|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
9 มิถุนายน 2552
|
|
|
|
บทที่ 1 ทฤษฎีทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ความหมายและความสำคัญของทฤษฎี
ทฤษฎี มาจากคำว่า Theory รากศัพท์ภาษากรีก = การเพ่งดู การพิจารณาอย่างเจาะจง ซึ่งทำให้ได้ผล คือ 1. ความรู้ความเข้าใจ ในสิ่งที่เพ่งดู 2. สามารถทำนายได้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป 3. สามารถนำสิ่งที่รู้ไปปฏิบัติตามคำทำนาย หรือ เพื่อ หลีกเลี่ยงผลตามคำทำนาย ดังนั้น ทฤษฎี = แผนที่นำไปสู่ความรู้ และ ความจริง
ทฤษฎี คือ การอธิบายเหตุและผล ว่าอะไรคือเหตุ และ อะไรคือผล สิ่งใดเกิดขึ้นจากสิ่งใด ปรากฏการณ์เกิดจากสาเหตุใด ทฤษฎี จึงแสดงให้เห็น “ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตั้งแต่ 2 ตัวแปรขึ้นไป” สิ่งที่ทฤษฎีพยายามจะบอกเราก็คือ “ความจริง” คือ เมื่อ ตัวแปรที่ 1 มามีความสัมพันธ์ในรูปแบบเฉพาะเจาะจง กับตัวแปรที่ 2 ผลที่เกิดขึ้น จะต้องเป็นเช่นนั้น เสมอไป ตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่สุด คือ การคำนวณ 2 x 1 = 2 1 + 3 = 4 2 + 7 = 9 ถ้าไม่บอกค่าตัวแปรตัวใดตัวหนึ่ง ทฤษฎี ที่เราเรียนรู้มาก็ทำให้เรารู้ X1 x 1 = 2 จงหาว่า X1 = ? 1 + X2 = 4 จงหาว่า X2 = ? 2 + 7 = X3 จงหาว่า X3 = ? การที่ทฤษฎี บอกเราว่า อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล หรือ สิ่งใดนำไปสู่สิ่งใด ทำให้เราสามารถนำสิ่งที่รู้ไปใช้ประโยชน์ได้ เพื่อ - ทำให้ได้ผลตามที่ต้องการ - เลี่ยงผลที่ไม่ต้องการ
เช่น เรารู้ทฤษฎีการเกิดน้ำ เราจึงหาสารเคมีไปเร่งปฏิกิริยาการรวมตัวกันของก๊าซทำให้เกิด “ฝนหลวง”
เรารู้ทฤษฎีการเกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก เราจึงพยายามลดการปล่อย CFC สู่ชั้นบรรยากาศ
ทฤษฎีทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ = เครื่องมือที่ใช้ในการอธิบาย และ ทำนาย ความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวแปร ซึ่งทำให้เข้าใจปรากฏการณ์ ทำนาย ประเมิน และ แก้ไข ควบคุม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แต่ทฤษฎีทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นมีข้อจำกัด ไม่หนักแน่น แน่นอน ตายตัว เหมือนทฤษฎีของคณิตศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์
เพราะ ทฤษฎีทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็น สังคมศาสตร์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “มนุษย์” (คน) มีกิเลส มีอารมณ์ความรู้สึก มีเปลี่ยนใจ มีแปรปรวนรวนเร ดังนั้นจึงมีข้อจำกัด 1. ไม่สามารถบอก “ความจริง” ที่ชัดเจนตายตัวได้เหมือนวิทยาศาสตร์ เพราะความจริงเกี่ยวกับมนุษย์นั้นคลุมเครือ (ยากกว่าวิทยาศาสตร์) เช่น อำนาจคืออะไร นิยามได้หลายแบบ 2. ตัวแปรไม่แน่นอน เปลี่ยนได้ตลอด จับต้องยาก ชั่งตวงวัดไม่ได้ 3. การตีความ ก็มีความลำเอียงส่วนบุคคล (Personal Bias)
แต่ ทฤษฎียังเป็นสิ่งจำเป็น เพราะช่วยจัดระเบียบข้อมูลที่มีอยู่ ทำให้ศึกษาได้ง่ายมากขึ้น
ดังนั้น บ่อยครั้งที่นักวิชาการจะไม่เรียกทฤษฎีทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่า “ทฤษฎี” แต่จะเรียกว่าเป็น “แนวทางศึกษา” (Approach) “แนวคิด” (Paradigm) “สำนักคิด” (School)
สมมติฐาน (Hypothesis) คือ การอธิบายปรากฏการณ์ว่าตัวแปรใด นำไปสู่อะไร (การอธิบายเหตุ และปัจจัย) เราเรียกคำอธิบายเหล่านี้ว่า “สมมติฐาน” (Hypothesis) ซึ่งคำอธิบายเหล่านี้จำเป็นต้องทำการพิสูจน์ เพราะมันตั้งขึ้นเป็นคำตอบสมมุติเท่านั้น และคำอธิบายหนึ่งที่ใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์หนึ่ง ก็อาจจะไม่สามารถนำไปใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์อื่น ในบริบทอื่นได้ เช่น คำอธิบายที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุโรป ก็อาจจะไม่สามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชียได้ เป็นต้น
Create Date : 09 มิถุนายน 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 9 มิถุนายน 2552 20:11:12 น. |
Counter : 3401 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
ปิ่นเดือน ครูดอย |
|
|
|
|