♥ ขอแสดงความเสียใจให้แก่ผู้สูญเสียทุกฝ่าย ♥









T_T














พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี

เพื่อคืนสันติสุขกลับสู่สังคมไทยอีกครั้งอย่างยั่งยืน เราคนไทยควรร่วมกัน

แสวงหาทางออกจากวิกฤตครั้งนี้ร่วมกัน โดยช่วยกันสร้าง “มาตรการสร้าง

สรรค์สังคมไทยให้สันติสุข” จากทุกภาคส่วน เช่น


๑. กำหนดวิสัยทัศน์เฉพาะหน้าของประเทศให้ชัดเจนโดยเน้นไปที่ “การนำ

ประเทศไทยกลับคืนสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด”

การชุมนุมอย่างยืดเยื้อยาวนานและการเข้าแก้ปัญหาของภาครัฐอย่างเด็ด

ขาดที่ผ่านมาทำให้ความขัดแย้งลุกลามออกไปกลายเป็นการเผาบ้านเผา

เมือง มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นสิ่งสุดวิสัย

ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะกล่าวโทษกันอีก สิ่งที่ควรทำต่อ

จากนี้ก็คือ คนไทยต้องร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์แห่งชาติว่า เราจะต้องร่วมกัน

นำพาประเทศไทยกลับคืนสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งปล่อยให้ยืดเยื้อ

ออกไป ความเสียหายที่ประมาณไม่ได้ก็จะยิ่งทวีคูณออกไปอย่างไม่มีที่สิ้น

สุด ขืนชักช้าก็จะเป็นการเปิดช่องให้กับองค์กรต่างประเทศเข้ามาเป็น “หุ้น

ส่วน” ในการดับวิกฤติและนั่นย่อมไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย เพราะประเทศ

ไทยจะกลายเป็น “รัฐที่ล้มเหลว” ในสายตาของชาวโลก และไม่สามารถ

บริหารจัดการประเทศของตัวเองได้อย่างเสรีเช่นเดิม ซึ่งนั่นย่อมหมายถึง

ประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นประเทศไทยที่มีทหาร

ของยูเอ็นกระจายอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ใครๆ ก็คงไม่อยากเห็นเมืองไทย

ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น

ทุกวันนี้ เราแค่มี “การเมืองที่ล้มเหลว” ซึ่งนับว่ายังพอเยียวยาได้ แต่ถ้าทิ้ง

ยืดเยื้อออกไปจนกลายเป็น “รัฐที่ล้มเหลว” ก็เท่ากับว่า ประเทศไทย คน

ไทย หมดสิ้นปัญญาอย่างสิ้นเชิงที่จะดูแลตัวเอง ซึ่งหากการณ์เป็นเช่นนั้น ก็

นับเป็นความอัปยศร่วมกันของคนทั้งชาติ

๒. บังคับใช้กฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อก้าวข้ามสภาวะ “อนาธิปไตย”

การลุกลามของปัญหามากมายในห้วงเวลาที่ผ่านมานั้นมาจากสาเหตุสำคัญ

ประการหนึ่งก็คือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างหละหลวมมาอย่างยาวนาน ส่ง

ผลให้ “กระบวนการนอกประชาธิปไตย” ในรูปแบบต่างๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเข้ม

แข็ง และปฏิบัติการท้าทายกฎหมายบ้านเมืองอย่างต่อเนื่องยาวนาน

หลายกลุ่ม หลายกระบวนการ หลายสีเสื้อ จนกระทั่ง เจ้าหน้าที่รัฐเองไม่กล้า

แม้แต่จะทักท้วง หรือไม่อาจหยัดยืนที่จะบังคับใช้กฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์เอา

กลับกลุ่มใด ผลก็คือ ประเทศเข้าสู่สภาวะ “อนาธิปไตย” ที่กฎหมายไม่มีผล

ในทางปฏิบัติ บ้านเมืองไร้ขื่อแป สภาวะเช่นนี้ ควรจะเป็นบทเรียนสำคัญที่คน

ไทยต้องเรียนรู้ร่วมกันว่า ในอนาคตจะต้องไม่มีปฏิบัติการนอกกฎหมายเช่น

นี้เกิดขึ้นอีก

การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ประชาชนทุกคนเป็นเจ้า

ของอำนาจอธิปไตยร่วมกัน ดังนั้น ทุกคนจึงมีสิทธิเสรีภาพในด้านต่างๆ

อย่างสมบูรณ์ภายใต้ข้อตกลงร่วมกันที่ว่า “เสรีภาพภายใต้กรอบของ

กฎหมาย” แต่ถ้าหากกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ เสรีภาพที่มี ก็จะกลายเป็นเสรีที่

