DR.MOO CAN DO
Group Blog
 
 
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
25 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
เผยเหตุ หมอฆ่าหมอ : ฆาตกรรมอำพราง

           ภาพของบุคคลที่สวมเสื้อกาวน์ขาวสะอาด และสองมือที่มีไว้เพื่อโอบอุ้ม ช่วยชีวิตผู้ทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ดูอบอุ่น สวยงาม และเป็นมโนภาพที่ฝังอยู่ในความรู้สึกของคนทั่วไปยามที่นึกถึงคนที่มีอาชีพแพทย์ มันจึงสั่นสะเทือนต่ออารมณ์ ความรู้สึกของคนในสังคมไทยไม่ใช่น้อย เมื่อนักบุญเหล่านั้นลุกขึ้นมาก่อคดีฆ่าคน คดีแล้วคดีเล่าในช่วงที่ผ่านมา
วันนี้เราจะมาหาคำอธิบายบางอย่างในเรื่องนี้ จากผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์จิตใจมนุษย์ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนิติจิตเวช กรมสุขภาพจิต 


มีทฤษฎีอะไรบ้างที่กล่าวถึงสาเหตุของการเป็นฆาตกร ทฤษฎีนั้นกล่าวถึงอะไรบ้างคะ
           ทฤษฎีของทางจิตวิทยา กล่าวว่า การกระทำ หรือ พฤติกรรมของบุคคล ใดๆ ก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีสาเหตุมาจาก แรงจูงใจ หรือแรงผลักดันภายใน ซึ่งอยู่ในระดับจิตสำนึก หรือ จิตใต้สำนึกก็ได้ ไม่มีการกระทำอะไรที่ไม่มีคำอธิบายทางจิตวิทยา เช่น ทำไมวันนี้ต้องใส่เสื้อสีแดง มันก็ต้องมีแรงจูงใจว่า ที่ใส่เสื้อสีแดงวันนี้จะไปพบใคร รู้สึกจะทำให้ตัวเองสะดุดตาอย่างไร ทำไมวันนี้ใส่ชุดนักเรียน ใส่นักศึกษาเพราะอะไร รู้สึกอะไร
           ถ้าตั้งใจเขาเรียกว่าจิตสำนึก คือ เรารู้ตัว เราต้องการ เราอยาก เราเป็น ถ้าไม่ตั้งใจแต่มีความต้องการอยู่ภายในที่เราอาจจะไม่รู้ อันนี้ เรียกว่าจิตไร้สำนึก หรือ จิตใต้สำนึก ซึ่งมันเป็นแรงขับดันให้เราทำอะไร อย่างเช่น การกิน ส่วนจิตสำนึกบอกว่าให้กินของอร่อย มันจะประกอบด้วยกันทั้งสองฝ่าย ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตรู้ว่าแม่เป็นคนผมยาว สวย เขาประทับใจว่าจะชอบคนผมยาว ก็เก็บเข้ามาในสมองส่วนลึก โตขึ้นมา พอเขาเห็นผู้หญิงผมยาว เขาก็จะมีความปรารถนาดีกับผู้หญิงคนนั้น เป็นต้น อย่างนี้เรียก จิตใต้สำนึก นอกจากนี้ ก็มีจิตก่อนสำนึก เขาเรียกว่า Preconscious คือ เหมือนๆ จะลืม เหมือนๆ จะจำ เช่น เมื่อวานเย็นทานข้าวกับอะไร มันเหมือนกับจะจำไม่ได้แล้ว แต่พอนึกขึ้นมาก็จำได้ เป็นต้น 
           พวกนี้มันจะเหมือนกับภูเขาน้ำแข็งที่มียอดเล็กยอดใหญ่ ยอดใหญ่ โผล่พื้นอยู่ตลอดเวลา เราเรียกว่าจิตสำนึก คือเรารู้ตัว ยอดฐานที่อยู่ใต้น้ำทั้งหมด คือจิตไร้สำนึกที่เราไม่รู้ และที่อยู่ตรงปริ่มๆ น้ำ วันดีคืนดี น้ำ เคลื่อนไหวมันก็ไปอยู่ใต้น้ำบ้างโผล่มาบ้าง เช่น เมื่อวานกินข้าวกับอะไร นึกไม่ออก ก็อยู่ใต้น้ำ แต่เมื่อเรานึกขึ้นมา อ้อ..เมื่อวานนี้ เรากินข้าวกับอะไร ก็โผล่พ้นออกมา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงจูงใจของคนให้ทำการต่างๆ
มีคนไข้จำนวนไม่น้อยที่ฆ่าพ่อแม่ แต่ฆ่าเสร็จแล้วบอกว่าตัวเองไม่ได้ฆ่า ใครถามก็บอกว่าตัวเองไม่ได้ฆ่า ฆ่าได้ไงก็พ่อแม่คือคนที่มีบุญคุณเลี้ยงดูเรามาตลอด แต่ในเหตุการณ์มีพยานเห็นว่าฆ่าพ่อจริงๆ แต่ด้วยกลไกที่เรียกว่าจิตไร้สำนึก ที่เรียก กลไกการป้องกันทางจิต เขายอมรับในระดับจิตสำนึกไม่ได้ การฆ่าพ่อแม่นี่มันเป็นบาปมากเลยนะ เขายอมรับมันไม่ได้ เขาต้องใช้จิตไร้สำนึกของเขาปฏิเสธสิ่งที่เขาทำ ทำให้ในสำนึกของเขาบอกว่าไม่ได้ฆ่า ถามเท่าไหร่ก็ไม่ได้ฆ่า เขาบอกอำพรางหรือเปล่าล่ะ อันนี้ก็ไม่ใช่อำพราง แต่ว่าเป็นเรื่องของกลไกทางจิตไร้สำนึก โดยทั่วไป เขาเรียกว่าอาจจะตั้งใจ

