Pharaonic Village หมู่บ้านฟาโรห์
เช้าวันที่ 6 วันนี้เป็นวันอาทิตย์เรากินอาหารเช้า ขนมปัง ไข่ต้มและกาแฟ (ประทังชีวิต) บนชั้นดาดฟ้าของโรมแรมจิ้งหรีด Arabian Night เช่นเดิมก่อนออกเดินทาง
มุึมมองจากดาดฟ้าโรงแรม Arabian Night ต้นใบระบาดขึ้นงามอีกไม่นานคงเต็มรั้ว
อาคารธนาคาร Bank of Egpyt ในเขตเมืองที่ทันสมัย มีการใช้อักษรอาหรับมาสร้างแผงลวดลาย น่าสนใจทีเดียว
ยามเช้าในเมืองไคโร ที่พักอาศัยหนาแน่น
เราออกเดินทางจากโรงแรมประมาณ 8.30น.เพื่อไปดูสถานที่ท่องเที่ยวที่จำลองหมู่บ้านโบราณสมัยยุคฟาโรห์ซึ่งอยู่ใกล้กับแม่น้ำไนล์ที่มีชื่อว่า Pharaonic Village หรือหมู่บ้านฟาโรห์ สถานที่แห่งนี้มีเป็นเหมือนสวนประวัติศาสตร์แบบคล้ายๆ พวกหมู่บ้านซ่งแบบในฮ่องกง โดยมีการแสดงโชว์ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตคนยุคโบราณ ไม่มีแนวจินตลีลาประกอบดนตรี แต่จะเป็นการจำลองการดำรงชีวิตของคนในยุคเก่าตั้งแต่ชาวบ้านเกษตรกรไปจนถึงคนในวังฟาโรห์ยุคโบราณ
โชว์การจับปลาแบบโบราณ
หมู่บ้านฟาโรห์แห่งนี้สร้างขึ้นโดย ดร.ฮัซซัน (Dr. Hassan Ragab) และลูกชายและใช้เวลาสร้างสถานที่แห่งนี้ร่วม20ปี ดร.ฮัซซันมีชื่อเสียงในฐานะเป็นผู้คิดวิธีการทำกระดาษปาปิรุสแบบในอดีตอีกครั้งในปี1964
โชว์การทำมัมมี่ (ปลอม)
เรื่องราวภายในสวนประวัติศาสตร์แห่งนี้รวบรวมเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้เข้ามาเที่ยวได้รับข้อมูลเกี่ยวกับอียิปต์ภายใน 2-3 ชม. โดยเมื่อเข้ามาภายในจะพบกับร้านขายของที่ระลึกและขายตั๋วก่อน จากนั้นเราจะได้ลงแพที่มีที่นั่ง แต่ละลำรองรับผู้มาเที่ยวชมได้ราวๆ 40 คนโดยที่นั่งจะนั่งหันข้างไปด้านซ้ายเพื่อมองดูไปยังอีกฝั่งของลำธารที่จะจำลองเรื่องราวในยุคโบราณตั้งแต่การทำเกษตรกรรม การปั้นหม้อ การตกปลา การแกะสลักหิน การหมักไวน์ การทำมัมมี่ ฯลฯ โดนเมื่อเรือแล่นผ่านแต่ละจุดจะมีนักแสดงแต่งตัวเป็นคนโบราณออกมาแสดงกิจกรรมต่างๆ พร้อมเสียงจากลำโพงที่ติดอยู่ในแพแต่ละลำ
หลังล่องเรือก็จะมาโผล่ที่อาคารต่างๆ ตามแบบโบราณ
