วันที่ 3 ในไคโร หลังจากที่ผ่านการประชุมวิชาการไปแล้ว วันนี้จึงเป็นวันว่างที่เราวางแผนจะออกไปดูย่านเมืองเก่าหรือ Old Cairo (บ้างเรียกว่า Islamic Cairo) ที่เป็นถิ่นชาวมุสลิม หลังการหาข้อมูลคร่าวๆ จาก guidebook และอินเตอร์เน็ทความเร็วระดับเต่าคลานของโรงแรมแล้วเราจึงเริ่มการเดินทางด้วยการใช้บริการของแท๊กซี่ประจำโรงแรมเนื่องจากฟังเขามามากว่าจะโดนหลอกโดยคนท้องถิ่นแต่แท๊กซี่โรงแรมก็จะแพงกว่า (แต่บริการดี)
เราเดินทางจากย่านที่พักแถบ Giza ใกล้ปิรามิดข้ามแม่น้ำไนล์มาที่ฝั่งตะวันออกย่านเมืองเก่าโดยเป้าหมายคือ Citadel หรือป้อมเมืองเก่าที่สร้างตั้งแต่ยุคของซาลาฮุดดินในศตวรรษที่ 12 เพื่อป้องกันพวกครูเสดจากยุโรป ด้านบนสุดของเนินเขาที่ด้านบนสุดจะมีมัสยิดของมูฮัมเหม็ด อาลี (Mohammed Ali Mosque) ซึ่งสร้างในภายหลังเมื่อประมาณ 200 ปีก่อนสนนราคาค่าแท๊กซี่ของโรงแรมคือ 95+ทิปให้คนขับเป็นร้อยถ้วนๆ (แพงกว่าแท๊กซี่ทั่วไป) อากาศวันนี้โคตรสดใสครับเหมาะแก่การถ่ายภาพแต่แดดแรงสัด เราค่อยๆ เดินขึ้นเนินเขาเพื่อผ่านทางเข้าที่เป็นช่องตรวจอาวุธด่านแรก ระหว่างทางผู้คนท้องถิ่นที่เดินผ่านมาโดยเฉพาะเด็กๆ จะยิ้มทักทายเราเกือบทุกคน บ้างกล่าวเฮลโหล บ้างว่าคอนนิจิว่า บ้างหนีห่าว แต่มันยิ้มด้วยหัวเราะบ้างราวกับเจอมนุษย์ที่มาจากภูมิภาคที่น่าตลก เราก็สนุกไปกับเขาด้วยยกมือทักทาย คงไม่ค่อยมีคนหน้าตาแบบเราโผล่มาเที่ยวแถวนี้ ระหว่างทางมีคนมาเสนอขายของที่ระลึกแต่เราไม่สนใจเพราะกลัวโดนหลอกจัด 555
เด็กๆ ชาวอียิปต์ที่ยิ้มแย้ม
เราเดินขึ้นตามเส้นทางผ่านป้อมปราการที่ยิ่งใหญ่ตามเส้นทางที่คดเคี้ยวมีกำแพงสูงทำให้ผมนึกไปถึงยุคโบราณที่เตรียมเส้นทางนี้ไว้ต้อนรับข้าศึก เมื่อบุกทะลุมาถึงจุดนี้ย่อมเจอการต้อนรับจากทหารเฝ้าปราสาท แต่ก่อนเข้าด้านในเราต้องจ่ายค่าผ่านทางก่อนคนละ 50 ปอนด์และตรวจสัมภาระอีกครั้งที่ด่านป้อมปราการโบราณ เราค่อยๆ เดินตามทางที่ลัดเลาะและค่อยๆ ไต่ระดับความสูงเพื่อขึ้นไปสู่วิหารมัสยิดของมูฮัมเหม็ด อาลีที่สูงที่สุดในไคโร
ป้อมด้านหน้าของซิทาเดล
จริงๆ แล้วตัวป้อม Citadel นี่เป็นป้อมที่ซาลาฮุดดินสร้างเพื่อป้องกันเมืองไคโรและเมืองฟุสตัด (Fustat) เมืองหลวงเก่าของอียิปต์ยุคที่ปกครองโดยอาหรับตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 12 ซึ่งจะมีสถาปัตยกรรมในสมัยยุคกลาง (Medieval Age) อยู่เต็มไปหมด แต่หลังจากผ่านมาถึงศตวรรษที่ 19 (เมื่อ 200 ปีก่อน) เมื่อมูฮัมเหม็ด อาลีขึ้นเถลิงอำนาจก็ทำการฆ่าพวกอำนาจเก่าคือพวกมัมลุค (Mamluk) ที่สืบทอดอำนาจมาตั้งแต่ยุคของซาลาฮุดดินโดยมีการสังหารหมู่ 500 ศพบนซิทาเดลและทำลายอาคารสถาปัตยกรรมของพวกมัมลุคทิ้งไปเกือบหมด
