีความไว้วางใจและเคารพสถาบันของสังคม เช่น ศาสนา เป็นต้น
4. สาเหตุพฤติกรรมมนุษย์ (Etilology of Human Bahavior)
Erikson ยอมรับในแบบแผนพัฒนาการทางจิตเพศของ Freud (psychosexual) ซึ่งมีความเห็นว่าการที่บุคคลจะทำพฤติกรรมใดนั้น ก็เนื่องจากพลังที่เรียกว่าแรงขับซึ่งมีมาแต่กำเนิดจะเห็นว่าความคิดของเขาก็เป็นไปตามหลักทฤษฎีจิตวิเคราะห์ โดยถือว่าแรงขับนี้เกิดจากสัญชาตญาณ (instincts) และทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ แสดงออกมาร่วมกันเรียกว่าพลังเพศ (libido)
พลังเพศ (libido) แสดงออกเป็นพฤติกรรมสำคัญ 2 ลักษณะ คือ เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด
พลังนี้แสดงออกเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด โดยสนองความต้องการที่เกิดจากสัญชาตญาณของการมีชีวิตเพื่อให้บุคคลเจริญเติบโตต่อไป (life instincts) และ เพื่อการทำลาย แสดงออกโดยพฤติกรรมต่างๆ เช่น ความก้าวร้าว เป็นการแสดงออกของสัญชาตญาณความตาย (dead instincts) โดยการทำงานของจิตไร้สำนึก (unconscious) เป็นพฤติกรรมที่บุคคลต้องการจะกลับไปสู่ความมั่นคง ตัวอย่าง เช่น ชีวิตในวัยเด็กผู้ใหญ่มักหันกลับมามองว่าเป็นระยะเวลาแห่งการสุขสบาย ดังนั้นบางครั้งคนเราก็ต้องการมีความสุข จึงอาจมีพฤติกรรมถอยกลับไปสู่สภาพเดิมซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่เป็นสัญชาตญาณของความตาย
Eriksonยอมรับในพลังเพศ libido และถือว่าเป็นสิ่งกำหนดกรรมมนุษย์ พลังนี้ได้ทำงานออกมาในระบบ id ego และ superego การทำงานของ id และ superego จะขัดแย้งกันอยู่เสมอโดยมี ego เป็นตัวกลางที่จะประนีประนอมทั้ง 2 ระบบ
Ego ในทัศนะของเขาเป็นตัวตัดสินในการที่บุคคลจะแสดงพฤติกรรมใดๆ ออกมาโดยนำความรู้จากประสบการณ์มาร่วมพิจารณาด้วย ego จึงเป็นระบบที่แสดงคุณค่าของมนุษย์ ego ทำให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์และมีความสามารถในการปรับตัว
พลังเพศ (libido) จะมีผลต่อประสบการณ์การรับรู้ของชีวิตทั้ง 3 ระดับคือประสบการณ์สำนึก (conscious experience) ประสบการณ์ใกล้สำนึก (preconscious experience) และประสบการณ์ไร้สำนึก (unconscious experience) โดยประสบการณ์ 2 ตัวหลังมีอิทธิพลสำคัญต่อแรงจูงใจในการกระทำพฤติกรรมต่างๆ ของบุคคล พลังเพศจะแสดงออกอย่างเปิดเผยในจิตทั้ง 3 ระดับ โดยมีระบบการทำงานที่ควบคุมโดย ego ซึ่งเป็นระบบที่สัมผัสความจริงในชีวิตและเป็นตัวตัดสินว่าพฤติกรรมใดควรแสดงออก
5. แกนการทำหน้าที่ของมนุษย์ (Core of Human Functioning)
Erikson มีความคิดเห็นเช่นเดียวกับ Freud ว่าอารมณ์แทรกซึมอยู่ในการทำหน้าที่ทุกกระบวนการของมนุษย์ ธรรมชาติของอารมณ์พิจารณาได้จากคุณภาพความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น สภาพทางอารมณ์ต่างๆ ที่แสดงออกมาในรูปของความคิด การกระทำความรู้สึก ฯลฯ ขึ้นอยู่กับสภาพความสมดุลของการทำงานร่วมกันของ id ego และ superego
สำหรับช่วงพัฒนาการในวัยเด็ก การเล่นของเด็กถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ Erikson เห็นว่าการเล่นเป็นหน้าที่สำคัญของ ego ในระยะนี้ เพราะการเล่นประกอบด้วยกระบวนการ 3 อย่าง คือ การคิด การสื่อสาร และพฤติกรรม เช่น การคิด ขณะเล่นเด็กจะมีรูปแบบของการคิดและคำพูดการสื่อสาร เด็กมีการสื่อสารซึ่งกันและกัน โดยใช้ทั้งภาษา


