ไม่โกรธใช่ไหม (เรื่องสั้นจบในตอน)

ปากแดง ๆ จะไว้ใจได้กา.. แก้มใส ๆ จะไว้ใจได้กา...” เพลงของนักร้องสาวที่กำลังโด่งดัง บนเครื่องเล่นซีดีขางฝากหยุดแค่นั้น พัดลมและเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ในบ้านที่กำลังทำงานอยู่ก็สะดุดกึก แล้วแน่นิ่งไปทุกชนิด ไม่เว้นแม้แต่อมพิวเตอร์แก่ ๆ ที่เธอกำลังนั่งพิมพ์งานอยู่อย่างขะมักเขม้น มันไม่ได้ติดตั้งเครื่องสำรองไฟไว้ด้วย นรี ยกคีย์บอร์ดกระแทกลงบนโต๊ะอย่างขัดใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินอย่างเซ็ง ๆ ไม่แปลกใจเลยสักนิด เมื่อเริ่มได้ยินเสียงคนคุยกันแว่ว ๆ มามันเหมือนเป็นปฎิกิริยาลูกโซ่ เมื่อไฟดับ คนในบ้านจะเดินไปหน้าบ้าน เมียง ๆ มอง ๆ บ้านข้าง ๆ ดูว่าไฟดับด้วยไหม หรือบางทีถ้าอัธยาศัยที่ดีต่อกันก็ ชวนกันคุยเรื่องสัพเพเหระ
จนกว่าไฟจะมา แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตปกติ สะสางงานที่คั่งค้าง ทั้งที่จริง ๆ แล้วบางบ้านก็ไม่ได้จำเป็นอะไรมากไปกว่าการใช้ไฟฟ้าในช่วงบ่ายสองโมง ที่แดดกำลังร้อนเปรี้ยง ๆ แบบนี้

เธอพักอยู่ทาวเฮ้าส์สองชั้น ในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ เพิ่งมาเช่าได้สองเดือน บริษัทฯ ส่งเธอมาทำงานเกี่ยวกับการวิจัยผลผลิตทางการเกษตรให้แก่บริษัท จึงออกค่าเช่าให้ ทีมของเธอมีสามคน เป็นหญิงสอง ชายหนึ่ง ตอนนี้สามคนนั้นออกนอกพื้นที่ เหลือเธอที่อยู่เคลียร์เอกสารอยู่ที่บ้านเช่า หรือจะเรียกว่าสำนักงานก็ไม่ผิด

เธอเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้าน หวังจะนั่งรับลมที่ระเบียง เก้าอี้หวายตัวโปรดยังคงอยู่ที่เดิม แถมยังมีหนังสือเล่มหนึ่งกางคาไว้ที่โต๊ะเล็ก ๆ ข้าง ๆ เก้าอี้หวายรูปทรงกลม เธอมักจะเรียกมันว่ารังนก เสียงผู้คนจากบ้านข้าง ๆ ที่ออกมาสนทนากัน ดังชัดขึ้น เมื่อเธอออกมาสู่ที่โล่งจับใจความได้ว่ากำลังถามไถ่กันให้เซ็งแซ่ มันเริ่มต้นจากคำว่าไฟดับเหมือนกันไหม..แล้วก็เรื่อยไป จนคร้านที่จะใส่ใจเรื่องราวเหล่านั้น

หญิงสาวเดินไปหยิบหนังสือ และลงไปนอนเขลงอ่านหนังสือต่อจากหน้าที่กางไว้ เป็นนวนิยายของนักเขียนชื่อดัง ที่เพื่อนของเธอคงอ่านค้างไว้ อ่านไปได้สองหน้าก็วางมันลงที่เดิม เหม่อมองไปที่ท้องฟ้า สีฟ้าใส

อกหัก..ใช่เธอกำลังอยู่ในอาการนั้นแหละ พอหัวหน้าบอกว่าออกพื้นที่ จึงแล่นไปขออาสาเป็นคนแรก ตอนนี้แผลนั้นมันก็จางไปเยอะแล้ว เพราะเธอกับเขาจากกันด้วยดี จะว่าไปก็ผิดที่เธอมากกว่าที่ไม่แสดงท่าทีให้เขารู้ยกความเป็นเพื่อนมาอ้าง จนในที่สุด เขาก็ได้พบใครอีกคน ที่คิดว่าใช่ เขาจะแต่งงานกันในไม่ช้านี้ และนรีก็ได้รับบัตรเชิญในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าว เธอยิ้มขื่น ๆ กับท้องฟ้า ถอนหายใจ