มัสยิดของมูฮัมเหม็ด อาลีที่ออกแบบตามสไตล์ออตโตมัน
ระเบียงโดยรอบมัสยิด
กลับมาที่ยุคปัจจุบัน ตัวมัสยิดบนยอดของซิทาเดลนี้สร้างในสมัยศตวรรษที่ 19 โดยผู้นำชื่อเดียวกับมัสยิดนี้ซึ่งถือเป็นผู้นำแห่งอียิปต์ยุคใหม่ ลักษณะของตัวอาคารแบบเดียวกับอาณาจักรอ๊อตโตมันแห่งตุรกี ซึ่งหลุมศพของโมฮัมหมัดอาลีนั้นเป็นแท่นหินอ่อนตั้งอยู่ที่บริเวณลานกลางแจ้งหน้าทางเข้าตัวมัสยิด ภายนอกตัวมัสยิดมีระเบียงโดยรอบ ภายในปูพรมทั้งหมดและต้องถอดรองเท้าและหิ้วไปด้วยหรือเราสามารถซื้อถุงพลาสติกจากเด็กหน้ามัสยิดเพื่อหุ้มเท้าของเราโดยไม่ต้องถอดรองเท้าก็ได้เช่นกัน
แท่นหลุมศพของโมฮัมหมัดอาลี
ภายในที่อลังการของมัสยิดโมฮัมหมัดอาลี
ถัดลงมาจากมัสยิดของมูฮัมเหม็ดเราจะพบกับมัสยิดของอัลนาสเซอร์ โมฮัมหมัด (Mosque of an-Nasr Mohammed) ที่มีรูปแบบการตกแต่งแบบไบเซนไทน์ที่สร้างประมาณยุคปี 1318-35 ประมาณ700ปีก่อน ซึ่งเป็นอาคารที่สร้างในรูปแบบเปอร์เซียหลังเดียวในซิทาเดลที่รอดพ้นจากการทำลายโดยโมฮัมหมัด อาลีที่ต้องการทำลายสถาปัตย์ของพวก Mamluks ทั้งหมด (กลุ่มอำนาจเก่าตั้งแต่ยุคสมัยของซาลาฮุดดิน) อาคารมีพื้นที่คอร์ทที่เปิดโล่งแจ้งที่ตรงกลาง โดยรอบเป็นระเบียงที่มีเสาที่รองรับอาร์คโค้งที่มีรูปแบบผสมผสานของเสาแบบอียิปต์ โรมันและไบเซนไทน์ การเดินเข้าสู่ด้านในต้องถอดรองเท้าเดินตามพรมเข้าไปสู่พื้นที่สวดมนต์ด้านในสุด
ป้อมโบราณที่ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ตำรวจ
ภายในมัสยิดของอัลนาสเซอร์ โมฮัมหมัด สถาปัตยกรรมยุคมัมลุคที่เหลือรอดบนซิทาเดล
บริเวณMihrab ช่องสวดคัมภีร์และมุข Minbar ของมัสยิดของอัลนาสเซอร์ โมฮัมหมัด
ลานภายในมัสยิด
หลังจากนั้นเราจึงเดินสำรวจโบราณสถานบนซิทาเดลอีกซักพัก ชมวิวเมืองไคโรจากบนเนินเขาแล้วจึงลงจาก Citadel ซึ่งเราวางแผนว่าจะเดินไปตลาดข่านอัลคาลิลี่ (Khan Alkalili) ซึ่งเมื่อวัดจากแผนที่ในหนังสือท่องเที่ยวแล้วเหมือนจะไม่ไกล แต่เมื่อถามตำรวจแล้วเขาว่ามันไม่ใกล้เลย (แต่เราไม่ค่อยเชื่อ) เราเดินเรื่อยๆ ไปจนถึงมัสยิดของสุลต่านฮัสซัน
หอ Minarets ของมัสยิดของสุลต่านฮัสซัน