ทฤษฎีจิตสังคม (Psychological Theory) ได้แบ่งพัฒนาทางบุคลิกภาพออกเป็น 8 ขั้น คือ

ขั้นที่ 1 ความไว้วางใจ – ความไม่ไว้วางใจ (Trust vs Mistrust)
ซึ่งเป็นขั้นในวัยทารก - 1ขวบ อีริควันถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของพัฒนาการในวัยต่อไป เด็กวัยทารกจำเป็นจะต้องมีผู้เลี้ยงดูเพราะช่วยตนเองไม่ได้ ผู้เลี้ยงดูจะต้องเอาใจใส่เด็ก ถึงเวลาให้นมก็ควรจะให้และปลดเปลื้องความเดือดร้อน ไม่สบายของทารกอันเนื่องมาจากการขับถ่าย เป็นต้น หากวัยนี้ความต้องการไม่ได้รับความใส่ใจจากผู้เป็นพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูแล้ว เด็กก็จะมีพัฒนาการทางลบ คือ เกิดความไม่ไว้วางใจในคนใกล้ตัว เนื่องมาจากความต้องการไม่ได้รับการตอบสนอง

ขั้นที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ – ความสงสัยไม่แน่ใจตัวเอง (Autonomous vs Shame and Doubt)
อยู่ในวัยอายุ 2-3 ปี วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเดินได้ สามารถที่จะพูดได้และความเจริญเติบโตของร่ายการช่วยให้เด็กมีความอิสระ พึ่งตัวเองได้ และมีความอยากรู้อยากเห็น อยากจับต้องสิ่งของต่างๆ เพื่อต้องการสำรวจว่าคืออะไร เด็กเริ่มที่อยากเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง แต่หากพ่อแม่ไม่ปล่อยให้ลูกมีอิสระได้อย่างที่ควรจะเป็นในช่วงนี้ เด็กจะมีพัฒนาการไปในทางที่ไม่มีความมั่นใจที่จะทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง

ขั้นที่ 3 การเป็นผู้คิดริเริ่ม – การรู้สึกผิด (Initiative vs Guilt)
วัยเด็กอายุประมาณ 3-5 ปี อีริคสันเรียกวัยนี้ว่าเป็นวัยที่เด็กมีความคิดริเริ่มอยากจะทำอะไรด้วยตนเอง จากจินตนาการของตนเอง การเล่นสำคัญมากสำหรับวัยนี้เพราะเด็กจะได้ทดลองทำสิ่งต่างๆ จะสนุกจากการสมมติของต่างๆ เป็นของจริง เช่น อาจจะใช้ลังกระดาษเป็นรถยนต์ ขับรถยนต์เหมือนผู้ใหญ่ ซึ่งวัยนี้เป็นวัยที่สามารถกระตุ้นให้เด็กมีจินตนาการในการสร้างสรรค์ผลงานต่อไปได้ในอนาคต แต่หากพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูคอยว่ากล่าวดุด่าในสิ่งที่เด็กวัยนี้ได้คิดขึ้นมา เด็กก็จะเกิดความรู้สึกผิดต่อการกระทำของตนเอง และเป็นการยับยั้งความคิดสร้างสรรค์ของเด็กไปโดยปริยาย

ขั้นที่ 4 ความต้องการที่จะทำกิจกรรมอยู่เสมอ – ความรู้สึกด้อย (Industry vs Inferiority)
อีริคสันใช้คำว่า Industry กับเด็กอายุประมาณ 6-12 ปี เนื่องจากเด็กวัยนี้มีพัฒนาการด้านสติปัญญาและทางด้านร่างกาย อยู่ในขั้นที่มีความต้องการที่จะทำอะไรอยู่เหมือนไม่เคยว่าง หากการพัฒนาในขั้นนี้สะดุด เด็กจะเกิดความรู้สึกด้อยค่าในตนเองและมองว่าตนเองไม่มีประโยชน์ในสังคมเท่าที่ควร

