ผมก็เหมือนแฟนๆยูทูนับล้านๆทั่วโลกที่รู้สึกหงอย ใจหาย และอาจถึงขั้นสยดสยองกับซิงเกิ้ลแรกจาก No Line On The Horizon 'Get On Your Boots' ยิ่งจินตนาการเห็นผู้ชายวัยร่วม50มาดีดดิ้นกับเพลงเต้นรำแปลกๆอย่างนี้ยิ่งทำให้ฝันร้ายชัดเจนเข้าไปใหญ่ มันทำให้ผมแทบจะ ไม่หวังอะไรกับตัวอัลบั้มเลย ก็ธรรมดาซิงเกิ้ลมักจะเป็นเพลงที่ดีที่สุดของอัลบั้มไม่ใช่หรือ
No Line On The Horizon คือทิศทางใหม่อีกครั้งสำหรับพวกเขา หลังจากหลงทางลงห้วยตกเขาไปกับอัลบั้ม Pop ช่วงทศวรรษ 90's จนหลาย คนคิดว่าพวกเขาจะหาทางกลับมาบนท้องถนนแห่งดนตรีป๊อบไม่ได้แล้ว พวกเขาก็ตั้งหลักใหม่และยื่นใบสมัครเพื่อเป็นวงร็อคที่ดีที่สุดในโลกอีก ครั้ง(คำพูดเว่อร์ๆของโบโน)ใน All That You Can't Leave Behind (2001) ที่จงใจจะให้เป็นยูทูแบบคลาสสิกเน้นความเรียบง่ายและจับใจ โลกตอบรับและโอบกอดสี่หนุ่มไอริชอย่างอบอุ่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความโหยหาอารมณ์เดิมๆและบทเพลงในชุดนั้นมันเฉียบแทบทุกแทร็ค อัลบั้มต่อมา How To Dismantle An Atomic Bomb (2004) พบว่ายูทูยังเดินตามแนวทางเดิมเพียงแต่เพิ่มสีสันที่ดุเดือดขึ้นระดับหนึ่ง
รูบินจึงต้องไป และพวกเขาก็หันกลับไปหาซี้เก่า Brian Eno, Daniel Lanois และ Steve Lillywhite ที่เคยสร้างผลงานเกริกไกรกันมาแล้วใน อดีต แต่บุคคลที่น่าจะมีอิทธิพลกับเสียงของ No Line มากที่สุดก็คือ Eno
No Line ไม่มีเพลงที่เด่นมากๆออกมา แต่มันคืออัลบั้มที่ต้องฟังอย่างดูดดื่มต่อเนื่องตลอดเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง มันยังเป็นงานที่ต้องอาศัยเวลาและ สมาธิในการซึมซับอรรถรสทางดนตรีที่ถูกระบายลงไปเป็นชั้นๆอย่างซับซ้อน ฟังยังไงนี่ก็คือ sound ของ Eno ชัดๆ ถ้าจะเทียบกับ Viva La Vida ของ Coldplay ที่ Eno ก็เป็นโปรดิวเซอร์เหมือนกัน ก็ราวกับหนังสองเรื่องที่มีผู้กำกับคนเดียวกัน แต่มีดารานำคนละคน
นี่ไม่ใช่งานที่ฟังยากหรือซับซ้อนเกินไป พวกเขาฉลาดเกินไปกว่าที่จะฆ่าตัวเองด้วยการทำเพลงหลุดกรอบออกมาทั้งชุด Magnificent คือ คลาสสิกยูทูที่แฟนตัวจริงโหยหา อดัมย้ำเบสในแบบที่เขาเชี่ยวชาญ ขณะที่ The Edge พุ่งพล่านไปทั่วเพลง มันคือเพลงที่ให้คำตอบว่าพวกเขายังมีพลังในการทำเพลงแบบยี่สิบปีก่อนได้สบายๆแต่พวกเขาก็ทำให้ดูกันแค่เพลงเดียวพอ Moment Of Surrender***** ต่อยอดและพัฒนาจากเพลงบัลลาด-กอสเพลอย่าง Stuck In A Moment You Can't Get Out Of ใน All That You Can't Leave Behind ยาวกว่าเจ็ดนาที เสียงร้องของโบโนเข้มข้นและเร้าอารมณ์สุดยอด จะว่าไปเขาก็แทบไม่ เคยร้องแบบอื่น และที่เซอร์ไพรซ์คือโซโลหวานๆและล่องลอยจากคนใส่หมวกไหมพรมคนนั้น (อัลบั้มนี้ Edge ปล่อยของ--โซโลเพียบ!)
No Line On The Horizon**** ไทเทิลแทร็ค เสียงร้องและอารมณ์แบบพังค์ๆ การเดินทางของตัวโน้ตในท่อนเวิร์สน่าสนใจและไม่เหมือน เพลงใดๆก่อนหน้านี้ของยูทู Stand Up Comedy**** เล่นกับริฟฟ์แบบ Led Zeppelin และ I'll Go Crazy If I Don't Go Crazy Tonight ****ที่มีวิลไอแอมมาช่วยโปรดิวซ์ก็สนุกสนานในแบบที่ไม่นึกถึง The Black Eyed Peas แต่อย่างใด (ไม่ต้องห่วงไม่มีเสียงแรปจากวิล) โบโน กระชุ่นว่าชื่อเพลงนี้น่าเอาไปทำเป็นสโลแกนบนที-เชิร์ต
ในฐานะแฟนที่ติดตามกันมาตั้งแต่เกือบต้นๆ (ผมเริ่มฟังที่ 'War') No Line On The Horizon คือความภาคภูมิใจอย่างสุดซึ้งที่ผมมอบให้พวกเขา นี่คืออัลบั้มที่แม้แต่นักฟังประเภทชอบของเสมือนจริงยังควรจะต้องละอายใจและรีบวิ่งไปจ่ายเงินซื้อซีดีให้พวกเขา เสียงร้องมหัศจรรย์ของ Bono ยังไม่ทำให้ผิดหวัง ส่วนกีต้าร์ของ The Edge นั้นเล่นได้เกินคาดหวังเสียอีก Larry กับ Adam ก็ยังคงเป็น Larry กับ Adam คนเดิมที่ หนักแน่นแต่ไม่โดดเด่นออกมา