ขณะกำลังยืนถ่ายภาพเล่นอยู่นั้นก็มีชายอียิปต์คนหนึ่งที่อ้างว่าเป็นครูมาแนะนำทางว่าเราต้องเดินไปทางไหน เขาว่าเขาต้องเดินกลับบ้านทางนั้นอยู่แล้วจึงอาสาพาเราเดินไป เขาพาเราเดินต่อไปตามถนนเล็กขนาดประมาณซอยบ้านเราที่โทรมๆ ระดับถนนประมาณเขตชายแดนที่ดูน่ากลัวมีบ้านโทรมๆ พังๆ และสกปรก แต่จะมีอาคารเก่าๆ แทรกตัวอยู่ภายในชุมชนเหล่านี้โดยเขาว่าถนนนี้มีมาแต่โบราณราวสองพันปี ซึ่งภายหลังทราบว่ามันคือย่าน Fatimid Cairo (คิดว่านักท่องเที่ยวทั่วไปคงไม่กล้าเดินเข้ามาหรอก เพราะมันดูน่ากลัว)
ในตรอกโทรมๆ ย่าน Fatimid Cairo
อาคารโบราณในตรอก
เขาว่ามันคือ (อดีต)โรงอาบน้ำ ปัจจุบันขยะเต็มเลย
ชายที่อ้างตัวเป็นครูชาวอียิปต์พาเราลัดเลาะมายังมัสยิดแห่งหนึ่งตามซอยเล็กๆ ซึ่งไม่น่าจะใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่ใครๆ จะมาเที่ยวกันเพราะภายในมีเพียงพวกเราและชายชราซึ่งน่าจะเป็นครูสอนศาสนาอยู่ ระหว่างการร่วมเดินทางตามตรอกนี้เราก็รู้สึกไม่ไว้วางใจซะทีเดียวและยิ่งเมื่อเข้ามาถึงมัสยิดที่เปลี่ยวแห่งนี้ยิ่งทำให้เราเครียดมากยิ่งขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามมัสยิดแห่งนี้ก็เป็นมัสยิดโบราณ (น่าจะราวศตวรรษที่ 12) ชื่อว่า Mosque of Amir al-Maridani แบบไบเซนไทน์ที่ประกอบไปด้วยศิลปะหลากหลายยุคสมัยผสมผสานกันอยู่คล้ายกับมัสยิด Mosque of an-Nasr Mohammed บนซิทาเดล
ภายในมัสยิดโบราณ Mosque of Amir al-Maridani
คอร์ทกลางของมัสยิด Mosque of Amir al-Maridani
ผนังระแนงไม้ที่สวยงามสไตล์อิสลาม Mosque of Amir al-Maridani
แต่สิ่งที่ชายคนนี้เรียกร้องคือให้เราบริจาคเงินให้กับมัสยิดแห่งนี้ เข้ามาชมภายในคนละ40 ปอนด์ขึ้นหอคอยมินาเร็ต Minaret อีก 40 ปอนด์โดยบอกว่าเงินบริจาคที่ใส่กล่องนี้จะให้กับเด็กกำพร้าที่ไม่มีพ่อแม่ (เขาใส่เงินโชว์ให้ดูก่อน) สุดท้ายบอกว่าถ้ามีบัตรนักเรียนสามารถลดราคาได้ครึ่งนึง ท้ายที่สุดแล้วเรา 2 คนโดนไป 110ปอนด์ (550บาท) แลกกับการนำเที่ยวเข้าซอยเก่าๆ โทรมๆ แนะนำองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม เรื่องราวและพิธีกรรมของอิสลาม
ทิวทัศน์ย่านเมืองเก่าไคโรมองจากบนหอคอย
หลังเดินแนะนำพิธีกรรมต่างๆ และองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของมัสยิดแล้วชายคนดังกล่าวจึงนำพาเราให้ปีนขึ้นหอคอยโดยเมื่อปีนขึ้นบันไดศิลาวนมาถึงบริเวณหลังคาแล้วจึงขอแยกตัวกับเราบริเวณนี้ ก่อนไปได้ชี้ทางที่เราต้องเดินต่อเพื่อไปยังตลาดและให้เราขึ้นหอมินาเร็ตต่อไปเองเพื่อชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามและถ่ายภาพเมืองไคโรโบราณ (ที่เขาว่าไม่เหมือนที่อื่นๆ) แต่ก่อนแยกจากจึงแสดงตัวตนที่แท้จริงด้วยการขอเงินค่าทิป!! และเราก็โดนไถไปอีก 5 ดอลล่า แม่เจ้า