ความรู้สึกของคนเรากับประสบการณ์ที่มันผ่านไปแล้ว มันคิดถึงแล้วใช่ว่าจะได้ความรู้สึกเดิมที่ไหนล่ะ ต่างเวลากัน คิดถึงเรื่องเดียวกัน บางทีจากหัวเราะขำ ๆ กลายเป็นร้องไห้ได้ง่าย ๆ เหมือนกันนะ

เธอรู้จักคำว่า “แฟน” กันตั้งแต่เมื่อไหร่นะ สายลมโชยเอื่อย ๆ ไฟฟ้ายังไม่มา เพราะเสียงคุยของคนข้างบ้านยังดัง สลับกับเสียงหัวเราะ ช่วงกลางวันอย่างนี้ไม่มีเสียงเด็ก คงเป็นเพราะเด็กในซอยนี้เป็นวัยศึกษากันหมด จึงไม่หนวกหูอะไรมากนัก

สมัยอนุบาล หรือปอหนึ่ง ไม่แน่ใจ เพื่อนมันเริ่มล้อว่าเราเป็นแฟนกับลูกชายเจ้าของร้านขายก๋วยเตี๋ยว อาจจะเป็นเพราะบ้านอยู่ใกล้กัน และมักจะแบ่งปันกันเรื่องการบ้านเสมอ ๆ ติดอยู่กลุ่มเรียนเก่งก็อย่างนี้แหละ เธอติดอยู่ในกลุ่มเรียนเก่งของห้อง แต่ก็ไม่เคยสอบได้ที่หนึ่งสักหน

สมัยเด็ก.. นรียิ้มเป็นยิ้มที่สดใสขึ้นดวงตาหรุบลง และปิดตา ไม่เคยนอนคิดอะไรเล่น ๆ แบบนี้นานแล้ว สมัยเด็กเคยเล่นไล่กอดกันไม่รู้ว่าถ้าเป็นสมัยนี้คงได้พ่อ-แม่ ผู้ปกครองไม่รู้จะวิ่งโร่ไปแจ้งความไหม ถ้าเวลาลูกสาวมาฟ้องมา เด็กชายคนนั้นมาเล่นวิ่งไล่กอด อยู่กลางสนามโรงเรียน

ฤดูหนาว หนาวของจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย ก็ประมาณสิบกว่าองศา ครูมักจะพานักเรียนออกไปนั่งเรียนนอกห้อง เพื่อจะได้ผิงแดดอุ่น ๆ ยามเช้าประมาณแปด-เก้าโมง

สมัยอนุบาล ห้องเรียนของเธอเจ๋งมาก ถ้าไม่ใช่เล้าไก่ ก็เล้าหมูดี ๆ นี่เอง ภาพที่ปรากฏในมโนนึกทำเอามุมปากเธอเปิดกว้างโดยไม่รู้ตัว อาคารชั้นเดียว ครึ่งปูนครึ่งไม้ไผ่ หลังคามุงจาก ลาดพื้นด้วยซีเมนต์ ที่เป็นเพียงปูนปนทรายปูทับด้วยเสื่อน้ำมัน เสาเป็นไม้ เหมือนนำต้นไม้เล็ก ๆ มาวางปักไว้ 6-10 ต้น ถ้าจำไม่ผิด ก่ออิฐบล็อกล้อมรอบทุกทาง เวลานักเรียนจะเข้า-จะออก ผู้ปกครองก็อุ้มหย่อนลงไปทางประตู หรือไม่ก็ไต่บันไดปูน ปีนข้ามอิฐบล็อกที่ว่า ตีล้อมรอบทุกด้านด้วยไม้ไผ่เป็นซี่ ระแนง มีประตูปิด-เปิด แบบว่าเหมือนขังอยู่ในเล้าไก่จริง ๆ นะ เรียกเล้าไก่แล้วให้ความรู้สึกดีกว่าเรียกเล้าหมู เพราะมันรู้สึกใกล้ ๆ เคียง ๆ ความจริงตอนนี้ รอยยิ้มแต้มมุมปากเป็นระยะ