ปัจจัยภายนอกตัวฆาตกรคืออะไร ปัจจัยภายในตัวฆาตกร คืออะไร ปัจจัยใดเป็นปัจจัยที่มีผลเป็นตัวกำหนดมากกว่ากัน
           การที่คนเราทำอะไร ต้องมีปัจจัยภายนอกกับภายใน ภายในคือภายในจิตใจของบุคคล ภายนอกก็สถานการณ์ต่างๆ ในส่วนที่ผมถนัดนั้นจะพูดถึงปัจจัยภายในตัวบุคคล ถามว่าสภาวะแวดล้อมมีผลให้เขาผลักดันฆาตกรรมอำพรางไหม ก็ตอบว่าน่าจะมี แต่จริงๆ แล้วก็คือ ปัจจัยภายในเรื่องใหญ่ สมมติว่าเขาคิดแล้วลงมือฆาตกรรมใครสักคนหนึ่ง การที่เขาจะปลอดภัย และสามารถทำอะไรบรรลุวัตถุประสงค์ ส่วนใหญ่เขาจะต้องมีการคิดและวางแผนล่วงหน้า

วิวัฒนาการของฆาตกรทั้งหลายตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน เป็นอย่างไรบ้าง

การวางแผนสมัยก่อนกับสมัยนี้ แตกต่างกันในแง่ เทคโนโลยี หรือวิธีการ

           เทคโนโลยี คือ พวกข้อมูล ข่าวสาร โทรศัพท์มือถือ อะไรก็แล้วแต่ มันมีเป็นองค์ประกอบ ในการที่จะทำให้การวางแผนนั้น ทำได้ง่ายขึ้น แต่ว่าคนที่เป็นฆาตกรนั้นเขาจะมีการปรับเปลี่ยนตัวเองตามสถานการณ์
เขาก็มีการปรับตามสภาวะแวดล้อมที่เขาอยู่ ก็คือวิธีการ หลักการ อาจจะไม่แตกต่างกันมาก แต่ในรายละเอียด อาจจะต่างกันไป อย่างสมัยก่อน เวลาจะฆ่ากันที อาจจะต้องมีการส่งคนล่อลวง ซึ่งเดี๋ยวนี้แค่โทรศัพท์ไปก็มาแล้ว ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาให้เกิดความเชื่อใจ
           พฤติกรรมของคนเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไป คนเชื่อคนง่ายขึ้น อย่างเช่น ในหนังสือพิมพ์ที่ลงไปว่าชายหนุ่มคนหนึ่ง ขับรถมาทักทายผู้หญิง หวัดดีครับ อยากรู้จักด้วย แลกเปลี่ยนนามบัตรกันเรียบร้อย พรุ่งนี้โทรนัดไปกินข้าวก็ใส่ยานอนหลับเลย ผู้หญิงเป็นนักศึกษาเอแบค อายุ 28 ปี เพิ่งอยู่ปี 2 เอง เรียบร้อย อย่างนี้เป็นต้น เพราะความที่สังคมมันเปลี่ยนไป ก็ทำให้บางอย่าง เช่น วิธีการคิดต่างๆ เปลี่ยนไป 


