|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
แหลมกู๊ดโฮป โยกไปก็เยกมา
บาร์โธโลมิว ไดแอซ นายแน่มาก! ผมกำลังนึกถึงภาพการนำเรือของนักเดินเรือ ผู้ยิ่งใหญ่ชาวโปรตุเกสคนนี้ อ้อมแหลมกู๊ดโฮป ปลายสุดของทวีปแอฟริกา เมื่อกว่า 500 ปีมาแล้ว คงยากลำบากกว่าสภาพที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้หลายเท่า
หากใครคิดจะเดินไปไหนในอาคารที่พักท้ายเรือช่วงนี้ ต้องพยายามยึดเหนี่ยวสิ่งใกล้มือไว้ให้มั่น ฝาผนังและราวบันไดจึงเป็นที่พึ่งทางกายที่หาได้ง่ายที่สุด
สำหรับอุปกรณ์ในครัวอย่าง โต๊ะ ตู้ อ่างล้านจาน เตาอบ เตาไฟฟ้าหุงต้มอาหาร ชั้นวางของต่างๆ ล้วนถูกออกแบบมา เพื่อรับกับสถานการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว ด้วยการยึดหรือเชื่อมติดกับพื้นและผนังอย่างแน่นหนา รวมถึงเตียงนอน โต๊ะเครื่องแป้ง และโซฟาในห้องพักทุกห้อง ตลอดจนอุปกรณ์สำคัญทุกชิ้นบนสะพานเดินเรือ
แม้นาฬิกาในห้องครัว จะบอกเวลาใกล้เที่ยงแล้ว แต่หมอกหนาเป็นม่านขาวยังคงสนุกกับการบดบังทัศนวิสัย ในการเดินเรือต่อไป
ลมผสมละอองเย็นวิ่งปะทะร่างผมทันที เมื่อก้าวขาออกนอกอาคารที่พัก แรงของมันหนักหน่วงจนผมต้องชะงัก ถอยกลับไปยังจุดเริ่มต้น สภาพอากาศเวลานี้อนุญาตให้ผม ส่งสายตาออกมาข้างนอกได้เท่านั้น คลื่นลูกโตยังคงโหมกระหน่ำใส่กราบเรือไม่หยุด ราวกับจะฉุดให้จมลงสู่ก้นทะเล
หลายคนเริ่มมีอาการเมาคลื่นให้เห็น โดยเฉพาะห้องเครื่อง 2 คนนี้ หวาน กับ เชษฐ์ จนต้นกลต้องไล่ขึ้นไปพัก ลำพังงานในห้องเครื่องจักร ที่ร้อนอบอ้าวกว่า 50 องศาเซลเซียส กับสารพัดกลิ่นน้ำมัน ก็มากพอจะทำให้คนไม่คุ้นชินเกิดอาการมึนและเมาได้ง่ายๆ แล้ว อย่าว่าแต่คนผ่านงานมานานก็เถอะ ยิ่งเจอะเจอคลื่นลมแปรปรวนแบบนี้ อาการเวียนหัวตาลายจึงถามหาได้ไม่ยาก
เรือยังคงเดินหน้าทำมุมเอียงไปมาไม่ต่ำกว่า 45 องศา กับระดับน้ำทะเลต่อไป ในความเร็วที่ถูกต่อต้านอย่างหนัก จากคลื่นและลม คงเป็นสภาพเดียวกันกับเมื่อครั้งศตวรรษที่ 17 ตอนที่กัปตันชาวดัตช์ เฮนดริก แวน เดอร์ เดกเค่น พยายามนำเรือ The Flying Dutchman อ้อมส่วนใต้สุดของทวีปนี้ เพื่อหวังติดต่อค้าขายกับประเทศฟากตะวันออก แต่โชคร้ายเขาและลูกเรือทั้งหมดต้องจมหายสาปสูญไปไร้ร่องรอย
ตามตำนานกล่าวว่า กัปตันเดกเค่นนำเรือฝ่าพายุบ้าคลั่ง โดยไม่ยอมฟังเสียงทัดทานใดๆ จากลูกเรือที่เตือนว่า นี่อาจเป็นสัญญานจากพระผู้เป็นเจ้าให้ยกเลิกภาระกิจนี้เสีย แต่ด้วยความดื้อรั้นมุทะลุของกัปตัน นับจากวันนั้นเรือสินค้าอันเลื่องชื่อก็จมสู่ห้วงทะเลลึกชั่วนิรันดร์
เรื่องนี้คงถูกลืมเลือนนานแล้ว หากไม่ใช่เพราะเสียงโจษจัน จากนักเดินเรือคนแล้วคนเล่า ซึ่งอ้างว่าเห็นเรือปิศาจ The Flying Dutchman ปรากฏตัวขึ้นบริเวณน่านน้ำแถบนี้ เหตุการณ์ที่รู้จักกันดีก็เช่น ในปี 1881 ลูกเรือประจำเรือของเจ้าชายจอร์จที่ 5 คนหนึ่ง เห็นเรือปิศาจแล่นนำอยู่ข้างหน้า และเพียงไม่นาน เขาและเพื่อนลูกเรือคนอื่นๆ ก็จบชีวิตลงโดยไม่ทราบสาเหตุ และในปี 1939 มีผู้คนมากกว่า 60 คน อ้างว่าเห็นเรือปิศาจแล่นเรียบชายฝั่ง แล้วหายไปท่ามกลางความมืด ล่าสุดปี 1942 นอกชายฝั่งเมืองเคปทาวน์ของแอฟริกาใต้ ผู้บังคับการเรือ U Boot แห่งราชนาวีเยอรมัน ก็อ้างว่าเห็นเรือของกัปตันเดกเค่นแล่นตัดหน้าไป ทั้งหมดจึงกลายเป็นตำนานคลาสสิคเล่าขานกันไม่รู้จบ ของ The Flying Dutchman