จะทำอะไรก็ได้ ไม่เว้นแม้แต่เสรีที่จะทำร้ายประเทศชาติบ้านเมืองอันเป็นที่

รักยิ่งของตนเองมาก่อน


ถ้ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์ เสรีภาพจะต้องไม่เกินกรอบของกฎหมาย ทำอย่างไร

เราจะร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการเคารพกฎหมายให้เป็นวิถีชีวิตของคนไทย

และทำอย่างไรเราจะทำให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างศักดิ์สิทธิ์เสมอภาค

กันในทุกกาลเทศะ คำว่า “สองมาตรฐาน” จะต้องหมดไป ไม่ปล่อยให้กลาย

เป็นเงื่อนไขที่ถูกหยิบยกขึ้นมาทำร้ายคนไทยด้วยกันอีก นี่เป็นโจทย์ใหญ่อีก

ข้อหนึ่งที่คนไทยทั้งหมดจะต้องตอบร่วมกัน เพราะหากสังคมไม่มีกฎหมาย

เป็นหลักประกันในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ความวุ่นวายจากกลุ่มผล

ประโยชน์ต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นไม่สิ้นสุด และเมื่อคุมกันไม่อยู่ ผลสุดท้ายก็จะลง

เอยด้วยเลือดและน้ำตาซ้ำซากปร ะเทศไทยจะจมอยู่แต่ฉากเดิมๆ กับตัว

ละครเดิมๆ ไม่มีวันก้าวกระโดดออกมาจากวิกฤติอย่างยั่งยืน

๓. หยุดการใช้ความรุนแรงแล้วเปิดเวทีกลางเพื่อหาทางเจรจาร่วมกันระหว่าง

รัฐและผู้ชุมนุม

ที่ประเทศแอฟริกาใต้เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว เคยเกิดสงครามกลางเมือง

ระหว่างชนผิวดำเจ้าของประเทศและผู้กุมอำนาจรัฐซึ่งเป็นฝรั่งผิวขาว ใน

สงครามกลางเมืองคราวนั้น ผู้นำทางการเมืองชาวแอฟริกาใต้คือเนลสัน

แมนเดลา ใช้วิธีการแบบกองโจรในการเข้าปล้นอำนาจรัฐคืน ครั้งแล้วครั้ง

เล่า แต่ไม่เพียงจะไม่ประสบความสำเร็จเท่านั้น สงครามกลางเมืองยังนำไป

สู่การบาดเจ็บล้มตายของประชาชนดั่งใบไม้ร่วง ตัวเขาและมิตรสหายก็กลาย

เป็นอาชญากรที่รัฐประกาศจับ ต้องมีชีวิตอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เป็นเวลายาว

นาน ยิ่งรบยิ่งมองไม่เห็นทางชนะ ยิ่งสู้ยิ่งเข้าตาจน สูญทั้งเงิน สูญทั้งชีวิต

ยิ่งใช้วิธีการจรยุทธสันติภาพยิ่งห่างออกไปทุกที เวลาต่อมาแมนเดลาถูกผู้

กุมอำนาจรัฐจับไปขัง และเป็นการขังลืมยาวนานกว่า ๒๗ ปี วันเวลาอันยาว

นานในคุก ทำให้เนลสัน แมนเดลา สรุปบทเรียนว่า “ความรุนแรงไม่ใช่คำ

ตอบ” ดังนั้น พอถึงวันที่เขาได้รับอภัยโทษ แมนเดลาจึงเกิดการเรียนรู้ครั้ง

ใหญ่ว่า “มีแต่สันติวิธีเท่านั้นที่จะทำให้สันติภาพกลับคืนสู่แอฟริกาใต้อีก

ครั้ง” ด้วย “ธงแห่งสันติวิธี” ที่เขาปักลงไปในใจของตัวเองและในใจของ

เพื่อนร่วมชาติ ในที่สุดจึงนำไปสู่การเจรจาระหว่างตัวเขาและประธานาธิบดี

ในขณะนั้น ผลก็คือ ทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมกันยุติสงครามกลางเมืองได้

สำเร็จ จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกันทั้งคู่ และที่น่ายินดียิ่งไป

กว่านั้นก็คือ ทั้งเนลสัน แมนเดลาและเดอเคลิก ประธานาธิบดีผู้กุมอำนาจรัฐ

ซึ่งเป็นสองผู้นำคนสำคัญที่ขับเคี่ยวกันมานานได้เปลี่ยนความสัมพันธ์จาก

ศัตรูกลายเป็นวีรบุรุษแห่งสันติภาพของประเทศ บทเรียนแห่งชีวิตของแมน

เดลา เป็นกรณีศึกษาสำหรับประเทศที่เข้าสู่สงครามกลางเมืองอีกมากมาย

ทั่วโลก ประเทศไทยเอง ก็ควรได้รับอานิสงส์จากบทเรียนของแมนเดลาด้วย

เช่นเดียวกัน

ขอให้เราคนไทยเลือก “การเจรจา” เป็นเครื่องมือยุติสงครามกลางเมือง

เพราะหากเราเลือกสงคราม ก็มีแต่สงครามต่อไปไม่จบสิ้นเหมือนที่พระ

พุทธองค์ตรัสว่า “ผู้แพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์ ส่วนผู้ชนะย่อมก่อเวร” หรือเหมือน

ที่ มหาตมะ คานธี กล่าวว่า “หากใช้ตาต่อตา ก็จะตาบอด และหากใช้ฟันต่อ

ฟันก็จะฟันหักกันหมด”

๔. ก่อตั้งสมัชชาปฏิรูประเทศไทยเพื่อเร่งเยียวยาและหาทางออกให้กับ

ประเทศให้รวดเร็ว แต่อย่างยั่งยืนที่สุด

มีการพูดกันมากว่า ควรก่อตั้งสมัชชาปฏิรูปประเทศไทยเพื่อหาทางที่จะเยียว

ยาประเทศไทยหลังวิกฤติ นี่เป็นแนวคิดที่ดี และควรเร่งทำอย่างยิ่ง แต่มีข้อ

ที่ควรพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ควรจะให้สมัชชาปฏิรูปนี้มีวัฒนธรรมการทำ

งานในแบบราชการคือ แทนที่จะเป็นองค์กรเพื่อการเปลี่ยนแปลง กลับเป็น

องค์กรประชุม ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะ “ประชุม” และ “นัดประชุม” ทว่าไม่มีผล

อย่างไรในแง่ที่เป็นรูปธรรม ประเทศไทยไม่มีเวลามากพอสำหรับการทำงาน

ฟื้นฟูบูรณะแบบเช้าชามเย็นชาม หรือแบบ “ความสามัคคีก็ดีอยู่ แต่ต้องมีกู

เป็นหัวหน้า” การตั้งสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย จึงต้องใช้วัฒนธรรมพิเศษที่

รวดเร็ว ก้าวข้ามทิฐิมานะของคณะกรรมการ และมุ่งสัมฤทธิผลมากกว่ามุ่ง

เอกสารและการประชุม

อนึ่ง มีข้อที่ควรสังเกตไว้อย่างหนึ่งก็คือ โรดแม็พการปฏิรูปประเทศไทยเท่า

ที่มองเห็นในขณะนี้ หลายฝ่ายมุ่งไปที่การปฏิรูปโครงสร้างเชิงระบบที่

เน้น “กายภาพ” ของปัญหาแทบทั้งนั้น ต่างพากันมองข้าม “มิติทางด้านจิต

วิญญาณ” เช่น เรื่องค่านิยม ระบบความเชื่อความคิด และวัฒนธรรม

บางอย่าง (นิสัยเห็นแก่ตัว ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่สนใจปัญหาสังคม

คอรัปชั่นจนเป็นวัฒนธรรม เป็นต้น) ที่นำพาประเทศไทยมาติดตันอยู่ใน

ความขัดแย้งกันไปสิ้น ดังนั้น คณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นมาจึงไม่ควรมองข้าม

