|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
พุทธศาสตร์ศึกษาแนะแนวบำบัดรักษาโรคมะเร็ง
พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์
บทความที่ผมได้เขียนขึ้นนี้เป็นการน้อมนำเอาหลักพระธรรม หรือ ความจริงของสภาวธรรมต่างๆ ที่ได้อุบัติขึ้นในโลก ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ และมีหลักฐานแสดงอยู่ในพระอภิธรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎกมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในวิชาการแพทย์ซึ่งผมมีความรู้เพียงหางอึ่งที่ได้มาจากการค้นคว้าจากตำรา เอ็นไซโคลปิเดีย และสอบถามญาติมิตรที่เป็นแพทย์โดยอาชีพมาผสมผสานกัน แล้วตั้งเป็นสมมุติฐานขึ้นเพื่อท่านที่มีคุณวุฒิทั้งสองสาขาวิชาช่วยกันวิเคราะห์วิจารณ์ หากเห็นว่า เรื่องที่ผมได้นำเสนอไปนี้ยังมีขาดตกบกพร่องประการใดแล้ว ขอได้ช่วยชี้แนะเพื่อเป็นวิทยาทานแก่ผม และท่านผู้อ่านที่ได้สนใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษด้วย จะขอบคุณยิ่ง
แรงดลใจประการหนึ่งที่ทำให้ผมเขียนบทความนี้ขึ้นเป็นผลมาจากการได้พบปะสนทนากับ ดร.สุธี อักษรกิตติ์ รองศาสตราจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ เพื่อนรุ่นน้องซึ่งเคยร่วมงานสำคัญในด้านโทรคมนาคมของประเทศมาแล้วมากมายหลายเรื่อง ถึงแม้ว่า ผมจะไม่มีโอกาสได้รับใช้ประเทศในด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคมแล้วก็ตาม แต่ท่านผู้นี้ก็ยังติดต่อพบปะสนทนากับผมเป็นครั้งคราวในลักษณะแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่างๆ ที่ทางพระท่านใช้คำว่า "ธัมมะสากัจฉา" ซึ่งเป็นการสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่ตนเองได้ประการหนึ่ง ดังที่ได้แสดงไว้ในพระมงคลสูตร หรือ วิธีการสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่ตนเองรวม ๓๘ ประการ
ดร.สุธีฯ มิใช่จะเป็นผู้ที่มีความรู้ ประสบการณ์ระดับนำของประเทศในเทคโนโลยีโทรคมนาคมเท่านั้น ท่านยังสนใจศึกษาค้นคว้าในวิชาการแขนงอื่นๆ รวมทั้งวิชาพุทธศาสตร์ด้วย เราจึงมีเรื่องปุจฉา วิสัชนา กันในประเด็นต่างๆ เมื่อแต่ละฝ่ายได้รับทราบสดับตรับฟังกันมา
การพบปะสนทนาครั้งล่าสุดเมื่อวานนี้ (๑๓ มกราคม ๒๕๔๒) ดร.สุธีฯ ได้เล่าให้ผมฟังว่า เช้าวันนั้น ได้รับฟังข่าวต่างประเทศจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งหนึ่งว่า ได้มีรายงานข่าวผลการศึกษาทางวิชาการแพทย์ในต่างประเทศว่า "การรักษาโรคมะเร็งโดยใช้พลังจิตจะมีโอกาสทำให้คนป่วยรอดชีวิตได้มากกว่าการรักษาโดยวิธี Chemotherepaty ที่เราเรียกกันว่า ฉีดคิโม"
ข่าวสารที่ได้รับฟังจากดร.สุธีฯ สร้างความปิติให้แก่ผมเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็น ประเด็นที่ตรงกับเรื่องที่ผมกำลังศึกษาค้นคว้าโดยการน้อมนำเอาวิชาพุทธศาสตร์ คือ ธัมมะ มา ประยุกต์ใช้ประโยชน์ ดังปรากฏอยู่ในบทสวดมนต์สรรเสริญพระธรรมคุณที่ว่า
โอปะนะยิโก
ความปิติของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ตรงกับความหมายตามคำสอนในทางพระพุทธศาสนาที่ได้แสดงไว้ในเรื่องการปฏิบัติสมาธิในขั้นปฐมฌาณ คือ "วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา" ซึ่งแสดงออกให้เห็นคือ มีอาการขนลุกขึ้นมาทันที ตามความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นในวิชาการแพทย์เท่าที่ผมได้ศึกษาค้นคว้ามา ได้ทราบว่า ความผิดปกติของเซลล์ในอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายของมนุษย์ หรือสัตว์ ย่อมเป็นผลที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นในอวัยวะส่วนนั้นได้ นายแพทย์เฉก ธนะสิริ มิตรสนิทของผม ได้ อธิบายให้ผมฟังว่า เมื่อมีการเจริญเติบโตของเซลล์ในลักษณะผิดปกติขึ้นในร่างกาย เช่น เซลล์ของเนื้อร้ายมะเร็ง โดยธรรมชาติ ร่างกายจะต้องทำการผลิตเม็ดโลหิตขาวจากกระดูกสันหลังเพิ่มมากขึ้นเพื่อทำการต่อสู้ปราบปรามเซลล์ที่ผิดปกติเหล่านี้ นายแพทย์เฉกฯ ได้ตั้งข้อสังเกตในการรักษาคนป่วยที่เป็นโรคมะเร็งโดยวิธีการฉีดคิโม ให้แก่ผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งว่า ระหว่างที่เกิดสงครามระหว่างเม็ดโลหิตขาวกับเซลล์มะเร็งอยู่นี้ การฉีดคิโมเข้าไปในร่างกายของคนป่วย นอกจากสารเคมีนี้จะมีพิษสงรุนแรงเพียงพอที่จะทำลายล้างเซลล์มะเร็งแล้ว ยังสามารถทำลายเซลล์ของเม็ดโลหิตขาวที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ต่อสู้ปราบปรามเซลล์มะเร็งอยู่พร้อมกันไปด้วย เสมือนกับการนำเอาลูกระเบิดสังหารไปทิ้งลงในกลางสมรภูมิที่มีทหารกำลังต่อสู้รบราฆ่าฟันกันอยู่ แรงระเบิดจึงทำให้ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายลงในขณะเดียวกัน ผู้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง และได้รับการบำบัดรักษาด้วยวิธีฉีดคิโมนี้ ทั้งเซลล์มะเร็ง และเซลล์เม็ดโลหิตขาวจึงถูกทำลายลงไปพร้อมกัน ภูมิต้านทานประจำตัวคนป่วยจะลดน้อยถอยลงไปโดยลำดับ และจะมีโอกาสรอดชีวิตได้ยาก วิธีการรักษาเพื่อช่วยคนป่วยด้วยโรคมะเร็งจึงน่าจะมุ่งเน้นหนักไปในแนวการเสริมกำลังให้แก่เซลล์เม็ดโลหิตขาวซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการปราบปรามเซลล์มะเร็ง และแบคทีเรียซึ่งนำโรคา พยาธิมาเบียดเบียนเรามากกว่านี้
เพื่อให้ท่านผู้อ่านมีความเข้าใจในบทความเรื่องนี้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น ผมจึงจำเป็นต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยอธิบายความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเซลล์ในร่างกายของมนุษย์ และสัตว์ตามหลักวิชาการแพทย์พื้นฐานเท่าที่ผมได้ศึกษาค้นคว้ามาเพื่อประกอบคำอธิบายในทางวิชาพุทธศาสตร์ในโอกาสต่อไป สำหรับท่านที่มีความรู้ทางวิชาการแพทย์เป็นอย่างดีอยู่แล้ว คงจะไม่ต้อเสียเวลา ขอให้อ่านข้ามไป หรือหากเป็นไปได้ จะทดลองอ่านดูก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด จะได้ทราบว่า ผมได้ขยายขี้เท่อออกไปหรือไม่เพียงใด ถ้าพบเห็นข้อความตอนใด ประเด็นใดที่ยังไม่ถูกต้องตามหลักวิชา ผมใคร่ขอความกรุณาจากท่านได้โปรดติดต่อให้ผมทราบโดยด่วนทางโทรศัพท์เลขหมาย ๖๔๒๖๖๗๕ หรือทางจดหมาย ก็ได้ ผมจะได้รีบปรับปรุงแก้ไขตามข้อทักท้วง ข้อชี้แนะจากท่านโดยเร็ว จะได้ไม่เสียหน้ามากไปกว่านี้ ตามหลักวิชาการแพทย์ ในร่างกายของเรานั้น จะประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ที่มีชีวิตเป็นจำนวนมาก เซลล์เหล่านี้ก็เหมือนกับสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ มีการเกิด เจริญเติบโต และตายในที่สุด อาทิ เซลล์เม็ดเลือดแดงจะมีอายุราว ๓-๔ เดือน เป็นต้น