Egypt - day 4 มหาปิรามิดแห่งกิซ่า
เช้าวันที่ 4 ของการเดินทาง
เมื่อค่ำเราได้ชมเรื่องราวในอดีตของยุคฟาโรห์ผ่าน Light & Sound กันแล้วโดยมีปิรามิดและสฟิงค์เป็นฉากหลัง เช้าวันนี้เราจะได้ปีนปิรามิดของจริงกันแล้ว เราออกเดินทางจากโรงแรมประมาณ 8:30 มุ่งหน้าสู่ที่ราบสูงกิซ่าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพักนัก ไม่นานเราก็มาถึงพื้นที่ทะเลทรายแห้งแล้งที่มีฉากหลังเป็นสถาปัตยกรรมรูปทรงเรขาคณิตขนาดมหึมาที่เป็น1ใน7สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เมื่อมาถึงทางเข้าที่ใช้ตรวจอาวุธต่างๆ เราก็เจอชาวอียิปต์พุ่งมากวนใจทันทีและพยายามยัดเยียดขายของกับพวกเราด้วยวิธีการต่างๆ นาๆ รวมไปถึงพวกที่ขี่อูฐ ลาและม้าสำหรับให้เราขี่เล่น ทุกคนได้รับการแจ้งเตือนจากหัวหน้าทัวร์แล้วว่าไม่ควรรับสิ่งของใดๆ หรือแม้แต่ข้อมูลที่เราได้อ่านก่อนเดินทางมาประเทศนี้ แต่มันก็คงไม่เหมือนเรื่องจริงที่เราเจอ


บริเวณขายตั๋วเพื่อเข้าชมปิรามิด

กลับมายังมหาปิรามิดแห่งที่ราบสูงกิซ่าที่ใครๆ ในโลกนี้ล้วนรู้จักพวกมันดี วัตถุรูปทรงสามเหลี่ยมขนาดมหึมาที่อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นกลางทะเลทรายที่แห้งแล้งกว้างใหญ่ไพศาลดูค่อนข้างจะขัดแย้งเอามากๆ ยิ่งด้วยความที่มันเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่ไม่เหมือนสถาปัตยกรรมโบราณที่ไหนยิ่งทำให้มันยิ่งชวนให้ตะลึง


ปิรามิดคูฟู

ปิรามิดยามเช้า

ประวัติโดยย่อของปิรามิดแห่งนี้คือมันเป็นสุสาน เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ประมาณ 10 กิโลจากกรุงไคโรและสร้างด้วยหินปูนขนาดมหึมามากกว่า 2 ล้านก้อนและบริเวณที่ราบสูงกิซ่านี้อย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ครับว่ามีปิรามิดใหญ่ๆ อยู่ 3 ก้อน คือของปู (คูฟู) พ่อ (คีเฟรน) และ ลูก (ไมซีรีนัส) นอกเหนือจากนั้นก็เป็นของบรรดามเหสีทั้งหลายอยู่ด้านข้างๆ นอกเหนือจากนั้นก็ต้องมหาสฟิงค์ที่แกะจากหิน ตัวเป็นสิงโตและหน้าเป็นของกษัตริย์คีเฟรน (แต่จมูกหักเพราะอะไรไม่มีใครรู้)


ปิรามิดคูฟูและคีเฟรน

การปีนคูฟู

เราเริ่มต้นด้วยการปีนป่ายเล่นบนฐานของมหาปิรามิดของปู่ที่ใหญ่สุดก่อน สัมผัสกันให้พอใจแต่เขาให้ปีนขึ้นแค่ไม่กี่ระดับนะครับเพราะในอดีตคนชอบปีนเล่นขึ้นไปสูงๆ ไปแกะสลักบ้างเขียนชื่อบ้าง บ้างตกมาตายอย่างเรื่องเล่าที่คู่หนุ่มสาวปีนขึ้นไปเขียนชื่อตัวเองแล้วโดดมาตายเพื่อให้รักนิรันดร์ คือปีนสูงไปนิดก็โดนเจ้าหน้าที่แขกมันด่าแล้วละครับ เนื่องจากเวลาไม่มีมากนักเราจึงไม่ได้เข้าไปดูภายในมหาปิรามิดนี้ (เสียดายนิดหน่อย) แต่แค่ข้างนอกก็รู้สึกอลังการแล้ว

บริการขี่อูฐหน้าปิรามิด ฮิตใช่เล่น

หลังจากให้เวลาเราปีนป่ายถ่ายรูปอยู่พักใหญ่ๆ ทางคณะของเราจึงเดินทางด้วยรถทัวร์ต่อไปยังเนินเขาที่ด้านหลังเพื่อได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของมหาปิรามิดทั้งหมดซึ่งรายล้อมไปด้วยทะเลทรายอันเวิ้งว้างว่างเปล่า (ไม่ได้แวะปิรามิดพ่อและลูก)