การปฏิรูปประเทศไทยในระดับทิฐิ หรือระดับจิตวิญญาณด้วย เพราะจากบท

เรียนที่ผ่านมา เราปฏิรูปกันมาแล้วหลายครั้ง เราสร้างระบบที่เชื่อกันว่าดีที่

สุด (อย่าง รธน.ปี ๒๕๔๐) แต่แล้ว ปัญหาเดิมๆ กลับยังคงอยู่ นั่นเป็นเพราะ

ว่า เราปฏิรูประบบ แต่วิธีคิด ค่านิยม วัฒนธรรมเดิมๆ ที่เป็นตัวปัญหาของ

ชาติ ยังไม่เคยได้รับการปฏิรูปเสียที ย้ำชัดๆ ว่า หากเราไม่ปฏิรูปปกระบวน

ทัศน์ของคนไทย หรือจิตสำนึกของคนไทย (เช่น ค่านิยมอันตรายที่ว่า โกงก็

ได้ แต่ขอให้แบ่งกัน) การปฏิรูปครั้งใหม่ก็จะทำให้เกิดวิกฤติครั้งใหม่ที่ไม่

ต่างไปจากทุกครั้งเท่านั้นเอง


๕. ฟื้นฟูขวัญและกำลังใจของคนไทยด้วยการจัด “บายศรีสู่ขวัญประเทศ

ไทย” ณ ใจกลางสถานที่ชุมนุมเดิม (เช่น แยกราชประสงค์ หรือสถานที่อื่นใด)

สงครามกลางเมืองครั้งประวัติศาสตร์คราวนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ขวัญและกำลังใจ

ของคนไทยตกต่ำย่ำแย่อย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนดังนั้น จึงควรมีการฟื้นฟู

บูรณะขวัญและกำลังใจของคนไทยให้ฟื้นคืนมาเหมือนดังเดิมด้วยการสร้าง

ขวัญและกำลังใจขึ้นมาใหม่ด้วยการทำบุญประเทศในรูปแบบต่างๆ ซึ่งในที่นี้

ขอเสนอให้มีการ “บายศรีสู่ขวัญประเทศไทย” เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจ

ของคนไทยกลับคืนมาพร้อมทั้งจัดการ “เจริญพระพุทธมนต์” และประพรม

น้ำ พระพุทธมนต์ทั่วกรุงเทพฯ โดยเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับสงครามกลาง

เมืองหรือหุ้นส่วนของความขัดแย้งทุกกลุ่มมาร่วมในพิธีนี้ ซึ่งจะมีนัยะสำคัญ

อย่างน้อยสามประการ กล่าวคือ (๑) เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ (๒) เพื่อทำ

บุญประเทศครั้งใหญ่เหมือนในสมัยพุทธกาลที่พอวิกฤติโรคร้ายสร่างซา พระ

พุทธองค์โปรดให้พระอานนท์ไปประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพื่อสร้างกำลังใจ

ให้แก่ประชาชนชื่นใจ (๓) เพื่อสร้าง “อภัยวิถี” คือ วิธีการให้อภัย (ภาวะที่

ไม่น่ากลัว) แก่กันและกันระหว่างผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย พร้อมทั้งเป็นการส่ง

สัญญาณต่อประชาคมโลกว่า ประเทศไทยกลับคืนสู่สันติภาพและเป็นปกติสุขแล้ว

เราทุกคนคือหุ้นส่วนประเทศไทย ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับเรา

คนไทยทุกคน อย่าปล่อยให้ประเทศไทย อยู่ในกำมือของนักการเมืองเพียง

ฝ่ายเดียวเหมือนที่ผ่านมา เราต้องกล้าที่จะร่วมกันลุกขึ้นมาเปลี่ยนประเทศ

ไทย เวลานี้ เราพูดกันมากว่า ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม คำกล่าวนี้คงไม่

ผิด แต่คำว่า “ไม่เหมือนเดิม” ต้องหมายถึง ไม่เหมือนเดิมในทิศทางที่ดีขึ้น

ไม่ใช่ไม่เหมือนเดิมในทิศทางที่แย่ลงกว่าเดิม ประเทศไทยวันพรุ่งนี้ ต้องดี

กว่าวันนี้ นี่คือ สิ่งที่เราทุกคนต้องร่วมกันสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นให้ได้ในเร็ววัน









Create Date : 19 พฤษภาคม 2553
Last Update : 20 พฤษภาคม 2553 23:15:17 น. 13 comments
Counter : 638 Pageviews.

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


สวัสดีตอนเช้า แบบหงอยๆ



โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:4:15:49 น.  