ในห้องมีกระดานดำ นักเรียนนั่งเรียนกับพื้นที่ปูด้วยเสื่อน้ำมันนั่นแหละ ทั้งห้องมีโต๊ะอยู่สามตัว ตัวหนึ่งเป็นโต๊ะครูอยู่หน้าห้อง อีกสองตัวตั้งชิดข้างฝาไว้วางหนังสือ พักเที่ยงเสร็จ ครูก็ให้นอน ใครที่พกขวดนมไปก็ให้กินนมก่อน หรือใครไม่มีก็นอนเขลง แยกเป็นสองแถว หันเอาศีรษะเข้าหากัน เว้นช่องว่างตรงกลางไว้สำหรับครูเดินตรวจแถวนักเรียนนอน เออ แฮะ.. เท่าที่จำได้เธอเคยมีขวดนมไปกินที่โรงเรียนกับเขาด้วย

เออ..แล้วนี่อากาศมันร้อนหรือเราเสียสติหรือเปล่านะ นรีถามตัวเอง ลืมตามองท้องฟ้าใส ๆ สีฟ้ามีปุยเมฆบางเบาล่องลอยอยู่ ไฟยังไม่มา แต่เสียงคุยก็ยังดังมาเรื่อย ๆ ช่างมัน ถ้าจะคิดถึงความรักเมื่อสิบ-ยี่สิบกว่าปีก่อนแล้วเป็นบ้าก็ช่างมัน เธอถอนหายใจหลับตานอนต่อ ทั้งที่เมื่อคืนก็นอนดึก แต่นอนเล่นอย่างนี้ก็เลยง่วง ๆ เหมือนเธอพลิกตัวนอนหลับตาไม่คิดถึงความหลังแล้วจะให้คิดอะไรล่ะ แฟนก็ไม่มีเหมือนคนอื่นเขานี่

สมัยก่อนประมาณปี 2519 ซึ่งตอนนั้นนรีอายุได้สักสี่ขวบ ยังคงมีจักรยานคล้ายๆ กับจักรยานเสือภูเขา คือจะมีเหล็กขวางจากแฮนด์ถึงเบาะคนขับ สมัยนั้นเรียกว่า จักรยานผู้ชาย เพราะผู้หญิงถ้าไม่สูงจริงไม่มีใครกล้าขี่หรอก อีกอย่างผู้หญิงบ้าน ๆ มักจะนุ่งผ้าถุง สามสิบกว่าปีที่แล้ว กางเกงในก็ยังไม่เป็นที่นิยม นั่นแหละพาหนะสุดหรูที่พานรีไปถึงโรงเรียน แต่ว่าน้าผู้ชายเป็นคนไปส่ง ไม่ค่อยอยากหรอก
เพราะน้าไม่หล่อ อยากให้พ่อไปส่งมากกว่า แต่พ่อกับแม่อยู่คนละบ้าน นรีอยู่กับยาย.. “อยู่กับย้าย... มาตั้งแต่เล็ก.. อยู่กับยายมาตั้งแต่เด็ก” เธอยังจำเพลงที่เพื่อนเอามาล้อเลียนตอนโตขึ้นมาหน่อยได้ แต่ก็ไม่ได้มีปมด้อยอะไร เพราะยายทั้งรักและห่วงใย ดูแลอย่างดีตอนนั้นก็เด็กเกินกว่าจะคิดมากด้วย พ่อ-แม่ไม่เลี้ยง อยู่กับยายมีความสุขดี ยิ่งยายเอาใจเก่ง ก็คำสั่งของยายอีกแหละ ที่ให้น้าไปส่ง
แถมยังสงสารนั่งซ้อนท้ายจักรยานของน้าไปโรงเรียน ไอ้เจ้าที่นั่งซ้อนท้ายจักรยานสมัยก่อนมันเป็นเหล็กดี ๆ นี่เอง ฤดูหนาวเหล็กนี่จะเย็นมาก ที่นั่งซ้อนท้ายสมัยนั้นไม่ได้สบายเหมือนสมัยนี้หรอกที่หุ้มด้วยฟองน้ำและหนังเทียมอีกที ยายเขาก็เย็บหมอนเล็ก ๆ มัดติดไว้บนเหล็ก อากาศหนาวเราก็ไม่เย็นก้นแถมนุ่มสบาย หรูจะตาย

