ไม่ประมาท
การมีสติก็คือความไม่ประมาท
แท้จริง คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ท่านย่อลงในสติ คือ บรรดาธรรมที่เป็นกุศลทั้งหมดรวมลงในสติ ส่วนธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมด ย่อลงในการปราศจากสติ เพราะการที่จิตมีสติ ก็คือความไม่ประมาท ส่วนการที่จิตปราศจากสติ ก็คือความประมาท
เพราะฉะนั้น สติก็คือความไม่ประมาทนั่นเอง คนที่ประมาท คือคนที่ปราศจากสติ ความไม่ประมาทนี้เองเป็นหลักย่อแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้า
โดยพระองค์ได้ตรัสไว้ว่า
"ภิกษุทั้งหลาย บรรดารอยเท้าสัตว์บกทั้งหลาย รอยเท้าช้างเป็นรอยเท้าใหญ่ รอยเท้าสัตว์บกอื่นๆ ย่อมสามารถรวมลงในรอยเท้าช้างได้หมดฉันใด ธรรมทั้งหลายบรรดาที่เป็นกุศลทั้งหมด ก็รวมลงในเรื่องความไม่ประมาททั้งหมดฉันนั้น" นี้หมายถึงธรรมที่เป็นกุศล ถ้าธรรมที่เป็นอกุศลคือเป็นบาป ก็รวมลงในความประมาททั้งหมด คือการปราศจากสติ
สติเปรียบเหมือนดวงไฟ เมื่อขาดสติ จิตถูกโมหะเข้าครอบงำเปรียบเหมือนไฟดับ ฉะนั้น ผู้ที่มีสติเหมือนกับว่าจิตนั้นมีดวงไฟให้แสงสว่างอยู่ คนที่ปราศจากสติ คือดวงไฟนั้นดับ เพราะมีกิเลสเข้ามาในขณะที่จิตมืด คือ โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นในขณะที่จิตปราศจากสติ พระพุทธเจ้าย่อคำสอนของพระองค์ลงในความไม่ประมาท คือการมีสติ แม้เมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ปัจฉิมโอวาทคือโอวาทสุดท้ายของพระองค์ก็รวมลงในความไม่ประมาท คือการไม่ไปปราศจากสติ ดังที่พระองค์ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว
วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ"
ซึ่งแปลว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีการเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมธรรม ท่านทั้งหลายจงทำประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาทเถิด"
พระองค์ทรงสรุปคำสอนของพระองค์ลงสู่ความไม่ประมาท คือไม่มัวเมาประมาท ก็คือให้มีสตินั่นเอง สติจึงมีความหมายมากเราจะทำอะไรก็ต้องมีสติ การทำกรรมฐานนั้นถ้าปราศจากสติแล้วไม่ได้ผลเลย โดยเฉพาะเราต้องได้อารมณ์ปัจจุบัน ถ้าไม่ได้อารมณ์ปัจจุบันแล้ว การทำกรรมฐานจะไม่ได้ผล ไม่ก้าวหน้า สติที่เรานำไปใช้ในกรรมฐานนั้น ก็คือสติที่อยู่ในปัจจุบันนี้เอง และสติที่อยู่ในปัจจุบันนี้มีสมาธิอยู่ในตัวด้วย คือในขณะใดที่จิตมีสติ ในขณะนั้น จิตชื่อว่ามีขณิกสมาธิอยู่พร้อมในตัว เป็นเหตุให้เราทำอะไรต่างๆ ไม่ค่อยผิดพลาด
สติจำต้องปรารถนาใช้ในงานทุกๆ อย่าง เหมือนกับเกลือจำต้องปรารถนาใช้ในการปรุงอาหารกับข้าวทุกชนิด และเหมือนกับอำมาตย์ที่มีความสามารถในราชการ ทางราชการปรารถนามากในงานทุกอย่าง สตินี้ก็เหมือนกัน ปรารถนาใช้ในที่ทั้งปวงในที่ทุกสถาน ดังพระบาลีที่ว่า "สติ สัพพัตถะ ปัตถิยา" ซึ่งแปลว่า "สติจำต้องปรารถนาใช้ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ"
เพราะว่าเมื่อใดใจปราศจากสติเสียแล้ว เมื่อนั้นงานทั้งปวงก็เสีย เพราะความประมาทเข้ามาแทรก กิเลสเข้ามาแทรก แต่สตินั้นไม่ใช่ฝึกได้ง่าย อย่างที่ทุกท่านฝึกจิตอยู่ทุกวันนี้ แม้พยายามแล้ว พยายามอีกที่จะให้มีสติ แต่มันมักเผลอไปบ่อยที่สุด ฉะนั้น จำเป็นจะต้องฝึกจิตให้มีสติ ใครมีสติสมบูรณ์มาก ผู้นั้นชื่อว่าประสบความสำเร็จในการฝึกได้มาก อย่างพระอรหันต์ทั้งหลายนั้น ท่านมีสติสมบูรณ์ที่สุด ไม่พลั้งเผลอในการกำหนด นั้นคือ ท่านได้ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในการฝึกจิตของท่าน
การที่จะให้จิตมีสติอยู่ได้มากนั้น ท่านอธิบายว่า ผู้ฝึกนั้นจำเป็นจะต้องหาองค์ประกอบเข้ามาให้จิตเกิดสติขึ้น ธรรมที่จะให้สติเกิดขึ้นนั้น ท่านกล่าวว่ามีอยู่ ๔ อย่างคือ
๑. สติสัมปชัญญะ คือให้มีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ
๒. ไม่คบคนที่จิตใจปั่นป่วน
๓. คบคนที่มีสติปัญญามั่นคง
๔. มีสติ มีใจน้อมไปในการมีสติ คืออยากเป็นคนที่มีสติมั่นคง
ประการที่ ๑ คือให้มีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ การที่มีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดกาลนั้น เราจะต้องทำอะไรด้วยการใคร่ครวญและทำช้าๆ อย่ารวดเร็วเกินไป เช่น การเดิน การกำหนดนามรูปเป็นต้น ต้องพยายามให้ตัวมีสติรับรู้ตลอดเวลา ฝึกตลอดเวลาในทุกอิริยาบถ ใครถ้าฝึกตนถึงแม้ไม่เข้าสู่สำนักกรรมฐานแต่มีสติอยู่ทุกย่างก้าวเท่าที่ทำได้ และมีสัมปชัญญะด้วย ผู้นั้นสติจะเกิดได้ไวไม่ค่อยพลั้งเผลอ
ประการที่ ๒ ไม่คบคนที่มีจิตใจปั่นป่วน คือคนที่มีสติฟั่นเฟือน หลงๆ ลืมๆ ป้ำๆ เป๋อๆ ก็ห่างคนนั้นเสีย ถ้าเราเข้าไปใกล้คนเช่นนั้น เมื่อนานเข้า บางทีเราจะติดโรคฟั่นเฟือนเข้าไปด้วย เพราะฉะนั้น ก็ต้องเว้น อย่าเข้าใกล้ เว้นไว้แต่เข้าไปคบด้วยความสงสาร เพื่อแนะนำเขาบ้างในบางครั้งบางคราวเท่านั้น นอกนั้นห่างให้ไกล เพราะเดี๋ยวมันจะติดเอาได้
ประการที่ ๓ คบคนที่มีสติปัญญามั่นคง คือพยายามคบหาคนที่จิตใจมั่นคง แล้วเราจะได้แบบอย่างของท่านที่มีสติมั่นคง
ประการที่ ๔ มีใจน้อมไปในการมีสติ คืออยากเป็นคนมีสติมั่นคง ได้แก่ให้พยายามปลุกใจให้เห็นคุณค่าของการมีสติ มีจิตใจน้อมไปในเรื่องนี้ ขวนขวายในเรื่องนี้อยู่เสมอตลอดชีวิตของเรา แล้วสติก็ค่อยก่อตัวขึ้น ให้คุณค่าแก่เราในการปฏิบัติ ทั้งในการปฏิบัติธรรมและปฏิบัติงานทุกชนิด
การมีสติ เป็นธรรมมีอุปการะต่อการดำเนินชีวิตมากในทุกรูปแบบ ไม่ว่าในทางโลกหรือในทางธรรม เป็นธรรมที่ทำที่พึ่งให้แก่ตนอย่างดีเลิศ
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "อะยัมปิ ธัมโม นาถะกะระโณ นี้คือธรรมที่ทำที่พึ่งอีกข้อหนึ่ง"
พึ่งตนเอง : พระธรรมวิสุทธิกวี(พิจิตร จิตวณฺโณ ปธ ๙) กราบอนุโมทนา
Create Date : 30 กันยายน 2549 |
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2549 1:05:42 น. |
|
115 comments
|
Counter : 944 Pageviews. |
|
|
วันนี้วันพระ น้องประกายดาวมาบอกบุญแต่เช้า
สาธุ ขออนุโมทนา เจริญยิ่งๆนะคะ..
ไปทำงานก่อนนะคะ