ภาพจากเนินที่มองเห็นปิรามิดทั้งหมด สวยงามมาก

ในบริเวณเนินดินนี้ก็เช่นเคยครับมีชาวอียิปต์ขายของ ตื้อกวนใจและบริการอูฐให้นักท่องเที่ยวได้ขี่เล่นกันเหมือนเดิม (แต่พวกผมไม่สนใจหรอก) เราจัดการถ่ายรูปอย่างไม่กลัวเปลืองและจัดไปหลายดอกหลายมุม (เพราะมุมนี้สวยงามมาก) ก่อนจะมุ่งหน้าสู่สฟิงค์ สัตว์ประหลาดยักษ์ที่เฝ้าสุสานที่อยู่ด้านหลังของมหาปิรามิด

บริเวณด้านสฟิงค์นี้เป็นทางเข้าใกล้ๆ กับที่เรามาดูการแสดงแสงสีเมื่อค่ำวาน คนเยอะมากและมีพ่อค้าชาวอียิปต์คอยบริการ (กวนใจ) อยู่เช่นเคยครับ ที่บริเวณด้านหน้าของสฟิงค์เป็นวัดแห่งสฟิงค์ (Sphinx Temple) ภายในใช้หินแกรนิตขนาดใหญ่เป็นเสา พื้นเป็นหินอ่อนอะลาบัสต้า เราเดินชมภายในโดยมีไกด์ชาวอียิปต์คอยอธิบายพิธีกรรมต่างๆ ในวิหารศิลาแห่งนี้ ไม่นานจากนั้นเราจึงออกจากวัดและมาถ่ายรูปกับสฟิงค์ที่ด้านนอกที่อากาศร้อนพอควร ระหว่างเดินถ่ายรูปเล่นก็มีกลุ่มวัยรุ่นอียิปต์มาขอพวกเราถ่ายรูปด้วย ทำให้รู้สึกว่าเราสองคนเป็นดาราจากเมืองไทยก็มิปาน 555


ภายในวิหาร Sphinx Temple


โยนเหรียญเพื่อขอพรเล่น

สฟิงค์จ้า

โฉมหน้าของกษัตริย์คีเฟรนที่จมูกหัก

หลังออกจากสฟิงค์ทางไกด์ได้นำพวกเราไปยังร้านขายน้ำหอมใกล้ๆ กับทางออก ซึ่งเข้าใจได้ว่าเขาคงได้รายได้จากการที่เราซื้อสินค้าเหล่านี้ ซึ่งก็เหมือนกับทัวร์จีนตรงที่ว่า เวลาจะไปดูสถานที่ท่องเที่ยวแม่งให้เวลาแป๊ปเดียว เวลาให้ไปซื้อของแม่งไม่เคยบอกเวลา 55 (เซ็ง) หลังจากเสียเวลาในร้านน้ำหอมไปหลายสิบนาทีเราก็เดินทางไปรับประทานอาหาร (บุฟเฟ่) ที่ร้านอาหาร Cleopatra ที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นนัก ส่วนตัวผมที่ไม่นิยมอาหารท้องถิ่นเท่าไหร่ก็จัดไปหนึ่งจากแบบป้อนเข้าปากไปผสมๆ กัน ไม่เน้นอะไรนักหนาครับ

บริเวณดาดฟ้าของร้านอาหาร Cleopatra ที่มองเห็นปิรามิดได้

และหลังอาหารเที่ยงซึ่งตามโปรแกรมเราจะได้ไปดูพิพิธภัณฑ์ Egypt Museum กันแต่มันก็ยังต้องแวะพาเราไปยังร้านขายภาพเขียนบนกระดาษปาปิรุสอีกร่วมครึ่งชั่วโมง (เบื่อจริงๆ) เวลาเดินดูก็จะคอยมีเซลแขกมาตามติดเล่าเรื่องราวของภาพวาดต่างๆ ที่มีความหมายและนัยยะต่างๆ ที่น่าสนใจ (แต่ไม่สนใจซื้อ) รวมไปถึงการสาทิตการทำกระดาษปาปิรุสด้วยต้นกก (ที่บ้านเมืองเราก็มีปลูกเยอะแยะ)