ไม่รู้ใครจะว่านรีแก่แดดไหม เพราะมีแฟนตั้งแต่สมัยอนุบาล ภาพเด็กชายตัวเล็ก ๆ ผอมกะหร่อง แต่หน้าตาดี ตาสวยเชียว ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ นายคนนี้ชื่ออะไรหนอ.. นายหนึ่ง อ้อเด็กชายสิ..เด็กชายหนึ่ง ถูกล้อคู่กันมา น่าจะถึงปอหก มีอยู่คนเดียวเห็น ดูเหมือนนรีไม่ใช่คนมีแววเจ้าชู้ รักเดียว รักจริง ตั้ง 7 ปี แต่เท่าที่จำได้ เธอเรียนอนุบาลปีเดียว ครูคนแรกในโรงเรียนชื่อ ครูจันทร์สม เป็นผู้หญิงสาวสวยสูง ผิวขาว หน้าตาดีเธอรักครูคนนี้มากเพราะใจดีให้เรียนอนุบาลแค่ปีเดียว ก็ให้ผ่านไปอยู่ปอหนึ่ง ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นเรียนกันสองปี

เสียงคนคุยกันเงียบไปแล้ว นรีค่อย ๆ ขยับตัว หยีตารับแสงเจิดจ้าของแดดบ่าย
กี่โมงแล้วก็ไม่รู้ คงจะสักสี่-ห้าโมงเย็นแล้วกระมัง เพราะไอแดดที่ได้รับไม่ได้ร้อนจัด หน้าบ้านหันไปทางทิศตะวันตก แต่แดดเริ่มส่องมาโดนผิวจนร้อนฉ่าทีเดียว
นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้กับการนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย นี่เธอเพลินกับเรื่องราวในอดีตได้อย่างไม่น่าเชื่อ เหงื่อซึมออกมาตามไรผม เธอลุกขึ้นมาเดินโผเผลงมาชั้นล่าง ไฟฟ้ามาแล้ว มิน่าล่ะเสียงผู้คนถึงได้เงียบไป ความที่ยังมึน ๆ ปวดศรีษะตุบ ๆ เหมือนคนเป็นไข้ เธอเลยไปค้นในกระเป๋าสะพายเพราะมักจะติดยาแก้ปวด
ไว้ในกระเป๋าเสมอ เผื่อออกพื้นที่ไปเจอคนป่วยบ้าง หรือเผื่อตัวเองเวลาปวดศีรษะบ้าง เจอซองที่มีตราร้านขายยา จึงหยิบออกมาสองเม็ดใส่อุ้งมือ เดินไปหยิบแก้วในห้องครัว กดน้ำตากระติกน้ำร้อนที่ถอดปลั๊กไปตั้งแต่เมื่อเช้า ส่งยาเข้าปาก ตามด้วยน้ำจนหมดแก้ว ล้างแก้วด้วยน้ำเปล่าตรงอ่างล้างจาน เอามาคว่ำไว้ที่เดิม คร้านที่จะทำงานต่อเสียแล้ว จึงเดินกลับไปบนชั้นสอง เปิดประตูห้องนอนแล้วปล่อยให้มันปิดเองอัตโนมัติ เปิดพัดลมเบา ๆ กดให้มันส่ายไปมา แล้วล้มตัวลงนอนต่อด้วยความง่วงงุนอย่างบอกไม่ถูก

เพดานขาว ๆ เรียบ ๆ ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกมึน ๆ เบลอ ๆ ดีขึ้น นรีก็เลยปิดตา.. นอนรับลมจากพัดลม ปล่อยความคิดต่อไปโดยไม่คิดห้ามปรามจากเด็กชายหนึ่ง ก็มาถึงตอนมัธยม ตอนนี้ชอบพี่สอง มีหนึ่งแล้วก็สอง เรียงลำดับกันอย่างบังเอิญ แย่งกันจีบอยู่กับปุ่น เพื่อนรัก แล้วก็ห่างหายกันไปเพราะหน้าที่และกาลเวลา ปุ่นนี่เองที่เป็นแรงจูงใจให้เธอหัดเขียนกลอน เพราะต่างก็ชอบอ่านนิตยสารวัยรุ่นเก็บเอากลอนที่ชอบมาท่อง จนทำให้เกิดความคิด ท่องจำของคนอื่นทำไมเนี่ย เขียนเองดีกว่า แต่ก็ยังอุตส่าห์จำได้แม่นในบทที่เขียนว่า

