Mr.Pos : The Thinking & Learning in My Life
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2556
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
31 สิงหาคม 2556
 
All Blogs
 
‘ต้มยำกุ้ง’ เกร็ดน่ารู้ ที่เคียงคู่กับความแซ่บ !

 

ภาพจาก www.thebeachresort.asia

 

‘ต้มยำกุ้ง’ เกร็ดน่ารู้ ที่เคียงคู่กับความแซ่บ !

 

 

กล่าวได้ว่า.. ต่อให้มีการจัดอันดับซักกี่ครั้งกี่หน หรือสำนักไหน ประเทศใดเป็นผู้สำรวจจัดทำ ‘อาหารไทย’ ก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นสำรับอาหารที่มีรสชาติเอร็ดอร่อยที่สุดอันดับต้นๆ ของโลกในสายตา และรสลิ้นของชาวต่างชาติอยู่เสมอมานะครับ และในบรรดาเมนูเด็ดระดับท็อปเทนของไทย ที่มีชื่อเสียงที่สุด ชนิดที่ชาวต่างชาติทุกคนที่มีโอกาสมาเยือนเมืองไทย จะต้องไม่พลาดลิ้มชิมด้วยประการทั้งปวง แน่นอนว่าย่อมไม่มีอาหารชามใดที่จะครบเครื่องถึงใจเท่ากับ ‘ต้มยำกุ้ง’ อีกแล้ว…

 

                ทีเด็ดของเมนู ต้มยำกุ้ง อาหารประเภทแกงของไทยภาคกลาง ที่แผ่ขยายความนิยมไปยังทุกภาคของประเทศ และเกือบทุกมุมโลกในเวลานี้ อยู่ที่ความครบเครื่อง ถึงรสถึงชาติ ที่ผสมผสานคลอเคล้าเข้ากันอย่างลงตัวทั้งรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ด และเหยาะเติมหวานลงไปอีกเล็กน้อย

 

                ต้มยำกุ้ง เป็นอาหารที่ได้รับการประยุกต์ ต่อยอดมาจาก ‘ต้มยำ’ ที่ถือกำเนิดขึ้นภายหลังจากที่ ประเทศไทย ได้เปิดรับ ‘ข้าวเจ้า’ จากอินเดีย ที่เข้ามาพร้อมๆ กับการค้าทางทะเลอันดามัน และความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์-พุทธ จนส่งผลให้หน้าตาของ สำรับกับข้าวไทยเริ่มแปรเปลี่ยนไป มีอาหารประเภท ‘น้ำแกง’ เติมเต็มเข้ามาอย่างหลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แกงน้ำข้นใส่กะทิตำรับอินเดีย หรือ แกงน้ำของจีน จนมาถึงอาหารชามโอชาอย่าง ต้มยำกุ้ง ที่เราเอาวิธีปรุงแบบพื้นเมือง มาปรับให้มีน้ำใส แบบจีน จนได้รสได้ชาติกลมกล่อมลงตัวในเวลาต่อมา

 

ประเภทของ ต้มยำ นั้นจะแบ่งออกได้เป็น ๒ ชนิด คือ ‘ต้มยำน้ำใส’ ซึ่งถือเป็นต้นตำรับของต้มยำ เพราะสมัยก่อน อาหารไทย จะไม่มีการใส่นม หรือกะทิ มีการปรุงอย่างง่ายๆ ไม่มีเครื่องปรุงยุ่งยากมากมายนัก ซึ่ง ต้มยำน้ำใส นี้ก็จะมีส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่ เนื้อสัตว์ เครื่องเทศ เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกสด พริกแห้ง ถัดมาก็คือ ‘ต้มยำน้ำข้น’ ซึ่งพัฒนามาจาก ต้มยำน้ำใส อีกต่อหนึ่ง

 