ในหนังสือวิชาสังคมสมัยชั้น ม. 2 ของผม แหลมกู๊ดโฮป หรือ แหลมแห่งความหวัง ช่างสวยงามและน่าเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศจริงอย่างยิ่ง แต่หลังจากวันนี้ หากมีโอกาส ผมจะบอกคุณครูผู้สอนให้ช่วยอธิบายเพิ่มเติมว่า กรุณาใช้เส้นทางบนบกเท่านั้น หากคิดมาทางทะเลล่ะก็จะไม่รับประกันความปลอดภัย
และเหตุนี้เอง แหลมพายุ จึงเป็นอีกชื่อที่ดูเหมาะเจาะลงตัวกว่า อย่างที่ไดแอซเคยให้สมญานามไว้เมื่อปี 1488 หลังจากพระเจ้ายอร์นที่ 2 แห่งราชอาณาจักรโปรตุเกสรับสั่ง ให้เขานำเรือเลียบฝั่งแอฟริกา เพื่อหาทางอ้อมทวีปให้ได้ 13 วันที่เขาแล่นเรืออยู่ในทะเลลึก ท่ามกลางสภาพอากาศแปรปรวน คลื่นลมบ้าคลั่ง ยากแก่การเดินเรือฝ่าไปได้ แต่ในที่สุดเขาก็เห็นฝั่งทอดตัว ตามแนวตะวันออกและตะวันตกอีกครั้ง นั่นแสดงว่าเรือได้อ้อมแหลมสุดของทวีปแอฟริกาแล้ว ไดแอซจึงนำความสำเร็จนี้ไปกราบทูลพระองค์ และเรียกชื่อแหลมแห่งนี้ว่า แหลมพายุ
ต่อมาพระองค์ทรงเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า แหลมแห่งความหวัง เพราะเป็นเส้นทางแห่งความหวังใหม่ทางการค้าที่เปิดประตู สู่โลกตะวันออกและอินเดีย
เรือของเรายังคงมุ่งหน้าต่อไป สวนทางกับเรือของไดแอซ ที่ครั้งหนึ่งเคยผ่านมา ณ จุดเดียวกันยังแหลมกู๊ดโฮปแห่งนี้ ว่ากันตามหลักภูมิศาสตร์ แหลมกู๊ดโฮปก็ไม่ใช่ส่วนปลายสุดของทวีปแอฟริกา หากแต่เป็น แหลมอากุลฮาส ซึ่งขึ้นชื่อลือชาเรื่องพายุ และคลื่นลูกโตไม่แพ้กัน อยู่ห่างจากแหลมกู๊ดโฮปไปอีก ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราว 200 กิโลเมตร เป็นอีกย่านอันตรายของเรือบรรทุกสินค้า เพราะมีเกาะแก่งและโขดหินใต้น้ำมากมาย ทำให้เรือจำนวนไม่น้อยติดตื้นหรืออับปางนอนหงาย อยู่ใต้มหาสมุทรมาแล้วนับไม่ถ้วน
ทะเลบริเวณแหลมทั้งสองนี้เอง เป็นจุดปะทะกันของกระแสน้ำเย็นจากมหาสมุทรแอตแลนติก และกระแสน้ำอุ่นจากมหาสมุทรอินเดีย ที่มีอุณหภูมิต่างกันสุดขั้ว เป็นที่มาของสภาพอากาศแปรปรวน เกินคาดเดา และหมอกลงจัดตลอดปี แม้กระทั่งกลางเดือนตุลาคมขณะที่เรือของเรามาเยือน
ระหว่างนี้ผมจึงมีลูกค้าขาจรเพิ่มขึ้นอีก 2 คน ในการดูแลเรื่องอาหารการกินให้ เชษฐ์อาการไม่เท่าไหร่ นอนพักปรับตัวสักหน่อยก็น่าจะดีขึ้น แต่สำหรับหวานยังมีอาการหน้าซีดเป็นผีญี่ปุ่น แถมกินอะไรไม่ลงจนกุ๊กต้องบังคับให้หาอาหารใส่ท้องบ้าง มิฉะนั้นอาการเมาคลื่นจะไม่ทุเลา
เช่นเคย กุ๊กไม่ใช่หมอแต่อาศัยประสบการณ์ในการรักษา ไม่หิวก็ต้องกิน อย่าปล่อยให้ท้องว่าง กุ๊กสั่ง
เอ็งเก็บแรงไว้เมาที่บราซิลดีกว่า กุ๊กคงกังวลล่วงหน้าว่าจะหาเพื่อนร่ำสุราไม่ได้
หวานหยิบชามข้าวต้มไปวางตรงหน้าตัวเอง ก่อนส่งสายตาไม่สร่างเมามาทางผม
พลันผมก็เห็น ดินแดนแห่งความหวัง ตั้งอยู่ในดวงตาคู่นั้น
Create Date : 02 พฤษภาคม 2552 |
|
1 comments |
Last Update : 2 พฤษภาคม 2552 10:49:29 น. |
Counter : 1410 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: wngwbnsn IP: 61.7.186.95 2 พฤษภาคม 2552 18:04:49 น. |
|
|
|
|
|
|
|