ในแกนกลาง หรือ นิวเคลียสของแต่ละเซลล์จะประกอบด้วยโครโมโซม (Chromosome) ซึ่งมีหน้าที่เก็บข้อมูลทางพันธุกรรมของเซลล์ โดยโครโมโซมนี้จะประกอบขึ้นจากดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นแหล่งเก็บสะสมข้อมูลทางพันธุกรรม กับโปรตีน โดยปกติ ในเซลล์ทั่วไปของคนเราจะมี ๔๖ โครโมโซม แบ่งออกเป็น ๒ ซีก ซีกหนึ่งเป็นของแม่ อีกซีกหนึ่งเป็นของพ่อ มาจับกันเป็น ๒๓ คู่ แต่ละคู่จะมีลักษณะเหมือนกัน และทำหน้าที่อย่างเดียวกัน ยกเว้นคู่ที่ ๒๓ ซึ่งทำหน้าที่บอกเพศ จะมีลักษณะแตกต่างกัน โครโมโซมทางซีกที่มาจากแม่ เรียกว่า "โครโมโซม X" ส่วนที่มาจากพ่อ เรียกว่า "โครโมโซม Y" ถ้าเป็นเพศหญิง โครโมโซมทั้งสองซีกของคู่ที่ ๒๓ จะมีลักษณะเป็นโครโม โซม X เหมือนกัน คือ เป็นโครโมโซม XX หากเป็นเพศชาย โครโมโซมซีกหนึ่งของคู่ที่ ๒๓ จะมีลักษณะเป็นโครโมโซม X ส่วนอีกซีกหนึ่งจะเป็นโครโมโซม Y คือ เป็นโครโมโซม XY ผู้ที่มีจิตวิปริต จิตใจโหดเหี้ยม อารมณ์รุนแรง เช่น กะเทย ฆาตกร จะมี X+X+Y
หากผลการศึกษาค้นคว้าทางวิชาพุทธศาสตร์ของผมได้พบว่า ในพระอภิธรรม ?่านได้แสดงไว้ในหัวข้อวิชาเรื่องรูปปรมัตถ์ ?รือที่แปลเป็นภาษาชาวบ้านว่า วิชาที่เป็นแก่นแท้ของความจริงเกี่ยวกับร่างกาย ?ดยได้กล่าวถึงเรื่อง รูปกลาป (อ่านว่า รูปะกะลาปะ) ?ว้ว่า เป็นรูปที่อยู่รวมกันเป็นหมวดหมู่ เป็นคณะ เป็นกลุ่ม เป็นก้อน เป็นมัด รูปกลาปนี้ เป็นรูปที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ดับพร้อมกัน และมีที่อาศัยร่วมกัน ท่านยังได้แสดงขยายความเพิ่มเติมไว้ว่า รูปกลาปนี้ นับเป็นจำนวนรูปธรรมได้ ๒๓ รูป ซึ่งเท่ากับจำนวนคู่ของโครโมโซมปกติภายในร่างกายของมนุษย์พอดี ดังนั้น รูปกลาปจะเป็นอื่นไม่ได้นอกจากกลุ่มเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ที่ประกอบขึ้นด้วยยีน โครโมโซม และดีเอ็นเอตามหลักวิชาการแพทย์
ท่านยังได้กล่าวไว้ด้วยว่า รูปกลาปเหล่านี้มีความจำเป็นต้องอาศัยปัจจัย หรือสิ่งเกื้อหนุนเพื่อการอยู่รอด เพื่อความเจริญเติบโตรวม ๔ ประการ คือ กรรม หรือ กัมมชรูป จิต หรือ จิตตชรูป อาหาร หรือ อาหารชรูป และอากาศ หรือ อุตุชรูป ดังกล่าวข้างต้น จึงน่าจะเป็นไปได้ที่เราจะน้อมนำหลักธรรมนี้มาประยุกต์ ใช้ประโยชน์ในการบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้
รายละเอียดเกี่ยวกับพระอภิธรรมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรูปปรมัตถ์ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจศึกษาค้นคว้าอีกมากมาย และเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันแสดงให้เห็นว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพระปัญญาคุณ ทรงตรัสรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ และสัตว์อย่างละเอียดลึกซึ้งมาก่อนวิชาการแพทย์ปัจจุบันมาแล้วไม่น้อยกว่า ๒,๕๐๐ ปี บทสวดสรรเสริญพระธรรมคุณที่ว่า ....อะกาลิโก เอหิปัสสิโก.... ซึ่งแปลว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์นั้น เป็นคำสอนที่สามารถหยิบยกมาพิสูจน์ยืนยันได้ว่า เป็นความจริงได้ทุกโอกาส และเวลา