มีหลักฐานว่าในสมัยที่รัชกาลที่ ๖ เสด็จประพาสสามย่าน เพื่อไปเสวยเหลา ก็มีร้านของคนจีนร้านหนึ่งเปิดให้บริการ โดยมีการทำ ต้มยำกุ้งใส่นม ขึ้นในสมัยนั้นแล้ว ซึ่งแม้ว่าต้มยำจะใส่เนื้อสัตว์ หรือผัก สมุนไพรใดๆ ลงไปก็ได้ แต่จากอดีตถึงปัจจุบัน เมนูต้มยำกุ้ง ก็ดูจะได้รับความนิยมในรสชาติมากที่สุด โดยในชามอาจมีการใส่มันกุ้งลงไปเพื่อเพิ่มกลิ่นกุ้ง และใส่กะทิ หรือนมลงไปเพื่อให้เกิดรสชาติที่กลมกล่อม จนกลายมาเป็น ต้มยำกุ้งน้ำข้น อันเป็นที่ติดปากถูกใจของมหาชนอย่างล้นหลาม 

 

ส่วนผสมในการปรุง เมนูต้มยำกุ้ง ที่จะขาดไม่ได้เลยนั้น ประกอบไปด้วย ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด หัวหอม น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำมะขาม พริกแดง น้ำพริกเผา และเนื้อกุ้ง ซึ่งกรรมวิธีทำ ต้มยำกุ้ง ในระยะแรกๆ นั้นอาจจะใช้น้ำปลา หรือใส่สมุนไพร พวกใบนาก ตะไคร้ ข่าแก่ เพื่อใช้ต้มคาวกุ้ง โดยจะทุบตะไคร้ให้มีน้ำมันออกมา และเกิดกลิ่นมากกว่าการหั่นแฉลบ จนเมื่อน้ำเดือด ก็จะใส่ลงไปเพื่อให้ได้กลิ่น และคงน้ำแกงไว้ไม่ให้เปลี่ยนสีเป็น เขียว ตามตะไคร้ ส่วน ข่าแก่ ก็จะหั่นบางๆใส่ลงไปขณะที่น้ำแกงกำลังเดือด ก็จะทำให้น้ำแกงเกิดความหอม ก่อนจะใส่กุ้งตามลงไป สำหรับเคล็ดการต้มน้ำนั้น จะต้องไม่ปิดฝาหม้อ และใช้ไฟปานกลางไม่แรงหรืออ่อนจนเกินไป หากใช้ไฟแรง น้ำต้มยำจะขุ่นดูไม่น่ารับประทาน เมื่อทุกอย่างในหม้อสุกแล้ว จึงปิดไฟ แล้วใส่รากผักชีหั่นฝอยลงไปทันทีเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม ถ้าเป็นการทำ ต้มยำน้ำข้น ก็ให้ตักเนื้อน้ำพริกเผาใส่ลงไปเล็กน้อย ก็จะทำให้ต้มยำหม้อนั้น ดูเป็นเงาสวยงามน่ารับประทาน

 

ด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งรสเผ็ด เปรี้ยว หวาน และเค็ม ต้มยำกุ้ง จึงกลายเป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติไทย ที่สร้างชื่อเสียงให้กับคนไทยไปทั่วโลกอย่างน่าภาคภูมิใจ และสง่างามยิ่ง ด้วยประการฉะนี้แหละครับ…

 

                        

                          ภาพจาก www.learners.in.th




Create Date : 31 สิงหาคม 2556
Last Update : 31 สิงหาคม 2556 13:32:46 น. 1 comments
Counter : 3578 Pageviews.

 
มาแซบ แถมได้ความรู้กลับมาด้วย
ขอบคุณที่แบ่งปันนะคะ


โดย: ลงสะพาน+++เลี้ยวซ้าย2013 วันที่: 31 สิงหาคม 2556 เวลา:14:16:29 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

โปสการ์ดราดซอส
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add โปสการ์ดราดซอส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.