เรานั่งรถออกจากร้านภาพวาดปาปิรุสและมุ่งหน้าสู่พิพิธภัณฑ์อียิปต์ใกล้แม่น้ำไนล์และตึกรัฐบาลที่โดนเผาเมื่อปีก่อนตอนที่มีการปฏิวัติโดยประชาชน พิพิธภัณฑ์แห่งที่เก็บวัตถุโบราณล้ำค่ามากมายแต่เสียดายที่ไม่สามารถถ่ายรูปได้จึงทิ้งกล้องไว้บนรถ ตัวอาคารออกแบบสไตล์วิคตอเรียภายในมีสองชั้นบรรจุโบราณวัตถุต่างๆ ที่ขุดเจอจากสุสานของฟาโรห์ต่างๆ แต่ที่โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นสมบัติของกษัตริย์ตุตันคามุนและหน้ากากทองคำ (และสารพัดเครื่องประดับและเครื่องเรือนทองคำ) ในพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ทางไกด์ทัวร์จะเป็นคนเดินนำเพื่อบรรยายสิ่งของต่างๆ เนื่องจากไม่ได้มีข้อมูลติดไว้ตามสิ่งของ โดยจะใช้อุปกรณ์หูฟังและไมค์ลอยไว้บรรยายเรื่องราวต่างๆ ใครที่ไปควรใช้เวลาทัศนาซักครึ่งวันหรือมากกว่านั้นเพราะของโบราณที่ไม่มีที่ไหนเยอะมากๆ

ภาพภายในพิพิธภัณฑ์ จาก wikipedia


หน้ากากทองของตุตันคามุน ทองคำหนัก 11กิโล ภาพจาก wikipedia

หลังออกจากพิพิธภัณฑ์เราเดินทางสู่โรงแรมใหม่ที่อยู่ในย่านไคโรเก่าใกล้ตลาดอัลคาลิลี่ชื่อว่า The Arabian Night Hotel เรามาถึงตอนเย็นและตกตะลึงกับสภาพของโรงแรม (จิ้งหรีด) ซึ่งอยู่ย่านเมืองเก่าที่ทรุดโทรม

หน้าตลาดพรมใกล้ตลาดข่านอัลคาลิลี่ สถาปัตยกรรมสวยงาม

โรงแรมอยู่ในซอยเล็กๆ ที่ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ โรงแรมเป็นเหมือนตึกแถว 3-4 ห้องตีทะลุถึงกัน แน่นอนครับมันไม่มีลิฟต์ หลังจากรอพิธีการระบบโบราณในการเช็คอิน เสียเวลาไปประมาณครึ่งชั่วโมงและได้ห้องพักประมาณชั้น 4 ที่แอร์ไม่เย็น (น้ำยาหมด) ต้องอดทนและจำทน (แต่มารู้ทีหลังว่ามีเพื่อนร่วมทริปที่หนีไปนอนโรงแรมที่ดีกว่า)

หน้าโรงแรมจิ้งหรีด Arabian Night ยามค่ำ (ภาพสีเพี้ยนไปหน่อยนะ)

อาหารค่ำเราเดินออกมาจากโรงแรมเพื่อมุ่งหน้าไปตลาดข่ายอัลคาลิลี่อีกครั้ง ข้อมูลเรื่องการกินในอียิปต์ค่อยข้างจำกัด เราเดินผ่านถนนที่โทรมๆ และเสียงหนวกหูจากรถบนถนนที่บีบแตรกันตลอดเวลา และพบกับร้านอาหารหนึ่งที่ไม่ไกลจากที่พักนัก ภาพประกอบนอกเหนือจากภาษาอาหรับที่มีหน้าตาคล้ายๆ กับพิซซ่า เมื่อสือสารภาษาอังกฤษกันจนพอรู้เรื่องเราก็นั่งรอพิซซ่าขนาดถาดละ 15 ปอนด์ (ประมาณ 75 บาท) 2 ถาด

โฉมหน้าอาหารค่ำข้างถนนราคาประหยัดรสชาติถูกลิ้น

โชคดีที่มีเพื่อนร่วมทริปชาวไต้หวันเดินผ่านเราจึงชักชวนพวกเขามาร่วมวงกินพิซซ่าด้วยกันซึ่งเขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน หลังอาหารเราเดินเล่นร้านรวงย่านนั้นอีกหน่อยแต่ไม่ได้เดินไปจนถึงตลาดข่ายอัลคาลิลี่ จุดไหนดูไม่ปลอดภัยก็ไม่กล้าไป สุดท้ายก็ซื้อขนมกลับมาที่ห้องกิน

ในใจคิดเสมอว่าทุกวันในไคโรคือการผจญภัยจริงๆ และหวังเพียงเอาตัวรอดจากแขก 555



Create Date : 14 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 28 เมษายน 2558 22:14:08 น.
Counter : 3463 Pageviews.

2 comments
  
สนุกไปอีกแบบ
โดย: keyzer วันที่: 16 พฤศจิกายน 2555 เวลา:21:39:49 น.
  
ตระการตาวุ้ย
โดย: เสี่ยสมัครเล่น วันที่: 22 พฤศจิกายน 2555 เวลา:13:21:54 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

biggg
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



my everyday life on EARTH

New Comments
พฤศจิกายน 2555

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
11
13
15
16
17
18
19
21
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog