'*^-+...ไม่มีอะไรงดงาม เท่าความสงบสุข...+-^*'
ชื่อ Login ว่านางสาวดุ่บดั่บ ชื่อเล่นชื่อปอยค่ะ เกิดจังหวัดนครราชสีมา หรือโคราชบ้านเฮา พอดีว่าแม่ต้องย้ายไปอยู่ที่นั่น จึงคลอดและอยู่เพียงไม่ถึงปีก็ย้ายถิ่นฐานมาอยู่กรุงเทพฯเมืองหลวง แต่ถ้าใครถามก็อยากจะภูมิใจบอกว่าเป็นลูกหลานชาวอีสานนะคะ เว่าลาวก็ได๋อยู๋บ้างค่ะ
เนื่องจากตัดสินใจยังไม่ได้ว่าจะเป็นคนจังหวัดอะไร เลยให้คำขวัญไปสองจังหวัดเลยค่ะกรุงเทพฯ: ช่วยชุมชนแออัด ขจัดมลพิษ แก้ปัญหารถติด ชีวิตรื่นรมย์หมายเหตุ กรุงเทพมหานครไม่มีคำขวัญอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ดี คำขวัญดังกล่าวข้างต้น เคยใช้เป็นคำขวัญในการพัฒนากรุงเทพมหานครอยู่ในระยะหนึ่ง และอนุโลมใช้เป็นคำขวัญประจำกรุงเทพมหานครนครราชสีมา: เมืองหญิงกล้า ผ้าไหมดี หมี่โคราช ปราสาทหิน ดินด่านเกวียน*ขอบคุณข้อมูลจากวิกิฯนะคะ
(ตอนนี้ต้องอนุโลมตัวเองเป็นเด็กกรุงเทพฯก่อนนะคะ เพราะว่าในโคราชเองยังไม่เคยเที่ยวเลยเหมือนกัน แหะ ๆ)ถ้ามีเพื่อนมาเที่ยวตอนนี้ จะพาไปเที่ยวม็อบที่รัฐสภาค่ะ กำลังตีกันมันส์หยดเลือดสาด 5555
ของฝากต้องนี่...
ของกิน เขามีโรงทานแจกฟรีค่ะ อย่าปิดบลอคหนูน้า...หนูแค่แซวเย้นนน จะปิดปิดบลอคคุณต้องนู่น (อ้าว! โยน)
เฮฮามาสองข้อแล้ว ข้อนี้ขอจริงจังหน่อย
ทริปที่ประทับใจที่สุด คือ "ทริปเพาะรัก" แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เมื่อปี '49 ค่ะ "เพาะรัก" เป็นชื่อกลุ่มอิสระทำงานเพื่อสังคม ทริปนี้เป็นเที่ยวกึ่งค่าย บำเพ็ญประโยชน์ครั้งแรกก็ที่แม่แจ่ม รวมพลพรรคได้ 8 หน่วยก็ออกเดินทางไปสอนหนังสือเด็กอยู่ 7 วัน ไม่มีโปรแกรมค่าย ไม่มีกิจกรรม ไม่มีตารางเวลา ไม่มีอะไรทั้งนั้น ใครอยากทำอะไรก็ทำ อยากชิลก็ชิล บนบรรยากาศดอย ๆ หมอก ๆ เด็กตัวน้อย ๆ วิ่งไปวิ่งมา นอนเปล เขียนกลอน หย่อนเท้าแช่ลำธารเล่นกีต้าร์ เก็บผักเก็บหญ้ากิน ตกเย็นก็หุงหาหรือไม่ก็เร่ไปขอชาวบ้านกิน ดึกหน่อยก็ต้มถั่วเขียวรอบกองไฟ เล่นกีต้าร์ดูดาว แสนจะเพลิดเพลินเจริญใจ ตอนนั้นที่ฉันไป เป็นทริปสุดท้ายหลังจากจบมหา'ลัยพอดีค่ะ เลยมีแต่น้อง ๆ หนุ่ม ๆ ส่วนที่นั่งเล่นกีต้าร์เอาเท้าแช่น้ำตกภาพขวาล่างคือน้องชายดิฉันเองค่ะ และเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มอิสระนี้ด้วย ภาพบนซ้ายสีน้ำตาล เป็นรุ่นน้องอีกคน ว่าง ๆ ก็จับปากกาเขียนกลอนใต้แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ยามบ่าย สุขใจไม่มีอะไรเกินอีกแล้ว เหตุที่ทริปนี้เป็นทริปที่ประทับใจที่สุด ก็เนื่องจากบรรยากาศดีแสนดี อารมณ์ศิลปินก็พาไป มีแค่กล้องคอมแพคตัวเดียวคู่ใจ(สมัยนั้น)พาตัวเองไปถ่ายรูปเพลิน ๆ กลับมาจึงเอารูปมาทำโปสการ์ดขาย เป็นต้นกำเนิดของความชอบถ่ายภาพมาจนปัจจุบันนั่นเอง...เมื่อไหร่อารมณ์ถ่ายรูปเลือนหาย มักจะคิดถึงทริปนี้ที่มีกล้องคอมแพคตัวเดียวตะลุยถ่ายและอาศัยใจล้วน ๆ
- ฤดูร้อน: ขอพาไปหย่อนใจที่ภูหรือดอยสูง ๆ แล้วกันนะคะ หน้าร้อน ๆ แบบนี้จะพาไปไหนก็ร้อน คงไม่มีกะใจจะโรแมนติคจู๋จี๋ดู๋ดี๋ ถ้าได้ไปที่อากาศเย็น ๆ ปีนดอยไต่ภู หกคะล้มช่วยกันจับมือถือแขน วู้วว...คิดแล้วเขินค่ะภาพ: หยดน้ำค้างยามเช้า ณ ทุ่งแสลงหลวง จ.เพชรบูรณ์ หน้าร้อนปีหนึ่ง- ฤดูฝน: ทะเลค่ะ อยากไปทะเลหน้าฝนมานานแล้ว ไม่ใช่ว่าจะให้แมงกะพรุนเกาะแล้วดูดพิษกันหวานหยดอย่างน้าน มะช่าย ๆ...แต่ฉันอยากเห็นเวลาฝนตกลงบนผืนน้ำเวิ้งว้างน่ะค่ะ เม็ดฝนมากมายเปาะ ๆ แปะ ๆ เป็นปกติแล้วคงจะเหงาน่าดู แต่ถ้ามากันเป็นคู่...ก็คงโรแมนติคไม่หยอก- ฤดูหนาว: ไปเดินป่าตั้งแคมป์ค่ะ อากาศหนาว ๆ เล่นรอบกองไฟ ผูกเปลดูดาว นอนอบอุ่นอยู่ในเต๊นท์ ตื่นมาดูน้ำค้างตอนเช้า เป็นอะไรที่วิเศษสุด ๆ เลยนะคะว่าไหม?*ท่าทางคุณต้องกำลังจะแต่งงานเลยหาที่ฮันนีมูนใหญ่เอ้า เฮ...กินฟรี!
ภาพ: หยดน้ำค้างยามเช้า ณ ทุ่งแสลงหลวง จ.เพชรบูรณ์ หน้าร้อนปีหนึ่ง
ปาย/เกาะเสม็ด/เกาะสมุย/ภูกระดึงแต่ละที่ที่คนอื่นไปกันแล้วไปกันอีกและชื่นชมนักชื่นชมหนาเสียดายแต่ว่า เรายังไม่เคยไปกับเขาสักทีเลย
เชียงใหม่ เป็นเมืองในฝันเมืองนึงเลยทีเดียว เมืองติดภูเขา อากาศเย็นสบาย มีสภาพจอแจคล้าย ๆ เมืองหลวง แต่ยังคงเสน่ห์ความเป็นต่างจังหวัดไว้ได้ แคบหมูอร่อย ร้านบุฟเฟ่ต์เยอะ เมืองนักเขียนติสท์ ๆ สมัยเรียนไปออกค่ายเชียงใหม่-เชียงราย-แม่ฮ่องสอนบ่อย ถึงยังไงก็ต้องมาเปลี่ยนถ่ายรถที่ท่ารถไฟเชียงใหม่ เที่ยวกาด(ตลาด) และมีความทรงจำดี ๆ อะไรเยอะมากที่นี่ แอบฝันเอาไว้เล็ก ๆ ว่าจะย้ายตัวไปอยู่เชียงใหม่ ดมไม้ ดอมหญ้า เล่นกีต้าร์ เขียนกลอนไปวัน ๆ (พูดจริงค่ะ ไม่ได้ฮานะ!)
ภาพนี้ไม่ถึงกับ 'ประทับใจที่สุดในชีวิต' หรอกนะคะ แต่ว่าภาพเก่า ๆ ไม่ได้อยู่ในมือและไม่สามารถหาได้ภายในเวลาอันใกล้นี้ หลังจากการเลือกเฟ้นรูปต่าง ๆ ที่อยู่ในมือ จึงได้รูปนี้มา ถือว่าเป็นรูปที่ 'ประทับใจที่สุดเท่าที่มีอยู่' ก็แล้วกันค่ะ คุณต้องไม่ว่ากันนะค๊า... รูปนี้ถ่ายที่ทุ่งแสลงหลวง จังหวัดเพชรบูรณ์เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน เป็นทริปครอบครัวทริปแรกตั้งแต่โตมา ตั้งแคมป์ ผูกเปล ก่อกองไฟ ดูดาว ทำกับข้าวเองแต่ทำได้เพียงมื้อแรกมื้อเดียวด้วยความเห่อ วันถัดมาก็อพยพกันลงมาหาอะไรอร่อย ๆ ตีนเขากินกัน เงาด้านซ้ายคือคุณพ่อของฉันเอง เงาตรงกลาง-แน่นอน-ฉัน ส่วนเงาด้านขวาคือน้องชายของฉันเอง ส่วนเงาของแม่นอนอยู่บ้าน เพราะไม่ค่อยถูกกับเงาด้านซ้ายเท่าไหร่ เลยไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันเท่าที่ควร แต่ถึงกระนั้นก็เป็นความทรงจำที่ดี สนุกสนานเฮฮา และได้คุยกันตามประสาพ่อลูกเพราะอยู่เมืองกรุงไม่ค่อยได้มีเวลาคุยกันสักเท่าไหร่ ฉันมักจะอยู่กับแม่มากกว่า นาน ๆ จึงได้เจอพ่อที เจอทีก็แค่ทักทายไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น แม้รูปนี้จะมีแต่เงา ไม่มีหน้ามีตา แต่การได้เห็นเงาสามเงาและรู้ว่าเรามีกันและกันก็เพียงพอแล้ว
ขออนุญาตตอบน้องปอยทางเมล์ละกานนะ คงไม่ว่ากันนะ =^_^=