Mountain young ตอนที่ 1 .
ทุกครั้งที่หลับตาลง คลื่นภาพคลื่นเสียงของเรื่องราวเก่า ๆ มักซัดสาดเข้ามาสัมผัส ชายหาดแห่งความทรงจำ เป็นทุกครา ... ทำให้ผมต้องคอยลุกขึ้นมา ไล่เก็บรอยเท้าบนชายหาดแห่งนี้ เอามาเรียบเรียง เรียงร้อยเป็นตัวอักษรในบทความเหล่านี้ครับ ...
สวัสดีครับ ... ผมชื่อกวางครับ ... เรื่องเล่าต่อไปนี้คือ เป็นเรื่องราวที่เกิดจากชีวิตจริงของผมครับ ... ผมเป็นเด็กบ้านนอกคอกนาคนนึง เกิดที่บนดอย จะว่าชาวเขาก็ไม่ผิด บ้านเดิมผมอยู่ตอนเหนือของรัฐฉาน ( northern shan state ) ครับ ... ผมมีพี่น้องสองคน คือผมและน้องสาวครับ ... สมัยละอ่อน ผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างว่านอนสอนง่ายครับ ... พ่อแม่ผมทำไร่ทำนา ... ผมกับน้องก็ต้องตื่นแต่เช้าไปทุ่งนากับพ่อและแม่ครับ ... สมัยนั้นเขาใช้ควายมาไถนากันครับ เครื่องจักรเหรอ มีหน้าตาเป็นไงยังไม่รู้ ^_^ ... พ่อไปไถนาตอนเช้า พอตอนสายพ่อปลดควายแล้ว ผมก็จะเป็นคนเลี้ยงควายให้ครับ ...
ฐานะบ้านผมตอนนั้นค่อนข้างลำบากทีเดียว ... ผมเลี้ยงควายในวันหยุดเรียน และเรียนหนังสือไปด้วย ... เดินเท้าไปเรียนครับ ... ที่บ้านโรงเรียนหลัก ๆ ก็จะมี โรงเรียนจีน พม่า และ ไทยใหญ่ครับ ... ผมต้องแหกขี้หูขี้ตาตื่น ตีสี่ครึ่งทุกเช้า จันทร์ถึงเสาร์ เพื่อไปโรงเรียนจีน ( เป็นโรงเรียนคริสเตียน วันอาทิตย์จะเข้าโบสทุกอาทิตย์ ... แต่ผมนับถือศาสนาพุธทครับ แค่ไปเรียนหนังสือและฝึกการเล่นดนตรี ขับร้องและเขียนเพลง ... โรงเรียนแห่งนี้มีการเรียนการสอนที่ มาตฐานสูงกว่าโรงเรียนอื่น ๆ ครับ ) ซึ่งเรียนถึง 7:30น ก็กลับบ้านทานข้าว ไปโรงเรียนพม่าต่อ ... โรงเรียนพม่า มีสองภาคต่อวัน 8:45น~12:00น คือภาคเช้า และ 13:00น~15:15น คือภาคบ่าย ... เลิกจากโรงเรียนพม่า 15:15น ก็ไปเข้าโรงเรียนจีนอีก คือ 16:00น~18:00น ... เลิกจากโรงเรียนจีน 18:00น ผมต้องไปเรียนภาคค่ำต่อคือ ภาษาไทยใหญ่อีก ถือได้ว่าเรียนหนักเอาการครับ ... ภาษาพูด ภาษาเขียนที่หลากหลายภาษา ก็เลยติดตัวผมมาตั้งแต่เด็กครับ ...
ชีวิตผมมีความเปลี่ยนแปลงมาครั้งแรกก็คือ ตอนผมเรียนอยู่ ไฮสคูล เกรด 9 ... ส่วนโรงเรียนจีน ผมเรียนจบป.6 แล้วไปเป็นครูสอนหนังสือภาษาจีนที่ต่างโรงเรียนครับ ... ปีนั้น ค.ศ 1996 , ปี พ.ศ 2539 ผมต้องเสียแม่ไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ครับ ... ผมก็เลยไม่ได้เรียน และไม่ได้สอนหนังสือต่อ เพราะต้องช่วยพ่อทำนา ...