ขั้นที่ 5 อัตภาพหรือการรู้จักว่าตนเองเป็นเอกลักษณ์ – การไม่รู้จักตนเองหรือสับสนในบทบาทในสังคม (Ego Identity vs Role Confusion)
อีริคสันกล่าวว่า เด็กในวัยนี้ที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี จะรู้สึกตนเองว่า มีความเจริญเติบโต โดยเฉพาะทางด้านร่างกายเหมือนกับผู้ใหญ่ทุกอย่าง ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการเปลี่ยนแปลงทางเพศทั้งหญิงและชาย เด็กวัยรุ่นจะมีความรู้สึกในเรื่องเพศและบางคนเป็นกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในวัยนี้จะสามารถพัฒนาการให้รู้จักอัตลักษณ์ของตนเอง มีแบบฉบับของตนเองได้สมบูรณ์หากได้รับการพัฒนาที่ถูกต้องทั้งด้านร่างกายและจิตใจ หากพัฒนาการมีการสะดุด ก็จะทำให้คนในวัยนี้เกิดความไม่เข้าใจ ไม่รับรู้ในบทบาทของตนเองที่ถูกต้องในสังคม

ขั้นที่ 6 ความใกล้ชิดผูกพัน – ความอ้างว้างตัวคนเดียว (Intimacy vs Isolation)
วัยนี้เป็นวัยผู้ใหญ่ระยะต้น (Young Adulthood) เป็นวัยที่ทั้งชายและหญิงเริ่มที่จะรู้จักตนเองว่ามีจุดมุ่งหมายในชีวิตอย่างไร เป็นวัยที่พร้อมที่จะมีความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศในฐานะเพื่อนสนิทที่จะเสียสละให้กันและกัน รวมทั้งสามารถยินยอมเห็นใจซึ่งกันและกันโดยไม่เห็นแก่ตัวเลย และมีความคิดตั้งตนเป็นหลักฐานหรือคิดสนใจที่จะแต่งงานมีบ้านของตนเอง หากพัฒนาการขั้นนี้สะดุด ก็จะทำให้คนในวัยนี้รู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว ไม่สามารถหาใครเคียงข้างได้

ขั้นที่ 7 ความเป็นห่วงชนรุ่นหลัง – ความคิดถึงแต่ตนเอง (Generativity vs Stagnation)
อีริควันอธิบายคำว่า Generativity ว่าเป็นวัยที่เป็นห่วงเพื่อนร่วมโลกโดยทั่วไป หรือเป็นห่วงเยาวชนรุ่นหลัง อยากจะให้ความรู้ สั่งสอนคนรุ่นหลังต่อไป คนที่แต่งงานมีบุตรก็สอนลูกหลายคนที่ไม่แต่งงาน ถ้าเป็นครูก็สอนลูกศิษย์ ถ้าเป็นนายก็สอนลูกน้อง หรือช่วยทำงานทางด้านศาสนา เพื่อที่จะปลูกฝังให้คนรุ่นหลังเป็นคนดีต่อไป พูดอีกอย่างคือ เป็นขั้นที่จะพัฒนาให้ตนมีความรับผิดชอบต่อสังคม แต่ถ้าพัฒนาผิดพลาด ก็จะทำให้บุคคลในวัยนี้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนแทน

ขั้นที่ 8 ความพอใจในตนเอง – ความสิ้นหวังและความไม่พอใจในตนเอง (Ego Integrity vs Despair)
วัยนี้เป็นระยะบั้นปลายของชีวิต ฉะนั้น บุคลิกภาพของคนวัยนี้มักจะเป็นผลรวมของวัย 7 วัยที่ผ่านมา ผู้มีอาวุโสบางท่านยอมรับว่าได้มีชีวิตที่ดีและได้ทำดีที่สุด ยอมรับว่าตอนนี้แก่แล้วและจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข จะเป็นนายของตนเองและมีความพอใจในสภาพชีวิตของตน ไม่กลัวความตาย พร้อมที่จะตาย ยอมรับว่าคนเราเกิดมาแล้วก็จะต้องตาย ถ้าเกิดว่าพัฒนาการที่ผ่านๆ มามีไม่เต็มที่แล้ว ในวัยนี้จะรู้สึกหมดอาลัย และท้อแท้สิ้นหวังกับชีวิตที่ผ่านมา





Create Date : 05 มีนาคม 2553
Last Update : 5 มีนาคม 2553 17:03:23 น. 0 comments
Counter : 17657 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

The wings สู้เพื่อฝัน
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




[Add The wings สู้เพื่อฝัน's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com