ในแง่ของคนร้ายที่มีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน คนฉกชิงวิ่งราว ตีหัว ผู้ร้ายฆ่าคน และ คนร้ายที่วางแผนอย่างใจเย็นเพื่อการฆาตกรรมนี้ ทฤษฎีอธิบายแตกต่างกันอย่างไร ปัจจัยที่กำหนดแตกต่างกันอย่างไร
           ปล้นฆ่าคนเขาเรียกฆาตกร ฆาตกรก็ต่างจากโจรทั่วไป ฆาตกรจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ฆาตกรโดยสันดาน ก็คือ หมายความว่า ทำการฆาตกรรมบ่อยๆ ฆ่าแล้ว ฆ่าอีก เขาเรียก Serial Killer หมายถึง มีความสุขกับการฆ่าคน ฆ่าเพราะว่าอยากฆ่า โดยที่ไม่ได้มีความโกรธแค้น

แล้วตรงนี้เขาเรียกว่ามันเป็นโดยสันดานหรือเปล่าคะ ?
           จริงๆ แล้วพวกนี้มันมีพื้นฐานมาจากบุคลิกภาพ คือคนที่ทำความผิด บุคลิกภาพพื้นฐานก็มักเป็นพวกต่อต้านสังคม หรือ พวกที่ติดยาเสพติด หรือถ้าบุคลิกภาพดี ไม่มีอะไรเสียหายแต่เขาเสพยา ก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ทำความผิดได้ หรือพวกอันธพาลแบบต่อต้านสังคม คือ เขาไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น ไม่รู้ว่าทำแบบนี้จะไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน ใครจะเศร้าโศกเสียใจอะไร เขาไม่สน

แล้วมีวิธีแก้อย่างไร คะ
           พวกนี้เหรอ วิธีแก้ก็เข้าคุกไง ถ้าโดยสันดานส่วนใหญ่ก็ต้อง เข้าคุก ถ้าสันดานยังไม่หนามากก็รักษาได้ แต่ต้องเข้ารักษาเป็นปีๆ

ฆาตกรไทยอย่างกรณี “เสริม สาครราช” ถือเป็นฆาตกรโรคจิตหรือไม่ 
             คำว่าโรคจิตในทางวิชาการ คือ คนไข้ที่เจ็บป่วยทางจิต เป็นอาการ วิกลจริต เช่น คนไข้คนนี้เป็นคนโรคจิต ในโรงพยาบาลนี้นะ ก็แปลว่าคนไข้คนนี้วิกลจริต แต่ในสังคมเราบอกคนไข้คนนี้โรคจิต แปลว่า คนนี้ เป็นคนที่ใจคอโหดร้าย ซึ่งมันคนละความหมายกัน
          คำว่าโรคจิตในทางการแพทย์ตรงกับภาษาอังกฤษที่เรียกว่า Psychosis = วิกลจริต = คนบ้า ทางการแพทย์ก็คือ คนที่มีความผิดปกติทางจิตใจอย่างรุนแรง จิตใจตัวนี้ไม่ได้แปลว่าหัวใจ แต่หมายถึง Mind or Mental ไม่ใช่สมองด้วย
          Mind ตัวนี้ เท่ากับบุคลิกภาพ การแต่งกาย การพูด การคิด การรับรู้ การตัดสินใจ ยกตัวอย่าง การแต่งกาย คนเราก็ต้องแต่งกายให้เหมาะสม คนไข้ที่วิกลจริตเนี่ย เขาจะแต่งกายไม่เหมาะสม เขาผิดปกติอย่างรุนแรง แปลว่า ทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น ทำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน หรือการพูด ไม่ใช่มาถึงก็พูดจ้อเลย หรือ ถามก็ไม่พูด นิ่งตลอดเวลา หรือพูดแต่พูดไม่รู้เรื่อง ถามว่าไปไหนมา ตอบ สามวาสองศอก
วิธีคิดก็คิดไม่เหมือนคนอื่น เขาจะคิดว่ามีคนมาปองร้าย มีคนจะเอาคอมพิวเตอร์มาบังคับ หรือการรับรู้ เช่น ได้ยินในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ได้ยินกัน ได้ยินเสียงคนพูดว่าฆ่ามัน ฆ่ามัน อะไรอย่างนี้เป็นต้น เป็นอย่างนี้ เรียกว่าโรคจิต
การที่คนจะไปทำร้ายใคร หรือฆ่าใครภายใต้ความพิการทางจิต กฎหมายละเว้นโทษให้
          แต่ในที่นี้จะบอกว่า นายเสริมไม่ได้เป็นคนวิกลจริตยังบอกไม่ได้ เพราะว่าคดียังไม่สิ้นสุด จะไประบุให้เขาไม่ได้ ต้องอยู่ในกระบวนการตรงนั้น ถ้าเขาตัดสินแล้วอันนี้จะมาอธิบายให้ฟังได้