 
ทุกคนกำลังเศร้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่คงจะน้อยกว่าครอบครัวของผู้ได้รับผลกระทบ ทำไมตัวต้นเหตุถึงยังลอยนวลได้อยู่นะ


โดย: แม่ปุ้มปุ้ย วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:6:01:40 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับพี่ต่าย


เชียงใหม่ก็วุ่นวายครับ
ตอนนี้ตั้งหลักในบ้านอย่างเดียวเลยครับ







โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:6:33:39 น.  

 
หวัดดีจ๊ะ เห็นข่าวแล้วเศร้าเหมือนกัน มาเป็นกำลังใจให้คนไทยทุกคน


โดย: Summer Flower วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:34:07 น.  

 
เป็นัวนคืนที่น่าเศร้ามากครับพี่ต่าย



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:35:47 น.  

 
ดูแลตัวเองนะคะพี่ต่าย
ของกินก้ตุนไว้มากแล้ว
ก้ไม่จำเป็นอย่าออกไปใหนเลยนะคะ


โดย: mentalk วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:51:11 น.  

 



เข้ามาบอกว่าเห็นด้วยกับคุณในกระทู้ศรรามเหลิมไทย


โดย: นายแมมมอส วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:12:10:59 น.  

 
ทักทายตอนเย็นๆค่ะพี่ต่าย
ไม่สบายซะหลายวัน
เลยติดตามข่าวตลอด
หดหู่ใจมากเลยค่ะ
ได้แต่ภาวนา
อยากให้คนไทย
กลับมารักกันเหมือนเดิมจัง


โดย: ศุภมาศ วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:18:40:50 น.  

 
มาส่งเข้านอนคร้า ^-^
ฝันดีนะคะ ตื่นเช้ามาขอให้สดใส


โดย: อรุณสวัสดิ์ที่รัก วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:19:59:48 น.  

 
แวะมาเยี่ยมยามดึกครับผม

เพลงนี้ฟังโดยไม่ดูภาพ แต่ดูพร้อมคลิบแล้วมัน หดหู่จริง ๆ


โดย: ขุนพลน้อยโค่วจง วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:18:05 น.  

 
ความรักมักยิ่งใหญ่เสมอ
ทว่าเมื่อไฟรักมอด
สาวคนรักบอกกับคุณว่า

ฉันกินจนอิ่มแล้ว .... ลุกเลย
เรื่องรับผิดชอบเคย ..... แค่นั้น
แม่ฉันจะมีเขย .... คนใหม่
เธออย่ามาคาดคั้น .... ครุ่นคว้างคร่ำครวญ
(พจน์รำพัน)

อยากทราบว่าคุณจะตอบเช่นไรดี
ถ้าคุณยังรู้สึกรักเธอมาก
ไม่อยากจากเธอไป?

.

หากรักภักดิ์แค่รู้........เราเมา
นัยใคร่ไฉนดันเดา......ด่วนพร้อม
เห็นเขาเร่าถึงเหงา......หงอยอยู่
ใจหนึ่งอารีล้อม..........แล่นอุ้มปลอบขวัญ

ครันพานพบหนึ่งปลื้ม....ปองเสริม
ใจดั่งวูบวาบเหิม...........ห่วงชู้
คนเคยก่อนเหมือนเติม...ผิดที่
เป็นเช่นหมางเมียงอู้.......ไล่แล้วมิไป

ไยแปรแลเปลี่ยนได้........แปลกจริง
จะโทษเป็นเพียงหญิง.......ร่านร้าย
ฤๅโทษรักเอนอิง.............เกินบ่อย ใดนา
หากรักยังคงคล้าย............หนึ่งล้นมายา
(ญามี่)

การบ้านก่อนนอนค่ะ อิอิ
ฝันดีค่ะคุณต่าย



โดย: ญามี่ วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:39:42 น.  

 
เขา เลือกเอาเองครับ

เสียใจด้วยจริงๆ

ประเทศไทย


โดย: มนุษย์กินเห็ด... (เป็ดสวรรค์ ) วันที่: 21 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:51:43 น.  

 
หวานแหวว แต่มีสาระครับบบ


โดย: the addy วันที่: 22 พฤษภาคม 2553 เวลา:13:51:42 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Moon OF JulY
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]





ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์คือ

การเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"




♥ เริ่มเขียนบล๊อก 12 มีนาคม 2553 ♥





: Users Online
Hit Counter
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
19 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Moon OF JulY's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.