หลังจากล่องไปตามลำน้ำตามโปรแกรมแล้ว แพก็จะมาจบที่ฝั่งอีกที่ซึ่งก็จะมีอาคารที่จัดแสดงเรื่องราวต่างๆ ทั้งยุคโบราณและนิทรรศการของผู้นำในยุคใหม่ ไฮไลท์น่าจะอยู่ที่สุสานจำลองของกษัตริย์หนุ่มตุตันคามุนที่จำลองสถานที่จริงและวัตถุโบราณที่ขุดค้นได้มาจำลองให้เหมือนตอนที่ขุดพบใหม่ๆ ซึ่งปัจจุบันสิ่งของต่างๆ ถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Egypt Museum ที่เราได้ไปดูเมื่อสองวันก่อนแต่ในพิพิธภัณฑ์ห้ามถ่ายภาพและของถูกจัดอยู่แยกเป็นชิ้นๆ ไม่เหมือนสถานที่จำลองแห่งนี้ที่ถึงแม้จะเป็นของปลอมแต่ก็จำลองสุสานเหมือนตอนที่โฮเวิร์ต คาเตอร์ (Howard Carter) ค้นพบสุสานเป็นครั้งแรกซึ่งตัวสุสานจำลองนี้ทำได้อย่างน่าสนใจทีเดียว
สถานที่จำลองสุสานของกษัตริย์ตุตันคามุนแบบตอนที่โฮเวิร์ดคาเตอร์ขุดเจอ
Coptic Cairo ย่านชาวคริสต์ออโทด๊อกซ์
แผนที่ย่าน Coptic Cairo
หลังจากจบจากเรื่องราวจำลองๆ กันแล้วเราก็ออกจากหมู่บ้านฟาห์โรจำลองและขอแยกตัวไปนั่งแท๊กซี่ (อย่าลืมมองหาแท๊กซี่ใหม่ๆ ที่มีมิเตอร์นะครับ) เพื่อเดินทางไปยังย่านคริสเตียนโบราณที่เรียกว่า Coptics Cairo สนนราคาจาก Pharaonic Village มาถึงที่นี่ก็ประมาณ 25ปอนด์ ที่บริเวณนี้เป็นย่านเก่าแก่อีกแห่งของไคโรและเก่ากว่าย่านของพวกมุสลิมที่แถว Islamic Cairo เสียอีก ซึ่งขนาดจำนวนประชากรในอียิปต์จะประกอบไปด้วยคริสเตียน 10-20% และอิสลาม 80% แต่พวกเขาอยู่กันได้อย่างกลมกลืนไม่ทะเลาะกันแต่อย่างใด ไกด์บอก (แต่จริงๆ ก็มีการขู่ฆ่ากันอยู่บ้างหลังกรณีของหนังอื้อฉาวที่ลบหลู่ศาสดาของศาสนาอิสลาม ข้อมูลทางเน็ท)
โบสถ์ St.George
ตามประวัติศาสตร์พวกคริสเตียนเริ่มเข้ามาในอียิปต์ตั้งยุคศตวรรษที่ 1 โดยอัครสาวกมาโก หรือ มาร์ค (St. Mark) แต่มีหลักฐานทางโบราณคดีว่ามีการลงหลักปักฐานกันในย่านนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล ประมาณ 2600ปี (6 Century BC) สมัยที่พวกเปอร์เซียมาสร้างป้อมเหนือเมือง Memphis และสร้างคลองที่เชื่อมแม่น้ำไนล์ไปที่ทะเลแดง เมืองนี้ถูกเรียกว่าบาบิโลนเพื่อระลึกถึงเมืองเก่าที่ยิ่งใหญ่
ในยุคปัจจุบันย่านคอปติกนี้จะเป็นคริสเตียนนิกายออโทด๊อกซ์ของกรีกทั้งหมดหรือเรียกว่า Copts ในย่านนี้จะประกอบไปด้วยโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สวยงามและร้านขายของที่ระลึก ผู้คนไม่ค่อยตื้อเราเหมือนย่านอื่นๆ ในไคโรนัก ถนนดูสะอาดเรียบร้อยแต่ก็เห็นมีตำรวจยืนเฝ้าที่หน้าถนนทางเข้าอยู่เช่นกัน ภายในโบสถ์ต่างๆ จะมีลักษณะที่คล้ายๆ กันอยู่คือการตกแต่งภายในจะมีรูปนักบุญต่างๆ ที่วาดในสไตล์ยุคกลาง ม้านั่งยาวที่เป็นไม้เก่า เสาหินโบราณ ผนังตกแต่งด้วยการเดินคิ้วไม้ลวดลายแบบเรขาคณิตแบบสไตล์อิสลามที่สวยงาม คำนวณลายได้เก่งมากๆ ซึ่งหาช่างตกแต่งในยุคสมัยนี้ไม่มีแล้ว