ชีวิตช่วงนั้น ตอนเช้า ผมเป็นคนไปจ่ายตลาด ซื้อผักปลา และมาทำกับข้าวให้พ่อกับน้องสาวทานครับ ... ทำกับข้าวเสร็จก็ห่อข้าวห่อปลาใส่ปิ่นโต เอาไปส่งให้พ่อในทุ่งนา และช่วยพ่อทำงานในทุ่งไปด้วยครับ ...
ผมเป็นคนชอบเล่นกีต้าร์ ร้องเพลง เขียนเพลงครับ ... แต่พ่อผมไม่ชอบให้ผมทำแบบนั้น ... ผมมักจะไปเล่นดนตรี ร้องเพลงตามงานปีใหม่ งานประจำปี งานวัด และตามงานต่าง ๆ โดยไม่มีค่าจ้างใด ๆ ครับ ...
และ ตอนผมโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น จะเกเร เสเพลมาก ๆ ครับ ... ไม่ชอบช่วยพ่อทำนาเหมือนตอนเด็ก วัน ๆ เอาแต่เที่ยวเตร่ ไม่กลับบ้านเป็นเดือน ๆ ... นานวันเข้า พ่อเริ่มทนไม่ได้กับพฤติกรรมของผม ... วันนั้น ผมกลับมาจากการเล่นเพลงที่งานปีใหม่ของชนเผ่าของผม ... ( คราวนั้นผมหายออกจากบ้านไปเป็นเดือนครับ โดยไม่สนใจงานในทุ่ง และตอนนั้นเป็นช่วงที่งานในทุ่งกำลังยุ่ง เป็นฤดูกาลที่กำลังเก็บผลเกี่ยวข้าวกันครับ ... เป็นช่วงต้นเดือนธันวาคม ค.ศ 1999 , ปี พ.ศ 2542 ... ผมไม่กลับมาช่วยงานพ่อเลย ... )
พอผมกลับมาถึงบ้านในช่วงเย็นวันนั้น คำแรกที่ผมได้ยินจากพ่อ คือ " แกออกจากบ้านไปเลย จะดีกว่า ... ความชอบ ความคิดของเรา มันคงเข้ากันไม่ได้หรอก แกชอบร้องเพลงนี่ ไปหาลู่ทางทำเอาเองเถอะ และอย่าหนกลับมาที่บ้านนี้อีก ... แกจำไว้นะ ลูกผู้ชาย ถ้าขาไม่แข็งพอ อย่ายืนในน้ำเชี่ยว " ... อย่ายืนในน้ำเชี่ยว ... อย่ายืนในน้ำเชียว ...
สรุปว่า ผมโดนพ่อไล่ออกจากบ้าน และความรู้สึกของผมตอนนั้น มีทั้งน้อยใจ มีทั้งเสียใจมากครับ ... มันเหมือนมีก้อนอะไรมาค้ำคาอยู่ในลำคอ ... แต่ อีกใจนึง พร้อมแล้วที่จะรับพลังแห่งแสงอรุณของวันพรุ่งนี้ และลุยตามเส้นทางที่ใฝ่ฝัน ... ตอนนั้นผมอายุ 17 ...
( รออ่านบทต่อไปครับ )
ความคิดของเด็กและผู้ใหญ่จะไม่เหมือนกันนะค่ะ
ไม่อยากบอกว่า ใครถูกหรือผิด
อยากบอกว่า ให้เป็นคนดี
ทำตามความฝันของตัวเอง ยืนบนลำแข้งของตัวเอง
ถ้าอยากให้พ่อภูมิใจ ต้องกลับไปอย่างสง่า
ทำให้เป็นจริงเป็นจัง และหาเงินไปช่วยพ่อและครอบครัว
เป็นกำลังใจให้นะ..สู้ๆๆ