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับอวัยวะต่างๆ ของร่างกายตามหลักวิชาการแพทย์เป็นเรื่องที่ยากสำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในวงการ และเคยได้ศึกษาเล่าเรียนมาก่อน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ถึงแม้ว่า พระพุทธองค์จะได้ทรงศึกษามาบ้างตามหัวข้อวิชาหนึ่งใน ๑๘ หัวข้อวิชา ที่ได้กำหนดไว้สำหรับรัชทายาทในราชตระกูลอินเดียก็ตาม แต่ก็คงจะเป็นเพียงความรู้พื้นฐาน การที่ได้ทรงทราบรายละเอียดของสรีระร่างกายจนละเอียดทะลุปรุโปร่งดังที่ปรากฏอยู่ในพระอภิธรรมเช่นนี้ ย่อมเป็นเครื่องแสดงถึงพระปัญญาที่เกิดขึ้นเมื่อได้ทรงตรัสรู้แจ้งเห็นจริงในสภาวธรรมทั้งปวงที่เรียกภาษาพระท่านว่า โลกะวิทู นั่นเอง
ดังนั้น เมื่อเราได้ทราบจากพระอภิธรรมว่า รูปกลาป หรือ เซลล์ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายมีความจำเป็นต้องได้รับปัจจัย หรือสิ่งที่จะมาเกื้อหนุนให้เซลล์นั้นมีความเจริญเติบโต มีชีวิตอยู่ได้ด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ กรรม หรือ กัมมชรูป จิต หรือ จิตตชรูป อาหาร หรือ อาหาร ชรูป และอากาศ หรือ อุตุชรูป ดังกล่าวข้างต้น จึงน่าจะเป็นไปได้ที่เราจะนำหลักธรรมนี้มาประยุกต์ ใช้ประโยชน์ในการบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้
วิธีการบำบัดรักษาคนที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งในระยะเริ่มแรกวิธีหนึ่งที่น่าจะได้ผล คือ การเสริมสร้างพลังให้แก่เซลล์ของเม็ดโลหิตขาวซึ่งเป็นกำลังสำคัญของฝ่ายเราที่จะทำหน้าที่ปราบปรามเซลล์มะเร็ง และแบคทีเรียซึ่งจะสร้างโรคาพยาธิขึ้นบ่อนทำลายสุขภาพของเรา ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้
๑. การสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ป่วย ได้แก่ การให้คำแนะนำในการศึกษาปฏิบัติธรรมรวมทั้งการปฏิบัติสมาธิทั้งสมถ และวิปัสสนาสมาธิ เพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลายกังวลในเรื่องโรคา พยาธิที่กำลังเบียดเบียนอยู่ และมีสติตั้งอยู่ในความไม่ประมาท หลีกเลี่ยงละเว้นอกุศลกรรมทุกชนิดทุกประเภท เร่งหมั่นทำมาหากรรมที่เป็นบุญกุศลอยู่เป็นประจำ ที่เรียกว่า พหุลกรรม หรือ อาจิณ ณกรรม จนบังเกิดเป็นนิสัยเพื่อให้กรรมนั้นส่งผลเป็นคุณอนันต์ สามารถไหลหลากท่วมท้นกรรมเก่าคือ มะเร็งโรคร้ายประจำตัวที่กำลังจะส่งผลเป็นทุกข์โทษให้ได้ทันกาลเวลา วิธีการนี้จึงเป็นการสร้างจิตตชรูป ซึ่งจะสร้างความเข้มแข็งเพิ่มพลังให้แก่เซลล์ของเม็ดโลหิตขาวได้วิธีหนึ่ง และสามารถผ่อนบรรเทาทุกข์โทษจากหนักเป็นเบาได้โดยไม่ต้องสงสัย
การสร้างจิตตชรูปอีกวิธีหนึ่ง ได้แก่ การฝึกบริหารจิตให้เข้มแข็งคือ การหมั่นสะสมอุเบกขาบารมี (มี ๔ ประการ คือ ฉันทาคติได้แก่ การไม่หวั่นไหวเอนเอียง หรือลำเอียงเพราะความรัก และความโลภ โทสาคติได้แก่ การไม่หวั่นไหวเอนเอียง หรือลำเอียงเพราะความโกรธ โมหาคติได้แก่ การไม่หวั่นไหวเอนเอียง หรือลำเอียงเพราะความหลง และภยาคติได้แก่ การไม่หวั่นไหวเอนเอียง หรือลำเอียงเพราะความกลัวต่อภยันตรายทั้งปวง) องค์ธรรมสุดท้ายได้แก่ ภยาคติ คือ การไม่สะทกสะท้านหวั่นเกรงต่อโรคาพยาธิที่กำลังเบียดเบียนอยู่ ปรับปรุงชีวิตประจำวันของตนให้เป็นไปเช่นเดียวกับการครองชีวิตของบุคคลธรรมดาทั่วไป ให้เข้ากับลักษณะเนื้อเพลง โชคมนุษย์ ของหลวงวิจิตรวาทการที่ว่า ....ต้องตั้งหมั่น ยิ้มได้เมื่อภัยมา.... (ท่านที่สนใจเนื้อเพลงนี้ จะติดต่อขอมาได้ครับ)