ภายในโบสถ์ St.George
โบสถ์ใหญ่ที่สุดจะเป็นโบสถ์ St.George ซึ่งตอนที่เราไปถึงกำลังซ่อมแซมอยู่จึงเข้าไปดูได้เพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ภายในเก่าแก่และดูขลังมาก ถัดมามีทางเดินด้านข้างที่เป็นทางใต้ดิน (เนื่องจากพื้นที่โบราณจะต่ำลงไปจากพื้นที่ปัจจุบันเยอะ) ซึ่งจะเป็นทางเดินหินกว้างประมาณ 4เมตร มีร้านขายของที่ระลึกและเป็นเส้นทางโบราณ
ทางเดินเก่าข้างโบสถ์ที่อยู่ต่ำกว่าระดับถนน 5-6 เมตร
เดินไปเรื่อยๆ เราจะพบกับโบสถ์ Saints Sergius and Bacchus Church (Abu Sarga) ที่จะต่ำกว่าพื้นทางใต้ดินลงไปอีก สร้างในสมัยศตวรรษที่ 4 และเชื่อกันว่าสร้างอยู่บนพื้นที่ๆ ครอบครัวของพระเยซู (โจเซฟ แมรี่ และพระเยซูตอนเกิด) แวะมาลี้ภัยตอนอยู่ที่อียิปต์ ภายในโบสถ์ห้ามถ่ายภาพ ภายในสวยงามมาก องค์ประกอบการตกแต่งต่างๆ เป็นศิลปะในยุคกลางผสมกับการตกแต่งลวดลายแบบอิสลาม ด้านในสุดมีช่องที่มองลงไปเห็นทางใต้ดินที่ลึกลงไปอีก 10 เมตรซึ่งเชื่อกันว่าคือบริเวณที่ครอบครัวของพระเยซูมาพำนัก เราจะเห็นชาวคริสต์มาจุมพิษที่ราวบันไดหรือตามรูปภาพของบรรดานักบุญต่างๆ ในโบสถ์ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์นี้มักมีน้ำท่วมในช่วงเวลาที่แม่น้ำไนล์มีระดับสูง
ภายในโบสถ์ St.Sergius & Bacchus (ถ่ายก่อนโดนห้าม)
เมื่อออกจากโบสถ์ St.Sergius & Bacchus แล้วเราเดินตามทางเข้าไปด้านในอีกจะผ่านบ้านโบราณร้างๆ และจะพบกันโบสถ์ St.Barbara ที่ตามตำนานบอกว่า เธอคือคนที่เปลี่ยนมานับถือคริสต์จนโดนพ่อตีจนตาย สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 5-6 วัตถุโบราณที่สำคัญของโบสถ์แห่งนี้ถูกจัดแสดงอยู่ใน Coptic Museum ใกล้ๆ กัน
ภายในโบสถ์ St.Barbara
รายละเอียดภายในโบสถ์ St.Barbara ที่สวยงาม
เลยจากโบสถ์ St.Barbara เข้าไปเราจะพบกับโบสถ์ของชาวยิวหรือที่เรียกว่า ซินนากอก (Synagogue) ที่สวยงามและบรรจุคำสอนภาษายิวโบราณที่มีค่าอยู่มากมาย
ทางเดินโบราณใกล้ๆ โบสถ์
หลังจากเดินชมโบสถ์และโบราณสถานจนเหนื่อยเราจึงตั้งใจจะแวะไปกินอาหารที่ร้านใกล้ต้นถนน แต่เมื่อเดินกลับไปก็เจอกลุ่มคนแขกตะโกนเหมือนทะเลาะกันอยู่ที่หน้าร้านอาหารพอดี พวกเราจึงรีบหลบดีกว่ากลัวมีระเบิดพลีชีพ สุดท้ายจึงไปนั่งกินแซนวิชที่ข้างโบสถ์ St.George ซึ่งก็อร่อยและได้บรรยากาศไปอีกแบบ