แมงปอ..ปีกบาง
เจ้ากาง..ปีกสวย
ช่วยบอก..เขาด้วย
คิดถึง..เขาจัง

แต่ไม่ทราบคนเขียนเป็นใครแล้ว จำได้ว่าตั้งแต่เรียนมัธยมต้น จนตอนหลัง
นอกจากหลงรักรุ่นพี่.. ก็พี่สองคนนั้นแหละ ยังแอบหลงรักครูสอนภาษาไทยด้วย
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้า จริง ๆ แล้วน่าจะทำแบบสำรวจเล่น ๆ นักเรียนหญิง
คนไหนใครไม่แอบหลงรักครูผู้ชาย ยกมือขึ้น !

ครูภาษาไทย, ครูสอนพละ มีครูอยู่คนหนึ่ง เขามาสอนในเทอมที่สองของปีที่เธอ
เรียนมอสาม รู้สึกว่าจบจากวิทยาลัยพละแล้วมาเป็นครูใหม่ที่โรงเรียนของเธอเป็นโรงเรียนแรก จริง ๆ เพื่อนในห้องก็มีหนุ่ม ๆ หล่อ ๆ ตั้งหลายคน แต่เด็กไป นรีชอบคนที่สูงอายุกว่าเพราะเป็นคนรักพ่อมาก โตขึ้นมานี่เพื่อนมักจะล้อว่าชอบมีแฟนแก่ จริง ๆ ก็พึงใจเพื่อนในห้องอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน มาดดี ขรึม นิ่ง สายตาที่เขามองนรีเหมือนพี่มองน้อง นรีก็สนิทกับเพื่อนคนนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ใช่รักแบบเป็นแฟน เขาก็ใจดีชอบเล่าความลับของผู้หญิงให้ฟัง โดยยกเป็นตัวอย่างพฤติกรรม แต่ไม่ใช่เป็นการนินทาผู้หญิงแบบระบุตัวไปเลย เขาชอบสอนเราว่าอย่าเอาอย่าง แบบนี้นะ ไม่ดี ไป ๆ มา ๆ เพื่อนคนนั้นทำให้เธอยอมเสียจรรยาบรรณ ไปหลงรักเอาหนุ่มรุ่นเดียวกันจนได้ แต่เขาก็เกิดก่อนนรีตั้งหกเดือน ถือว่าแก่กว่าก็ไม่ผิดนี่นา

อ้าว ลืม.. เธอหวนความคิดกลับมาเมื่อสมัยเรียนมอสามตอนแรกก็อยู่บ้านญาติ
ตอนหลังอยู่หอพัก หลังสุดนั่งรถไป-กลับดีกว่า เพราะบ้านกับโรงเรียนห่างกัน 32 กิโลเมตรใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ผ่านป่าเขา ลำเนาไพร ไกลสังคม ดินแดนแสนรื่นรมย์.... เสียงเพลงก้องเข้ามาในหัว รอยยิ้มแต้มบนเรียวหน้าที่งดงามดั่งภาพวาด ที่ช่างภาพบรรจงวาดเครื่องหน้าของมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งออกมาได้สวยงาม อย่างไม่มีที่ติ

ตอนนั้นนั่งรถไปเบียดกันไปในหน้าหนาวในรถสองแถวเล็ก ๆ สนุกจะตาย เช้า ๆ
ขี้เกียจนุ่งเสื้อแขนยาวด้วย เช้า ๆ สิบกว่าองศา ก็ใส่ชุดนักเรียนเสื้อคอบัว กับกระโปรงสีน้ำเงินจับจีบรอบตัว นั่งเบียดกันไปในตอนเช้า พอตกเย็น เลิกเรียนขากลับบ้านจะได้ไม่ต้องหิ้วเสื้อกันหนาว แค่กระเป๋าหนังสือก็หนักพอแล้ว

ตอนที่เรียนอยู่มอสาม ช่วงรอยต่อ จะย้ายไปเรียนมัธยมปลายที่ตัวจังหวัด มีหนุ่มมาจีบถึงบ้านคนหนึ่ง อ้อสองคนสินะ อยู่ในสายตาของยาย หนุ่มคนหนึ่งเป็นหนุ่มบ้านไกล มาจากจังหวัดสุรินทร์ เป็นเซลส์ขายยา หารู้ไม่ว่าสาวหน้าดีคนนี้ นิสัยก็ห่าม ๆ แย่ ๆ ขี้เกียจก็ปานนั้น

