ไม่ใคร่จะสนใจเรื่องสั้น นวนิยายแนวผีสาง แปลจากต่างแดน ที่อวลกลิ่นนมเนยมากนัก กระทั่งได้มาพบเจอหนังสือเล่มเล็ก กะทัดรัด ที่ชื่อ The Willows ในฉบับแปลภาษาไทยชื่อว่า แดนสนธยาอาถรรพ์ ที่โปรยหน้าว่า นี่คือ..
..เรื่องผีที่ดีที่สุดในโลกวรรณกรรมอังกฤษ.. แถมยังปรากฏชื่อผู้แปลหราแดนอรัญ แสงทอง นักเขียนไทยอหังการ์ ผู้เขียนเรื่องชนบทไทยให้คนยุโรปอ่านจนติดงอมแงม ซึ่งผมชื่นชอบเป็นทุนเดิม จาก รวมเรื่องสั้นอสรพิษ , เจ้าการะเกด ไปจนถึง เดียวดายใต้ฟ้าคลั่ง ถึงขนาด แดนอรัญ ลงมือแปล The Willows ด้วยตัวเอง จึงไม่คิดลังเลเลย หนังสือเล่มนี้ต้องมีดีชนิดไม่ธรรมดาสามัญแน่!
TheWillows (เดอะ วิลโลวส์) ในที่ทางวงวรรณกรรมโลกถูกจัดเป็นเรื่องสั้นขนาดยาว (ฟังแล้วงง) แนวสยองขวัญ ซึ่งชื่อภาษาอังกฤษสั้นๆ นี้แปลว่า ต้นหลิว เขียนขึ้นโดย อัลเจอร์นอน แบล็ควูด ปรากฏตัวขึ้นในวงวรรณกรรมโลก ด้วยคำยกย่องที่ข้ามยุคแต่ไม่เคยล้าสมัยว่า นี่คือ.. เรื่องประหลาดเหนือธรรมชาติที่ดีที่สุดตลอดกาลจากปากคำสรรเสริญ ของ เอช.พี. เลิฟ คราฟท์ นักเขียนชาวอเมริกันแนวสยองขวัญ ทรงอิทธิพลแห่งศตวรรษที่๒๐
แบล็ควูด นักเขียนเรื่องสยองขวัญ เหนือธรรมชาติที่เรียกว่า Supernatural เป็นชาวอังกฤษมีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1869 ถึง ค.ศ. 1951 ชีวิตจริงของเขาเต็มเปี่ยมด้วยสีสัน เร่าร้อน มากชีวิตชีวา ไม่แพ้ โคตรนักเขียนอเมริกันอย่าง เฮมมิงเวย์ ทั้งเดินทางท่องโลก บุกตะลุยแอฟริกาเหนือยุโรป มีอาชีพเป็นทั้งนักข่าว นักจารกรรมในยุคสงครามโลกครั้งที่ ๑ และ ๒ บวกกับความหลงใหลในฉากชีวิตกลางแจ้งแบบลูกผู้ชายสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ เป็นตัวเพาะบ่มให้ แบล็ควูด คิด และขีดเขียนผลงาน เดอะวิลโลวส์ เรื่องแต่งที่โด่งดังที่สุดในชีวิต ออกมาในช่วงทศวรรษก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะอุบัติขึ้นและกลายเป็นผลงานชิ้นเอก ที่ทำให้ชื่อของเขา ได้รับการยกย่องเป็นอมตะ
เดอะ วิลโลวส์ มีรสชาติความเขย่าขวัญ ต่างรสไปจาก วรรณกรรมสยองที่คนอ่านชาวไทยคุ้นเคย ในตระกูลเรื่องของ เอ็ดการ์ อัลลัน โพ หรือ บราห์มสโตกเกอร์ ที่มักพรรณนาถึงฉากปราสาทเก่าโบราณ คฤหาสน์ร้างลับที่มีซอกมุมมืด ไม่น่าไว้วางใจ แบบโกธิค ซึ่งมีบางสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ สิงสู่ !