เมื่อเทียบกับ Serial Killer หรือ Psycho Path ของต่างประเทศ ของไทยมีลักษณะที่บอกชัดแบบนี้หรือไม่คะ 
          Psycho Path ก็คือ Antisocial อาจจะเป็น Antisocial Personality , Antisocial Behavior แปลมาตรงๆว่า Antisocial คือ ต่อต้านสังคม ก็คือไม่ทำตามกฎสังคม ชอบทำอะไรที่แปลกเด่น ทำอะไรที่ฝ่าฝืนกฎหมาย พวกแก๊งซามูไร ขี่มอเตอร์ไซค์ร่อนไปร่อนมา ชกชิงวิ่งราวอะไรพวกนี้ พวกนี้มักจะตกอยู่ในบุคลิกภาพแบบนี้ ลักษณะอย่างนี้มันมีได้ทั่วโลก เมืองไทยอาจจะ under เพราะว่าคนพวกนี้มักจะถูกจับไว้ในเรือนจำ ถ้าถามว่ามีการวิจัยศึกษาอะไรมากไหม ในเมืองไทยยังน้อยอยู่ เพราะฉะนั้นคงจะยังตอบไม่ได้ แต่ถามว่ามีไหม ในเมืองไทยมีแน่นอนครับ

ลักษณะสถานที่ที่มักจะเลือกใช้ในการปฏิบัติการของฆาตกรแต่ละคนเป็นอย่างไร 
         ถ้าสมมติว่าเป็นฆาตกรโดยนิสัยเนี่ย เขาก็จะเลือกชัยภูมิในการทำ เพราะว่า เขาคงไม่ประสงค์ที่จะฆ่าเหยื่อแต่อย่างเดียว คือการฆ่าคนนี่โดยปกติแล้ว มันต้องมีเหตุ เช่น คุณมาด่าว่าผม คุณมาทำร้ายผม ผมถึงไปฆ่าคุณ ส่วนคนที่จ้องไปฆ่าคนเพราะว่าฆ่าแล้วสนุก มันสนุกยังไง มันสนุกตอนที่กำลังจะฆ่า ฆ่าแล้วคนจะร้อง ร้องแล้วจะตายลงไปต่อหน้า มันเป็นความรู้สึกแบบว่าโรคจิตน่ะ พวกนี้มันจะต้องอยู่ในสถานที่ที่มันทำประจำ มีหนังเรื่องหนึ่ง มันจะเอาผู้หญิงไปแช่น้ำตลอดเวลา เขาก็จะจับผู้หญิงไปนะ เสร็จแล้วเขาก็จะเอาไปเปลือยและก็ขึงไว้ในถังแก้วใหญ่ๆ แล้วก็เปิดน้ำให้ไหลลงมา ไหลๆๆ เขาก็จะออกไปสัก 3-4 ชั่วโมง แต่เขาจะถ่ายกล้องไว้นะ ผู้หญิงคนนี้ก็จะทรมาน แล้วเขาจะมาดูตอนที่ผู้หญิงจมแล้ว มาดูท่า ท่าตอนที่คนมี reflex ก่อนตาย ตอนนั้นจะชอบมาก เพราะฉะนั้นถ้าคนๆ นั้นโดยสันดานแล้วมีความสุขกับการฆ่าคน เขาจะต้องเลือก จะต้องเตรียมการอย่างดี แต่ที่เรียกว่าไปฆ่าคนแบบมือปืนอย่างนี้นะ เขาไม่ใช่ Serial Killer มือปืนเขาจ่ายเงินก็ไปยิงแล้ว เขาทำเพราะว่าอยากได้เงิน เขาไม่ได้ทำเพราะว่าเรื่องของจิตใจ ที่มีความสุขกับการฆ่าคน