แต่ตอนนั้นรู้สึกดีมาก โอ้ย..! ได้รู้จักความคิดถึงแล้วล่ะ ก็เขาอยู่ไกลนี่ น่าจะขอบคุณพี่คนนี้มีบุญคุณ ทำให้เธอเขียนบันทึกเป็น เขียนจดหมายเป็น และคิดถึงเป็น รู้จักจะบรรยายความคิดถึงเป็นภาษาสวย ๆ เป็น แต่สาธุ อย่าให้พี่เขาเก็บจดหมายมาแฉได้เล้ย.. ภาษาสมัยเด็กริรักในวัยเรียน มาอ่านตอนนี้มันคงน่าขายหน้าพิลึก

นอกจากพี่คนนี้ ก็มีอีกหนุ่มหนึ่ง ที่นรีหลงรักหน่อย ๆ คือจริง ๆ จะว่าไปเขาคือแฟนเพื่อน แต่ตอนหลังเพื่อนคนนั้นไปเรียนต่อกรุงเทพฯ หนุ่มที่ว่าก็เลยเวียนมาวนที่ปรึกษา บ่นความคิดถึงเพื่อนเรา ทำไปทำมา เขาตกทอดมาเป็นของเธอจนได้

มอห้าค่ะ ก็ไปหลงรักพี่เจ้าของคอลัมน์ในนิตยสารเล่มโปรด.. หนุ่มนักเขียนที่มีผลงานลงประจำของนิตยสารเล่มนั้น ครูสอนภาษาไทย อีกแล้ว..แต่คนละคนกันกับ
สมัยเรียนมอสาม เพราะมอปลายนี่ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนในตัวจังหวัด

สรุปก็จำไม่ได้ว่าเคยมีแฟนมาแล้วกี่คน มีทั้งคนรักกัน และแอบรักข้างเดียว แต่ทุกรักที่ผ่านเข้ามาสดสวย ใส และไม่เคยนำมาคิดถึงเหมือนพร้อมหน้า พร้อมตาแบบนี้หรอกนะ เออ.. ใครจะไปนั่งคิดถึงแฟนตามลำดับอย่างนี้ทุกวัน บ้าสิ เอ๊อ.. ใบหน้างามแต้มยิ้มกริ่ม


สามทุ่มกว่าแล้ว เอนำรถมาจอดหน้าบ้านเช่า ไม่มีแสงไฟสักดวงออกจากในบ้าน
ซึ่งก็น่าแปลกใจเหมือนกัน ปกตินรีมักจะรอเขาและพื่อนกลับมาก่อนถึงจะนอน หรือวันนี้ไม่สบาย

"นรี..นรี" แตงส่งเสียงเรียกแต่ไม่มีคำขานรับ ผลักประตูมุ้งลวดเข้าบ้าน ควานหา
สวิทซ์ไฟเจอ ในบ้านก็สว่างพรึ่บ เธอกับเอเพิ่งกลับมาจากการไปสำรวจข้อมูลภาคสนาม แตงกวาดสายตาไปรอบ ๆ เห็นกระเป๋าถือของนรีวางอยู่บนโต๊ะทำงาน มีรอยถูกรื้อค้น มีซองยาจากร้านขายยาแห่งหนึ่งวางอยู่ เหลือยาอยู่ในนั้นสาม-สี่เม็ด เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปชั้นสอง พลางส่งเสียงเรียก

"นรี..นรี" ชายหนุ่มเดินไปยังตู้เย็นในห้องครัว หมายจะรินน้ำมาดื่มให้ชื่นใจ เอเพิ่งจะได้เปิดประตูตู้เย็นยังไม่ทันจะหยิบขวดน้ำ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเพื่อนดังมาจากชั้นสองของบ้าน มือผลักประตูตู้เย็นไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติ วิ่งขึ้นบันไดทีละสองขั้น ตรงไปยังต้นเสียงเห็นแตงกำลังเขย่าตัวเพื่อนสาว แล้วร้องไห้ เขาอึ้งทำอะไรไม่ถูก

"นรี .. ฮือ ๆ ..." เสียงของแตงคร่ำครวญ เรียกแต่ชื่อของเพื่อน แล้วก็เขย่าแต่ร่างอวบอิ่มนั้นไม่ไหวติง เอได้สติรีบวิ่งเข้าหาและช้อนตัวนรีขึ้นมาอุ้มลงบันได พลางสั่งให้แตงตามมา