แซนด์วิชมื้อกลางวันหน้าโบสถ์ St.George
แมวที่มานั่งเว้าวอนรออาหารเหลือ
ภายในย่านคอปติกจะมีกำแพงและป้อมโบราณตั้งแต่ยุคเปอร์เชีย (Babylon Fortress) ตามที่ได้บอกไป มีทางเดินใต้ดิน ทางลอดและหมู่บ้านโบราณภายใน ภายในโบสถ์เก่าแก่ที่ดูขลัง รูปภาพ สัญลักษณ์ และการตกแต่งภายในโบสถ์ช่วยสร้างจินตนาการให้นึกไปถึงคนในยุคสมัยกลางและการผจญภัยต่างๆ ได้อย่างดีทีเดียว ไม่น่าเชื่อมว่ายุคสมัยที่เปลี่ยนไปจะทับถมจนโบราณสถานยุคเก่าจมอยู่ใต้ดินลึกเป็นสิบเมตร
ฺกำแพงป้อมเก่า Babylon Fortress ประมาณ 600ปีก่อนคริสต์กาล (ประมาณ2600ปี)
โบสถ์สุดท้ายที่เราแวะไปชมคือโบสถ์ที่สร้างบนกำแพงโบราณเรียกว่า Hanging Church หรือโบสถ์แขวน ภายในตัวโบสถ์จะตกแต่งคล้ายๆ กับโบสถ์อื่นๆ ที่เราได้เข้าไปเยี่ยมชมมาแต่บริเวณพื้นบางจุดเขาได้ทำช่องกระจกให้เรามองลงไปที่ด้านล่างของพื้นซึ่งเราจะเห็นโครงสร้างและฐานของโบสถ์ที่วางลอยอยู่เหนือพื้นดินจะได้เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเรียกว่าโบสถ์แขวน (hanging)
ซุ้มประตูทางเข้า Hanging Church
ลานน้ำพุหน้าโบสถ์ตามประเพณีของตะวันออกกลาง ช่วยลดความร้อนภายในอาคาร
ภายในโบสถ์ Hanging Church
ภาพเซ้นท์และนักบุญภายในโบสถ์
ลาดลายการตกแต่งสไตล์ที่ผสมกับอาหรับ สวยงามมาก
หลังจากนั้นจึงเดินดูโบราณสถานในย่านนี้จนสุดและออกมานั่งแท๊กซี่กลับ จริงๆ ที่ย่านคอปติกนี้จะมีสถานีรถไฟฟ้าของไคโรอยู่แต่ด้วยความที่มันไม่ได้ผ่านไปถึงจุดที่พักเราจึงไม่ได้ใช้มัน พูดได้ว่ากรุงเทพก็นับว่ามีระบบขนส่งดีกว่าไคโรเมืองนึงล่ะ 555
มุมมองย่าน Coptic Cairo
เมื่อจะเรียกแท๊กซี่ก็มีแขกชวนขึ้นรถแท๊กซี่อีกต้องบอกปัดพัลวัล ส่วนแท๊กซี่คันที่เรียกขึ้นก็มาพูดภาษาแขกใส่แบบจะไม่กดมิเตอร์จนต้องรีบขอลง จนในที่สุดก็ได้แท๊กซี่ที่โอเคหน่อยนั่งกลับ แต่บางครั้งมันพาเลี้ยวไปย่านสกปรกๆ ขยะท่วมหัวก็เสียวกลัวโดนหลอกไปปล้นเหมือนกัน พอมาถึงแถวโรงแรมที่พักจ่ายแบ๊งค์50ก็ไม่มีทอนอีก (ค่าแท๊กซี่ 18ปอนค์) เลยต้องขอไปซื้อของเพื่อแตกแบ๊งค์ ดีที่เจอแท๊กซี่ที่ไม่คิดจะหลอกนักท่องเที่ยวจึงรอเราไปแตกเงิน
ช่วงค่ำเราไปเดินหาซื้อของฝากเป็นครั้งสุดท้ายที่ตลาดข่ายอัลคาลิลี่เพราะจะต้องออกจากไคโรไปสู่เมืองอเล็กซานเดรียในวันถัดไปและซื้อขอกลับมากินที่ดาดฟ้าโรงแรมที่สงบเงียบอีกหนึ่งคืน