แต่ใน เดอะ วิลโลวส์ แบล็ควูด กลับเล่าเรื่อง โดยใช้ฉากธรรมชาติกลางแจ้ง ที่มีเกาะแก่ง และสายน้ำกว้างใหญ่ สุดกู่สุดหูตาเป็นฉากหลังโดยปราศจากเหลี่ยมมุม ซอกมืดแบบแนวโกธิค แต่อย่างใดแต่ผู้อ่านกลับรู้สึกพรั่นพรึงไปกับ ธรรมชาติที่แปลกแปร่ง แสนพิกล ที่อยู่รอบตัวมนุษย์ ให้ความรู้สึกราวกับว่า ธรรมชาติที่ไร้ชีวิตนั้นเอง มีจิต มีวิญญาณ กระทั่งมีอำนาจที่มองไม่เห็นเข้าเล่นงานมนุษย์ตัวกระจ่อยผู้รุกล้ำ ได้ทุกขณะ
ซึ่ง แม่น้ำดานูบ รวมถึงเกาะแก่งเนินทรายกลางสายน้ำ ที่คับคั่งไปด้วย สุมทุมพุ่มหลิว เบียดเสียดขนัดแน่น นี่เอง คือตัวแทนธรรมชาติอันน่าประหวั่น พรั่งพรึงใน เดอะ วิลโลวส์
แน่นอนร้อยทั้งร้อย เมื่อเอ่ยชื่อ แม่น้ำดานูบคนส่วนใหญ่ย่อมคุ้นชินกับภาพลักษณ์ของ แม่น้ำสายนี้ ในฐานะของสายน้ำที่ไหลหล่อเลี้ยงและก่อเกิดอารยะธรรม สร้างความเจริญให้แก่แว่นแคว้นแดนยุโรปตะวันออกไหลผ่านบ้านเมืองโบราณอันงดงาม ทั้งยังหลากไหลผ่าน นครเวียนนาเมืองหลวงแห่งคีตดนตรี จน ประพันธกร หมายเลขหนึ่งของโลก อย่าง โมสาร์ทได้แรงบันดาลใจจาก สายน้ำดานูบ สร้างผลงานอมตะเลอค่าประดับวงการดนตรีโลกมากนับไม่ถ้วน
แต่ แบล็ควูด นักเขียนผู้จัดเจนด้านมืด กลับถ่ายทอดภาพลักษณ์กายภาพอีกด้านของ แม่น้ำดานูบ ลงสู่ เดอะวิลโลวส์ ชนิดหักเลี้ยวอารมณ์ ๓๖๐ องศา จากด้านโรแมนติก สว่างไสวของสายน้ำ มาสู่ด้านมืดหม่น อันเป็นโลกที่ก่ำกึ่ง ซึ่งมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ลังเลที่จะเหยียบก้าวเข้าไปถึง
เดอะ วิลโลวส์ มีพล็อตแสนง่าย มีตัวละครหลักนักผจญภัย บุคคลแรกคือ ข้าพเจ้า ผู้เล่าเรื่องกับ เจ้าเกลอคู่หู ที่ถูกเอ่ยถึงว่า เจ้าสวีดิช ร่วมผจญสายน้ำถ่อแคนู ฝ่าไปตามกระแสกลางแม่น้ำดานูบ จากถิ่นเมืองอารยะธรรม กระทั่งบุกลึกเข้าไปยังดินแดนที่แม่น้ำไหลถั่งลึกเลยเข้าไปคาบเกี่ยว ระหว่างพรมแดน ออสเตรีย และฮังการี ที่ๆแม่น้ำทั้งสายกลายร่างเป็น สายน้ำที่โจนทะยานบ้าคลั่ง กว้างใหญ่ไพศาล ถั่งท้นและมีเกาะแก่ง เนินทรายอายุสั้นเพียงชั่วข้ามคืน ที่อุดมด้วยดงสุมทุมพุ่มหลิวมากมายสุดคณานับ
อาณาจักรแปลกประหลาดนี้เอง ที่สองตัวละครหลักต้องไปติดแหงก ค้างเติ่งข้ามคืนข้ามวัน ก่อนเหตุการณ์และธรรมชาติรอบกายจะค่อยๆ ถักทอ ทวีความแปลกแปร่ง บิดเพี้ยน จนวิปริต และนำพาทั้งคู่ไปพบพานเหตุการณ์ประหลาดเหนือธรรมชาติ มากมาย ที่ไร้เหตุไร้ผล ไร้ที่มาที่ไป จนไม่สามารถอรรถาธิบายได้โดยหลักวิทยาศาสตร์ใดๆเหนือยิ่งกว่านั้น เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแดนดินรกร้างไร้มนุษย์ ยังสร้างความหวาดผวาชนิดซึมลึกเข้ากระดูกดำ จนตัวเอกนักพายเรือแคนูทั้งสอง แทบจะต้องจดจำสิ่งเหล่านี้ไปจนตราบวันตาย