อาจารย์คิดว่า การฆาตกรรมอำพราง หรือว่าซ่อนเงื่อนในสังคมไทย มีแนวโน้มเป็นอย่างไรคะ เมื่อดูจากสภาพจิตใจของคน 
         ผมว่าไม่น่ามีอะไรนะ เพราะว่าตอนนี้ คือสังคมไทย มันดีขึ้นน่ะ ผมมองอย่างนั้นในประเทศไทยนะ ไอ้ที่จะเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนคงไม่ใช่ มีคนมาถามผมว่าทำไมเดี๋ยวนี้ หมอฆ่ากันบ่อย จริงๆ ไม่บ่อยหรอก แต่พวกคุณสนใจไง คุณเอาสถิติมาเทียบสิ คุณต้องถามเขาว่า ฆ่ากันด้วยสาเหตุใด ซึ่งก็มีทุกคนแหละครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอ ถ้าทำสถิติก็จะมี หมออาทิตย์ ,หมอบัณฑิต ,หมอวิสุทธิ์ ,เสริม กี่สิบปีล่ะ มี 4 คน คุณเอาวิชาอื่นสิ วิศวะ ฆ่าคนไปเท่าไร่ คุณไปนับดูสิ พ่อค้าฆ่าคนไปเท่าไร่ นึกออกไหม ถ้าคุณจะเอาแบบนั้น เพียงแต่หมอ เราสนใจ ถ้าถามว่าเขาฆ่ากันเพราะอะไร เหมือนกันน่ะ เรื่องผู้หญิงเป็น เบอร์หนึ่ง เรื่องที่สอง คือเรื่องสมบัติ คุณต้องดูอย่างนี้ ไม่ใช่ไปเทียบใช้วิชาชีพมาพูด หมอมันก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่คุณอาจจะคาดหวังว่าหมอต้องมีวิจารณญาณที่ดี

แต่หมอเขาก็มีวิธีการฆ่าแบบอำพรางคดีได้ดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนทั่วไป (จากที่คนภายนอก เขามองอาชีพของหมอ) 
         เขาก็ต้องขึ้นกับชนิดของหมอ อย่างผมเนี่ย ผ่าตัดศพ ผมหั่นไม่เป็นนะ เพราะผมลืมไปหมดแล้ว อย่างมาก ถ้าผมฆ่าคนได้ ผมคงพูดให้คนเขาตายไปเองน่ะ พูดจนแบบ เหี่ยวเฉาไปเลย (หัวเราะ)