๒. การบริโภคอาหารให้ครบ ๕ เหล่า โดยเฉพาะโปรตีนซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของดีเอ็นเอ โครโมโซม ยีน และเซลล์ในปริมาณสัดส่วนที่เหมาะสม เลือกบริโภคอาหารที่ประกอบด้วยแร่ธาตุที่มีขีดความสามารถในการต่อต้านมะเร็งเช่นพืชผักที่มีสีเขียว และสีเหลืองบางประเภท เช่น มะเขือเทศ แคร็อท เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม ให้หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบซึ่งจะเสริมสร้างพลังให้แก่เซลล์มะเร็ง เช่น ถั่วลิสง สิ่งของหมักดองต่างๆ เป็นต้น วิธีการนี้ จึงเป็นการสร้างอาหารชรูป
๓. การหมั่นออกกำลังกายอยู่เป็นประจำจะเป็นการสร้างกัมมชรูปให้แก่เซลล์ของเม็ดโลหิตขาว และเซลล์ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
๔. การออกกำลังกายนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างกัมมชรูปดังกล่าวในข้อ ๓ แล้ว หากกระทำได้ในยามเช้า ในที่โล่งแจ้งเพื่อให้ได้รับอากาศบริสุทธิ์ หรืออยู่ในสถานที่ปลอดพ้นจากมลภาวะเป็นพิษ จะเป็นการสร้างอุตุชรูปให้แก่เซลล์ของเม็ดโลหิตขาว และเซลล์ส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้เช่นกัน
ทั้งสี่ประการที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ล้วนแต่เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มพูนเสริมกำลัง สร้างความเข้มแข็งให้แก่เซลล์ภายในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ของเม็ดโลหิตขาวที่มีหน้าที่ในการปราบปรามเซลล์มะเร็ง และแบคทีเรียต้นเหตุของโรคาพยาธิต่างๆ โดยตรง
หากสมมุติฐานดังกล่าวของผมถูกต้อง นอกจากจะเป็นการน้อมนำเอาความจริงของสภาวธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้มาใช้ประโยชน์ในการเสริมสร้างพลัง และช่วยผลิตเซลล์ของเม็ดโลหิตขาว และเซลล์ส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่มีความแข็งแรงในการป้องกัน สามารถต่อสู้บำบัดรักษาโรคาพยาธิที่เข้ามาเบียดเบียนอวัยวะต่างๆ อยู่แล้ว และที่กำลังจะเข้ามารุกราน เซลล์ที่มีกำลังเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพของตนเองให้สมบูรณ์อยู่เสมอด้วย ดังนั้น เทคนิค ที่จะทำให้มนุษย์มีอายุยืนนานกว่าร้อยปีที่นายแพทย์เฉก ธนะสิริ ได้ริเริ่ม โดยการแนะนำให้ รับประทานอาหารให้ครบถ้วนทั้ง ๕ หมู่ มีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ วิตามิน รวมทั้งน้ำ ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป น้อยเกินไป ถูกหลักโภชนาการ ซึ่งจัดเป็นอาหารชรูป การออกกำลังกายที่เหมาะสม ซึ่งจัดเป็นกัมมชรูป การบริหารจิตให้ผ่อนคลายจากความเครียดกังวลที่เกิดจากความโกรธ โลภ หลง พยาบาท อิจฉาริษยา มีแต่ความเมตตากรุณา ไม่คิดเบียดเบียน ผู้อื่น มีจิตใจเข้มแข็งเป็นอุเบกขา พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับโรคาภยันตราย ซึ่งจัดเป็นจิตตชรูป และการได้รับอากาศบริสุทธิ์ปลอดพ้นจากมลภาวะที่เป็นพิษภัย ซึ่งจัดเป็นอุตุชรูป จึงน่าจะมีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง
********************* ที่มา : //www.dabos.or.th/tm28.html
Create Date : 10 มิถุนายน 2552 |
Last Update : 10 มิถุนายน 2552 14:27:37 น. |
|
0 comments
|
Counter : 759 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|