ในวันวัย ที่กระผม ก้าวพ้นยุคสมัยวัยรุ่น ไปนานโขแล้วการได้อ่าน เดอะ วิลโลวส์ ของ แบล็ควูด ในฉบับร่างแดนสนธยาอาถรรพ์ ที่แปลอย่างถอดหัวใจ โดย แดนอรัญ แสงทอง จึงหาใช่จะมีอารมณ์ร่วมดำดิ่งในความหวาดผวา ไปกับตัวละครในเรื่องมากมายปานใดนัก แต่กลับรู้สึกทึ่งในความยิ่งใหญ่ของวรรณกรรมสยองขวัญเล่มนี้ ในซีกด้านของ บทพรรณนา การบอกเล่าถึง ภาพธรรมชาติสายน้ำพืชพง ดินแดนแห่งความรกร้างว่างเปล่า แม้แต่กระแสลม มวลกระแสน้ำ ก้อนเมฆที่ถูกบรรยายได้อย่างทรงพลัง และแสนวิปริต จนเราสามารถจินตนาการต่ออย่างเลยเถิดได้ไม่ยากว่า ธรรมชาติแปลก พิลึกพิลั่น ที่เกรี้ยวกราดล้อมรุมเล่นงานมนุษย์ชะตาขาด อยู่นั้น มันเหมือนจะมีชีวิต วิญญาณร้ายน่าสะพรึง สิงสถิตอยู่แท้จริง!
ยิ่ง วรรณกรรมในโลกภาษาอังกฤษชิ้นนี้ ได้ แดนอรัญมานั่งแปล ยิ่งเหมือนลูกคู่ ที่ถูกคอนัก เพราะผลงานเขียนที่ปรากฏ สร้างชื่อของนักเขียนใหญ่แห่งเมืองเพชร ผู้นี้ ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศ ที่ต้องมนต์ลุ่มหลงอยู่กับสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่เกี่ยวกระหวัด พันผูกกับ จิตใจมนุษย์ อย่างแยกไม่ออกเฉกเช่นกัน
ยิ่งในคำตามท้ายเล่ม แดนอรัญ ได้ขยายความให้ความรู้ถึงต้นหลิว ที่ข้องเกี่ยวกับประเพณีการตาย ของฝรั่ง ที่นิยมปลูกไว้เหนือหลุมฝังศพซึ่งทำให้ นักอ่านชาวตะวันตก อ่านไป แล้วรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาว ได้ดีนัก รวมไปถึงตำนานความเชื่อเก่าแก่ โบราณกาลของชาวกรีก ที่เชื่อว่ามีเทพเจ้า สิงสถิตอยู่ในดินแดนรกร้างว่างเปล่า ในนาม Pan ซึ่งกลายมาเป็นคำศัพท์Panic ที่หมายถึง ความตื่นกลัวสุดขีด ที่เรารับรู้ในทุกวันนี้
ไม่ว่า วรรณกรรมสั้นสยองขวัญ เดอะ วิลโลวส์ จะยังสามารถสร้างความสั่นสะท้านหวาดผวาให้กับนักอ่านในยุคดิจิตอล ได้เหมือนดั่ง นักอ่านรุ่นยุคอดีต ได้หรือไม่คงไม่ใช่ประเด็น
เพราะคุณค่าของวรรณกรรมเหนือธรรมชาติเล่มนี้ได้ถูกพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของมัน จนสามารถก้าวข้ามผ่านกาลเวลาไปแล้วอย่างบริบูรณ์..
ชอบอ่านเรื่องสยองขวัญเกี่ยวกับธรรมชาติค่ะ