|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ครบรอบ 2 ปี....ชีวิต Single mum
ครบรอบ 2 ปี....ชีวิต Single mum
คืนสุดท้าย เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ที่เค้าได้ทำหน้าที่พ่อของลูก คืนนั้นเค้าสัญญากับดิฉันว่าจะไปซื้อนมให้ลูกซึ่งกำลังนั่งรถตู้เดินทางมากทม.และจะถึงในตอนเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ปกติหลังเลิกงานเค้าก็จะไปกินเหล้ากับเพื่อนร่วมงาน กลับดึก กลับเช้า และไม่กลับบ้าง อาชีพวิศวกรดูแลโครงการก่อสร้าง มันดูยิ่งใหญ่สมฐานะเสียจนต้องฉลองความยิ่งใหญ่นั้นกันได้ทุกคืน เค้าอ้างว่ามันเป็นเรื่องงาน ที่ต้องไปกับเจ้านายบ้าง ไปกับผู้ควบคุมงานบ้าง ไปกับลูกน้องบ้าง เค้าให้สำคัญกับงานและบุคคลในงานมากกว่าเมียอย่างดิฉัน และลูกที่กำลังจะเดินทางมาหา ก่อนหน้านี้ดิฉันกับเค้าก็ทะเลาะกันเรื่องที่เค้าไปกินเหล้าทุกวัน เค้าสัญญากับดิฉันว่าคืนนั้นเค้าจะรีบกลับเพื่อไปซื้อนมให้ลูก แต่สองทุ่มแล้วบอกงานไม่เสร็จ 4 ทุ่มห้างปิดแล้วเค้าบอกว่ากินเหล้าอยู่ เที่ยงคืนโทรตามอีก เค้าก็บอกว่า พรุ่งนี้ไปหย่ากัน.....
จะด้วยอารมณ์ในตอนนั้นกอปรกับความเครียดที่สะสมมาหลายคืน ดิฉันก็เลยเอาเสื้อผ้าเค้าโยนออกนอกหน้าต่างคอนโด รปภ.กับแม่บ้านพากันเก็บแล้วใส่ถุงดำ ดิฉันลากเอาไปวางไว้หน้ารถสามีที่จอดอยู่พร้อมกำชับว่าถ้าเจ้าของรถมาให้ขอกุญแจห้องคืนและห้ามเข้า ตีสี่เค้าโทรมาแต่ดิฉันไม่รับสาย สงสัยว่ารปภ.จะไม่ให้เข้า แล้วเค้าก็ขับรถกลับไปที่พักเก่าของเค้า และเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เหยียบที่แห่งนี้...
ตีสี่ครึ่ง ลูกเดินทางมาถึงแล้ว ดิฉันขับรถไปรับและเสียใจที่ทำให้ลูกไม่ได้เจอพ่ออีก ชีวิตต่อจากนี้ลูกจะเหลือแม่แค่คนเดียว ครอบครัวที่มี พ่อ แม่ ลูก ของเราจะไม่กลับมาสมบูรณ์อีกแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้หลังจากที่แต่งงาน ดิฉันกับสามีก็แยกกันอยู่ เค้าไม่เคยมาดูแลดิฉันและลูกในท้องเลย ดิฉันต้องตั้งท้องอยู่ในเมืองหลวงเพียงลำพัง ประคับประคองตัวเองและลูกในท้อง ไปหาหมอเอง ขับรถไปทำงานเอง ทำทุกอย่างได้เหมือนคนปกติ ยังจำคืนนั้นได้ ดิฉันตื่นมากลางดึกด้วยอาการปวดเตือน ท้องก็ใหญ่มากแล้ว คืนที่เปลี่ยวดายนั้นดิฉันเหลียวหาใครไม่เจอ ชีวิตลำพังในเมืองใหญ่ ในยามคับขับดิฉันไม่สามารถพึ่งพาใครหรือแม้แต่สามีของตัวเองได้เลย ดิฉันได้แต่ร้องไห้และกอดพุง มีเพียงเสียงเต้นของหัวใจเล็กๆที่อยู่ในตัวดิฉันเท่านั้นที่คอยปลอบใจและเป็นกำลังใจทำให้ดิฉันเข้มแข็งขึ้นให้ผ่านมาได้ จนครบกำหนดผ่าคลอด เค้ามาเยี่ยมดิฉัน มาอุ้มลูกในวันแรกที่ลูกคลอด มาค้างด้วยทุกคืน เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อลูกลืมตาดูโลก แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเวลาที่เค้ามาคือเวลากลางดึกและเมา ดิฉันเพิ่งคลอดลูกก็ต้องตื่นมาเปิดประตูให้เค้าทุกคืน เดินไวก็ไม่ได้เพราะเจ็บแผลเค้าก็บ่นว่าช้า ข้าวสารหมด เครื่องนึ่งขวดนมเสีย คลอดลูกได้ 8 วันดิฉันต้องขับรถไปซื้อของเอง ไปเอาใบเกิดที่สนง.เขตเอง ให้เค้าไปเอาให้เค้าก็บอกว่ายังไม่ว่าง ลูกอายุได้ 14 วันดิฉันก็พาลูกกลับบ้านนอกจนกว่าจะครบลาคลอด 3 เดือน หลังจากนั้นดิฉันกับเค้าก็เหมือนจะตัดขาดจากกัน ครบกำหนดลาคลอดดิฉันก็กลับมาทำงานตามปกติ ดิฉันไม่รู้ว่าเค้ามีผู้หญิงคนใหม่ ไม่รู้ว่าเค้าเอาผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ด้วย และเค้าก็ไม่เคยสนใจดิฉันกับลูก แทบว่าจะไม่ได้ติดต่อกันเลย จนลูกอายุได้ 6 เดือน เค้าขอไปเยี่ยมลูกที่บ้านนอกกับดิฉัน พอเค้าเจอลูกอีกครั้งทุกอย่างก็เหมือนจะดีขึ้น เค้าขอโอกาสดิฉันอีกครั้ง และผลักไสผู้หญิงคนนั้นออกไปจากชีวิต ครอบครัวเราก็กลับมาพร้อมหน้าอีกครั้ง ได้จดทะเบียนสมรสและอยู่ด้วยกันมาเกือบจะ 3 เดือน จนถึงคืนนั้น.....คืนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเราสองแม่ลูก ตอนนั้นน้องมายด์อายุ 9 เดือน สองปีผ่านไป ตอนนี้อายุ 2.9 ขวบแล้ว เกิดอะไรกับชีวิตเราสองแม่ลูกบ้าง.....
ก่อนครบรอบวันเกิด 1 ขวบของลูก 1 วัน ดิฉันไปจดทะเบียนหย่า ดิฉันแทบจะไม่มองหน้าเค้าเลย เป็นครั้งสุดท้ายที่ดิฉันได้เจอเค้า พร้อมยุติความเป็นสามีภรรยาและให้อิสรภาพซึ่งกันและกัน แต่ความเป็นพ่อลูกดิฉันไม่ได้ปิดกั้น แต่เค้าไม่รู้ว่าอยากได้หรือเปล่า และดิฉันไม่ได้เรียกร้องค่าดูแลใดๆทั้งสิ้น
ตอนน้องมายด์อายุ 1.6 ขวบ ตอนนั้นดิฉันป่วยหนัก ต้องหยุดงานรักษาตัวอยู่หลายเดือน ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นดิฉันโทรหาเค้า เพื่อบอกว่า ถ้าดิฉันเป็นอะไรไป อย่าให้เค้าพรากลูกไปจากยาย เพราะน้องมายด์ติดยายมาก ยายสามารถเลี้ยงดูน้องมายด์ให้เป็นเด็กดีและเข้มแข็งเหมือนแม่ได้ เค้ารับปากแต่ก็ไม่ได้ถามดิฉันสักคำว่าเป็นอะไรบ้าง ดิฉันผ่านความเจ็บป่วยนั้นมาได้ และสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติอีกครั้ง ความเจ็บป่วยในครั้งนั้นทำให้ดิฉันพบสัจจะธรรมในชีวิตหลายอย่าง ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่เกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่แล้ว ย่อมเปลี่ยนแปลง สลายหายไปได้ในที่สุด หรือแม้แต่ความทุกข์ที่ทุกข์ที่สุด ความเจ็บปวดที่มีมากที่สุด เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมมีเวลานาทีที่มันจะเปลี่ยนแปลงหายไปได้เช่นกัน เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ อีกทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ คือ เวลา เราจะเหลือเวลาชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกสักกี่ปี กี่เดือน กี่วัน กี่นาที หรือ กี่วินาทีกัน ควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า งานที่อยู่ตรงหน้า คนที่อยู่ตรงหน้า คนที่เห็นคุณค่าและให้ความสำคัญกับเราอย่างแท้จริง คิด พูด ทำ ในสิ่งที่ดีที่สุดให้ราวกับว่า เวลานาทีนี้จะเป็นวินาทีสุดท้ายของชีวิต เพราะบางที ชาติหน้า อาจจะมาก่อนวันพรุ่งนี้ ตอนน้องมายด์อายุ 1.9 ขวบ น้องมายด์ป่วยหนักเข้ารพ.ในกลางดึก กทม.ก็น้ำท่วมล้อมรอบ ดิฉันต้องแย่งตั๋วเครื่องบินกับคนอีกมากมายเพื่อจะกลับบ้านไปหาลูก ดิฉันโทรหาพ่อของน้องมายด์ กลับได้ยินเสียงตอบรับที่เฉยชา ดิฉันไม่น่าโทรหาเค้าเลย วินาทีที่ลูกป่วยหนัก ไข้สูง ดิฉันอยากให้เค้าถามสักคำ ห่วงลูกสักคำ แต่เค้ากลับบอกว่ายุ่งอยู่ และโทรกลับมาในอีกหลายวันหลังจากที่น้องมายด์ออกจากรพ.แล้ว
2 ปี ของการเป็น Single mum เหนื่อยเหมือนกันกับการที่ต้องนั่งรถทัวร์กลับบ้านนอกเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อแค่ที่จะได้นอนกอดลูกแค่คืนเดียว แต่สุขมากกว่าค่ะ ให้เหนื่อยกว่านี้เพื่อแลกกับรอยยิ้ม เสียงหัวเราะของลูก และความสุขที่ได้เห็นลูกเติบโตมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีพัฒนาการสมวัย คนเป็นแม่อย่างดิฉันก็ยอม ก่อนหน้าที่น้องมายด์จะคลอด ดิฉันแทบจะไม่มีเงินเก็บเลย แถมยังมีหนี้ที่ไม่ได้ก่ออีก แต่ดิฉันก็ทำบ้านหลังใหม่ด้วยเงินสดให้แม่ ต้องผ่อนรถ ค่าใช้จ่ายก็แค่ชนเดือน แถมตอนที่มีสามี ทั้งสามีและญาติพี่น้องของสามีก็มาช่วยใช้อีก สามีก็ไม่เคยช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรเกี่ยวกับลูกเลย ตั้งแต่ค่าคลอดลูก ค่านม ค่าผ้าอ้อม เสื้อผ้า ของเล่น ค่าหมอค่ายา ค่าประกันชีวิต ดิฉันต้องรับผิดชอบเองหมด ใครที่เป็น Single mum ย่อมรู้ดีว่าภาระเรื่องค่าใช้จ่ายนี้มันหนักหนาแค่ไหน แต่เชื่อไหมคะว่าว่าตั้งแต่เลิกกับสามีมาได้ ดิฉันปลดหนี้เป็นแสนได้หมด หน้าที่การงานก็ดีขึ้น จากรายได้ต่อปีตอนที่เลิกสามีปีละ 6 แสนบาท ปีนี้คาดว่าคงหย่อนเลข 7 หลักไม่กี่ร้อย และปีต่อๆไปคาดว่าจะไม่ด้อยกว่าเดิม จากที่เป็น Sales engineer ธรรมดาๆคนหนึ่ง ตอนนี้ดิฉันเป็นหัวหน้า sales มีลูกทีม 7 คน ตอนนั้นดิฉันเคยตั้งเป้าไว้ว่าจะเก็บเงินให้ได้ 1 ล้านบาทแล้วจะลาออกไปอยู่บ้านนอกกับลูก แต่ผ่านไป 2 ปี ดิฉันมีเก็บเกินหนึ่งในสามของเป้าหมายแล้ว ส่วนหนี้ที่ดิฉันไม่ได้ก่อแล้วต้องมารับภาระ ตอนนี้คนที่เป็นเจ้าของหนี้นั้นก็กลับมารับผิดชอบให้แล้ว ดิฉันวางแผนการเก็บเงินและใช้เงินอย่างมีระบบ คาดว่าสิ้นปี 2560 ดิฉันน่าจะมีเงินเก็บไม่ต่ำกว่า 2 ล้าน ถึงตอนนั้นดิฉันยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะลาออกจากงานกลับไปอยู่บ้านนอกกับลูกดีไหม ใจหนึ่งก็อยากทำงานและซื้อบ้านอยู่ในเมืองหลวงแล้วพาลูกมาอยู่ด้วยเพื่อลูกจะได้เรียนหนังสือในเมืองและมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า แต่อีกใจก็อยากกลับไปอยู่บ้านนอกทำกิจการเล็กๆของตัวเองให้ลูกเรียนหนังสือใกล้บ้าน แต่ตอนนี้ดิฉันก็ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ เพราะยังไม่รู้ว่าชีวิตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่จะตั้งใจทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด มีความสุขกับสิ่งที่เป็นให้มากที่สุด พอถึงเวลานั้นทุกอย่างมันก็จะเป็นไปตามวิถีทางที่ควรจะเป็นของมันเอง ส่วนอดีตสามี เลิกกันแล้วก็เหมือนตายจาก มีเรื่องหน้าที่การงานที่ยังต้องติดต่อกันบ้าง เพราะเค้าเป็นลูกค้าของบริษัทดิฉันอยู่ แต่ดิฉันก็ให้ลูกน้องทำหน้าที่ติดต่อเอง เท่าที่จำได้ ปี 2555 มานี้ดิฉันยังไม่เคยคุยโทรศัพท์กับเค้าเลย จนเมื่อน้องมายด์มากทม.เมื่อเดือนที่แล้ว พอใกล้วันจะกลับดิฉันก็ลองกดโทรศัพท์ไปให้เค้าได้ยินเสียงลูก เค้าเงียบ ดิฉันถามว่าเค้าเป็นไงบ้าง เค้าบอกกำลังจะลาออกจากงาน แต่ก็ไม่ได้ถามถึงลูก พูดสั้นๆ แล้วก็วางสาย หรือว่าเค้าไม่สนใจหรือไม่ได้คิดถึงลูกเลย ดิฉันไม่สนใจว่าเค้าจะมีคนใหม่ ไม่สนใจว่าเค้าจะเป็นอย่างไร ดิฉันก็หวังว่าเค้าคงจะมีความสุขในสิ่งที่เค้าเลือกและทำ และดิฉันก็ไม่คิดว่าจะกลับมาให้โอกาสเค้าอีกเป็นครั้งที่สาม เพราะที่ผ่านมา ดิฉันรู้แล้วว่าถ้าคืนนั้นดิฉันไม่ตัดสินใจเลิกกับเค้า คืนต่อๆไป ดิฉันก็คงต้องเลิกกับเค้าอยู่ดี แล้วดิฉันก็ไม่อยากกลับไปมีชีวิตแบบนั้นอีก
คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง กล่าวไว้ใน เข็มทิศชีวิต ว่า คน ที่เค้าทำร้ายเรา ไม่ว่าจะด้วยคำพูด หรือการกระทำ เค้าทำร้ายเราแค่ครั้งเดียว แต่เรานั่นแหล่ะที่เก็บเอาคำพูดและการกระทำนั้นมาซ้ำเติมตัวเอง คิดซ้ำๆ ทุกข์ซ้ำๆ เหมือนหยิบมีดเอามาทิ่มแทงตัวเอง วันนี้ดิฉันวางมีดเล่มนั้นลงแล้ว ความทุกข์ในคืนที่ตื่นมาตอนท้องแล้วมองไม่เห็นใครมันเกิดขึ้นและจบลงแล้ว คืนที่เลิกกับสามีก็ผ่านมาได้แล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่ดิฉันจะคิดถึงมันอีก แม้ดิฉันไม่ได้พูดว่า อโหสิกรรม ให้กับอดีตสามี แต่ดิฉันก็เชื่อว่า คนเราคิดดี ทำดี พูดดี ย่อมได้รับสิ่งดีๆตอบแทนกลับ ไม่ช้าก็เร็ว อย่างน้อยในขณะนั้นจิตใจเราเองก็สัมผัสถึงความสุขในสิ่งที่ทำได้ ถ้าเค้าเลือกดำเนินชีวิตในสิ่งที่ดีที่ควร เค้าก็คงจะได้รับสิ่งดีและมีความเจริญก้าวหน้า แต่ถ้าเค้ายังทำในสิ่งเดิม สิ่งที่ได้รับก็สุดแท้จะคาดเดา ทุกอย่างมีเวลาของมันทั้งนั้น
วันนี้ดิฉันมีความสุข ที่อย่างน้อยดิฉันก็ไม่ได้โกรธ หรือเกลียดอดีตสามีอย่างที่เคย ผ่านไป 2 ปี อะไรๆมันก็ดีขึ้น ดิฉันและลูกมีชีวิตในสิ่งที่ควรจะเป็น มีความสุขตามอัตภาพ ความเป็นสามีภรรยามันสิ้นสุดแล้ว แต่ความเป็นพ่อลูกจะสิ้นสุดหรือไม่ก็แล้วแต่เค้า น้องมายด์ในวัย 2.9 ขวบไม่เคยถามถึงพ่อ ยังไม่รู้ว่ามีพ่อ หากวันหนึ่งถ้าเค้าโตพอที่จะเข้าใจอะไรได้ดิฉันก็ก็เล่าเรื่องพ่อให้เค้าฟังทั้งหมด ที่เหลือก็อยู่ที่เค้าจะเลือกเอง
ท้ายที่สุดนี้ดิฉันแค่อยากฝากบอกว่า คนที่มีความสุข ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนที่มีเงินทองมากที่สุด หรือหาเงินได้มากที่สุด ความสุขไม่ได้อยู่ที่การได้บริโภคในสิ่งที่พอใจ ได้ในสิ่งที่ปรารถนา แต่แท้ที่จริงความสุขคือการที่คุณได้รู้จัก แบ่งปัน การได้เห็นคนอื่นมีความสุขจากการแบ่งปันของคุณนั่นแหล่ะ คือความสุขที่แท้จริง ทุกวันนี้ดิฉันมีความสุขตามอัตภาพ หากเรื่องราวการดำเนินชีวิต และข้อคิดในการดำเนินชีวิตของดิฉันจะมีส่วนให้กำลังใจใครสักคนที่กำลังท้อแท้ ใครสักคนที่เป็น Single mum เหมือนกันได้อ่านเรื่องราวที่ดิฉันแบ่งปันแล้วมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง ดิฉันก็ยินดี และปรารถนาดีให้ทุกท่านผ่านพ้นเวลาแห่งความทุกข์ และประสบกับความสุขเช่นเดียวกัน.
Create Date : 20 มิถุนายน 2556 |
Last Update : 20 มิถุนายน 2556 12:26:49 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1225 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|