ในเมืองไทยมีเทคโนโลยี บุคลากร หรือหน่วยงานใดที่ทำงานด้านตรวจสอบ เพื่อการสืบสวน สอบสวน การคดีวางแผนฆาตกรรม โดยเฉพาะบ้าง อย่างไร 
         มันมีหลักอยู่ แต่ว่าในรายละเอียดนั้นผมไม่ทราบน่ะ ถามว่ามีไหม ผมว่าน่าจะมีนะ คนที่ทำหน้าที่ที่จะเชื่อมโยงหลักฐานกับเหตุการณ์ พยานแวดล้อมที่เกิดขึ้น มาทำให้เป็นเรื่องของสืบสวนสอบสวนมันมีคนที่ทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ คือคนเราไม่ว่าจะมีพฤติกรรม หรือการกระทำอะไรเกิดขึ้นนั้น ที่สำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจ เข้าใจว่าเขาทำไปเพราะอะไร อย่าไปดูเฉพาะเหตุการณ์อันนั้นอย่างเดียว เพราะถ้าไปดูเฉพาะเหตุการณ์อันนั้นอย่างเดียว เราก็จะไม่มีโอกาสที่จะช่วยคนๆ นั้นอีกเลย ผมยกตัวอย่าง อย่างเปรต อ.กู้ ตอนนี้เขาทำ คนค้นคนอยู่น่าสงสารมาก เมื่อสัก 3-4 ปีก่อน เขาปลอมเป็นพระ และบอกว่า เขามีอิทธิปาฏิหาริย์มากมาย เสกดินให้เป็นทองได้ เวลาไปป่าคำชโนช อะไรเนี่ย เอาบาตรเปล่าๆ ขึ้นไปบิณฑบาตมาจากบนเขา ลงมาข้าวสุกเต็มบาตรเลย ไปนรก บาดาลอะไรเนี่ยมากมาย แล้ววันหนึ่งก็พาผู้สื่อข่าวไปที่ป่าคำชโนช ไปถ่ายรูปเปรต ก็มีคนผอมๆ มาเปลือยกาย มาทำท่าเปรต แล้วก็มีการออกสื่อว่าเป็นเปรต ต่อมามีการพิสูจน์ ว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ สรุปก็เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา โดยบริษัทหนึ่งทำขึ้น เพื่อจะหลอกให้ประชาชนเชื่อถือ ตอนหลังมีการพิสูจน์ ได้ว่าลวงโลกก็ถูกจับเข้าคุกไป 
         ปัจจุบันลองไปถามเขาดูสิว่า เขาดำรงชีวิตอยู่อย่างไร เขาเป็นคนดีมาก แต่คนภายนอก เรียก เปรตกู้ คนคบไม่ได้ แต่เมื่อไปซื้อของไม่มีเบี้ยวเงินเลย บอกติดเดี๋ยวพรุ่งนี้เอามาคืนให้นะ แล้วเขาก็เอามาให้ คนที่ได้ทำธุรกรรมอะไรกับเขานะ ส่วนใหญ่รอบๆ เขาเนี่ย ชื่นชมเขาทุกคน ลูกสาว ลูกชาย เขาก็มีคนรัก ช่วยเหลือเขาหมด เพราะฉะนั้น ก็เหมือนกันกับการฆาตกรรมน่ะ ถ้าเราได้ดูอย่างนั้น มันกากบาท คุณก็ไม่ต้องเกิดอีกเลย 
         คนเรามันมีผิดพลาดกันได้ ต้องเข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีพฤติกรรมแบบนั้น ถ้าพูดว่าเราอยากได้เงินมา การอยากได้เป็นสิ่งที่ไม่ผิด แต่อะไรที่มันผิดรู้ไหม มันคือวิธีการ คุณอยากได้เงินก็ไปขับแท็กซี่ ความรู้มากก็ว่ากันไป แต่วิธีการมันผิด เพราะว่าคนเราส่วนใหญ่ไปยกย่องสรรเสริญว่าคนมีเงินเนี่ย คือคนเก่ง คนดีของสังคม คนที่ประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้น คนเราก็พยายามที่จะก่ายตัวเองขึ้นไปอยู่นั่น โดยไม่ค่อยได้คำนึงถึงวิธีการ และครอบครัว ต้องให้โอกาสเขากลับตัวกลับใจ อันนี้เป็นหลักนะ แต่ว่าบางคนก็แน่นอนมันก็กลับไม่ได้ ก็ต้องอยู่ในคุกไปซะ ……เหยียบหัวคนขึ้นไป คอร์รัปชั่นกันเข้าไป อะไรก็แล้วแต่ที่ให้ไปยืนอยู่ว่า ฉันเป็นคนรวยล่ะ ฉันเป็นกรรมการบริษัทที่รวยประสบความสำเร็จ ทุกคนก็ชื่นชม แต่ลืมดูไปว่า 
         เฮ้ย ! มันมาได้ไงเนี่ย หรือเอาเปรียบโกงเขาอะไรสารพัดอย่าง อยากให้ดูตรงนี้มากกว่า สรุปก็คือ อยากให้ดูก่อนหน้านี้ ให้ดูแรงจูงใจ ดูพฤติกรรมอะไรอย่างนี้ จะทำให้เราเข้าใจคนได้ดีจริงๆ คือ... เราอยากให้เข้าใจว่าคนมันเปลี่ยนแปลงได้ พัฒนาได้ ไม่ใช่กาหัวเลย เขาเรียกว่าไม่ได้เกิด ล้มละลายในทางชีวิตไปเลย ที่จริงคนเราต้องอยู่ในสังคม 