เสียงโหวกเหวกทำให้เพื่อนบ้านออกมาชะแง้มองพอเห็นชายหนุ่มอุ้มร่างไร้สติของหญิงสาวก็หลายคนกรูกันเข้ามาช่วยเปิดประตูรถเก๋งคันที่จอดอยู่หน้าบ้าน เสร็จสรรพแล้วทุกคนก็ยืนมองรถเก๋งสีดำคันนั้นกระชากออกจากหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว

----

สมเกียรติ หัตถกรรม นักธุรกิจหนุ่ม รุ่นใหม่ ที่กำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า เดินลงมาจากชั้นสองของตัวบ้าน และเลยไปยังห้องอาหารเข้าประจำหัวโต๊ะ สาวใช้นำกาแฟมาเสิร์ฟก่อนจะถอยออกไป เขาเลือกหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะหลายฉบับ โดยเลือกดูจากพาดหัวข่าว วันนี้หนังสือพิมพ์ หัวสีเขียวยักษ์ใหญ่ของประเทศพาดหัวข่าวหรา

"ดร.สาวสวย น้อยใจแฟนหนีไปแต่งงาน กินยาตายประชดรัก" เขารีบเปิดเข้าไปดูรายละเอียดหน้าใน

"นรี" ชายหนุ่มยอกแสยง เจ็บแปล๊บในอก

------

เนื่องจากครอบครัวของนรีนับถือศาสนาคริสต์ จึงทำพิธีฝัง ศาสนพิธีได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ทุกคนทยอยกลับกัน เหลือก็แต่แตงกับเอ ที่ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่หน้าหลุมฝังศพของเพื่อนสาว

"เอ..เราขออยู่กับนรีเพียงลำพังได้ไหม" แตงหันไปบอกเพื่อนร่วมงาน เขาพยักหน้าเดินออกจากบริเวณ

'นรี แตงขอโทษ แตงไม่รู้ว่านรีแพ้ยาชนิดนั้น แตงกะจะฝากมันไว้ในกระเป๋าของนรี เผื่อวันที่เราออกภาคสนามด้วยกันอาจจำเป็นต้องใช้ นรีไม่โกรธแตงใช่ไหม' หญิงสาวรำพึงกับเพื่อนร่วมงานในใจ ผลการชันสูตรออกมาว่า นรีแพ้ยาที่อยู่ในซองที่เอและเธอกลับมานำไปให้หมอดู เธอช็อคหมดสติไปนาน ร่างกายขาดอ๊อกซิเจนนานเกินกว่าทางโรงพยาบาลช่วยได้ จากประวัตินรีไม่เคยมีอาการแพ้ยาชนิดนี้มาก่อน หมอก็เลยลงความเห็นว่าเป็นอุบัติเหตุ

'นรี ไม่โกรธแตงใช่ไหม' สายลมพัดกรูมาวูบหนึ่ง น้ำตาไหลที่เหือดแห้งไปแล้ว พร่างพรูอาบเต็มสองแก้ม แตงสะอื้นฮัก ๆ

'นรี แตงขอโทษ..แตงไม่ได้ตั้งใจ'

'แตง ไม่ได้ตั้งใจ'

....



Create Date : 22 กรกฎาคม 2549
Last Update : 22 กรกฎาคม 2549 1:40:40 น. 2 comments
Counter : 513 Pageviews.

 

เขียนเหมือนเล่าเรื่องคนใกล้ตัวเลยนะคะ


โดย: แตนต่อย วันที่: 22 กรกฎาคม 2549 เวลา:6:26:13 น.  

 
สวัสดีคุณแตนต่อย

เรื่องนี้แอบคัดมาจากบางตอนของสมุดบันทึกจ้ะ


โดย: ก่ำปุ้งตั๋วอ้วน วันที่: 29 กรกฎาคม 2549 เวลา:22:35:43 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ก่ำปุ้งตั๋วอ้วน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอบคุณป้ามด, คุณดอกหญ้าเมืองเลย, คุณ Bigwores, คุณโอน่าจอมซ่าส์, ของแต่งบล็อก และคำแนะนำจากเพื่อนๆ
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2549
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
22 กรกฏาคม 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ก่ำปุ้งตั๋วอ้วน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.