ไหนๆ ก็ขึ้นมา (โดนไถเงินแล้ว) เราก็ขึ้นหอมิเนอเร็ตเพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองไคโรเก่าที่สวยงามและโทรมๆ ปนๆ กันไป ร้อนเหงื่อโทรมแล้วเราก็ลงมาที่ด้านล่างอีกครั้ง ถ่ายภาพภายในที่สวยงามแล้วจึงเดินออกไปตามซอยโทรมๆ ไปตามทางเพื่อออกสู่ถนนใหญ่ หิวและเหนื่อย (และกลัวแขกหลอก) เรามาถึงถนนใหญ่ที่วุ่นวายจึงพยายามเดินต่อไปให้ถึงตลาดข่านอัลคาลิลี่โดยถามชาวบ้านและเดินฝ่าฝูงชนที่วุ่นวายในย่านค้าขาย รถราที่บีบแตรยิ่งทำให้อะไรๆ มันดูตึงเครียดยิ่งขึ้น โดยในใจหวังว่าที่ตลาดที่ว่านี้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีร้านอาหารและที่แลกเงิน
ร้านขายขนมปังในตรอก
ผลไม้ประเทศนี้เยอะจริงๆ นะครับ
บริเวณทางเข้าตลาดพรมย่านตลาด Khan Al Khalili
เราเดินมาจนถึงตลาดพรมและผ้าม่านโดยคิดไปว่ามันคือตลาดข่านอัลคาลิลี่ (จริงๆ แล้วมันก็อยู่อีกด้านของถนนแหละ) แต่คงเพราะเห็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามด้านหน้าตลาดจึงเดินเข้าไปดูซึ่งภายในมีขายแต่เสื้อผ้าและพรม (คล้ายๆ กับตลาดพาหุรัด) จึงหมดอารมณ์และเดินกลับมาเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม เราหาแท็กซี่คันที่ดูใหม่ๆ เพื่อจะได้มีมิเตอร์และบอกชื่อโรงแรมซึ่งคนขับก็ฟังไม่เข้าใจ (ปวดหัวจริงโว้ย) เลยบอกชื่อโรงแรมใกล้ๆ มันก็โทรถามคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย แท๊กซี่ก็ไม่ยอมเปิดแอร์เราก็ไม่หวังอะไรมากหรอกครับ ขอแค่กลับถึงโรงแรมเป็นพอทนๆ ควันเหม็นๆ ไปก่อน พอฝ่ารถติดหนึบจนมาถึงโรงแรมได้ก็รู้สึกโคตรดีใจเลย
Light & Sound แสดงแสงสีเสียงของมหาปิรามิด
กลับเข้าห้องพักอาบน้ำล้างฝุ่นและคราบเหงื่อไคลที่เหนียวหนึบ กินอาหารรองท้อง พักผ่อนและในตอนเย็นจึงออกไปกับคณะฯ เพื่อนั่งชมปิรามิดในการแสดงแสงสียามค่ำคืน (Light & Sound) ที่เป็นการเล่าเรื่องโดยมีฉากหลังเป็นมหาปิรามิดและฉายภาพและไฟไปบนโบราณสถาน สฟิงค์ และปิรามิด บรรยายภาษาอังกฤษพร้อมดนตรีแบบหนังอลังการในสมัยอลิซาเบ็ตเทย์เลอร์ ท้องฟ้าด้านบนมืดมิดอากาศเย็นสบายทำให้ลืมความวุ่นวายของเมืองไคโรเก่าไปได้ทีเดียวเชียว