ข้อมูลจาก //atcloud.com/


Create Date : 25 มกราคม 2553
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2553 10:56:25 น. 0 comments
Counter : 1267 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

DR.MOO CAN DO
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




ผมเป็น นิติพยาธิแพทย์ หรือ จะเรียกว่า หมอนิติเวช ก็ได้ครับ นิติพยาธิแพทย์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปีแล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง นิติพยาธิอีก 3 ปี และเมื่อสอบผ่าน ก็จะได้รับวุฒิบัตรเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ และได้เป็นนิติพยาธิแพทย์ โดยสมบูรณ์
หน้าที่ของหมอนิติเวช แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ
ส่วนแรก จะเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยคดี โดยในผู้ป่วยคดีนั้นแพทย์นิติเวชจะมีหน้าที่ในการตรวจ และให้ความเห็นกับพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับบาดแผลที่ตรวจพบ ซึ่งตำรวจจะนำไปใช้ในการตั้งข้อกล่าวหากับคู่กรณี และหน้าที่ต่อมาของแพทย์นิติเวชคือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีดังกล่าว
ส่วนที่สอง จะเกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิต โดยในกรณีผู้เสียชีวิตนั้นแพทย์นิติเวชมีหน้าที่ในการตรวจสถานที่เกิดเหตุในกรณีตายผิดธรรมชาติตามที่กฎหมายกำหนด และหากมีความจำเป็นต้องผ่าชันสูตร ก็จะต้องมีการทำรายงาน และให้ความเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของการเสียชีวิต ส่งให้พนักงานสอบสวน สุดท้ายหน้าที่หลักที่สำคัญโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการเป็นพยานในชั้นศาลในคดีนั้นๆครับ
ประวัติการศึกษา
1.แพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
2.วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.ประกาศนียบัตร “Crime Scene Investigation” โครงการร่วมระหว่าง International Law Enforcement Academy กับ Federal Bureau of Investigation Academy
4.ประกาศนียบัตร “การบริหารงานโรงพยาบาล” คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ผลงาน
1.อาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มศว.
2.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาชั้นปีที่ 3 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
3.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
4.อาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาโท สาขานิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
5.วิทยากร หัวข้อ "ICD-10" ของกระทรวงสาธารณสุข
6.วิทยากร หัวข้อ "การตรวจสถานที่เกิดเหตุ" ของมูลนิธิร่วมกตัญญู และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
7.วิทยากรอบรมหลักสูตรนายร้อยตำรวจอบรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
8.วิทยากร หัวข้อ "KPI รายบุคคล" ให้กับโรงพยาบาลและมหาลัยวิทยาลัย ในภาครัฐ
9.วิทยากร หัวข้อ "Living will" ให้กับโรงพยาบาลในภาครัฐและเอกชน10.วิทยากร หัวข้อ "นิติเวชศาสตร์กับงานด้านโบราณคดี" ให้กับคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
11.ร่วมเขียนหนังสือ "KPI รายบุคคล"
12.ร่วมเขียนหนังสือ "มาตรฐาน ICD-10, ICD-9"
13.ที่ปรึกษารายการ "เรื่องจริงผ่านจอ" และ "Redline"
14.บทความทางวิชาการและผลงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ 15 เรื่อง
15.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ตั้งแต่ ปี พศ.2553
16.ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพ ฯ คณะแพทยศาสตร์ มศว. ตั้งแต่ปี พศ.2551
ผศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี (DR.MOO CAN DO)
New Comments
Friends' blogs
[Add DR.MOO CAN DO's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.