'*^-+...ไม่มีอะไรงดงาม เท่าความสงบสุข...+-^*'
แบคแพคไปอียิปต์ : ปีที่ผ่านมานับได้ว่าเป็นปีของการทำงานอย่างจริงจังของฉันเลย งานนี้เป็นงานแรก อาชีพแรกและเป็นอาชีพที่อยากทำ นอกจากได้ท่องเที่ยวอย่างที่ต้องการ ได้เก็บเงินตามสมควร ได้ใช้ชีวิตที่ใฝ่ฝันแล้ว ยังมีเรื่องที่ประทับใจที่สุด ซึ่งเห็นจะเป็นการได้แบคแพคเองครั้งแรก ไปเที่ยวอียิปต์กับเพื่อนสาวแค่สองคน(ยังดองบลอคไว้ไม่ได้อัพ) อียิปต์ที่ว่าเป็นเมืองปราบเซียนแบคแพคเกอร์ กลับเป็นเมืองที่แบคแพคหน้าใหม่อย่างฉันเลือกจะไปเป็นเมืองแรก จะเป็นอย่างไร...โปรดติดตาม (ได้โอกาสโฆษณาบลอคซะเลย ฮี่ฮี่)ปีนี้ของฉัน นับว่าเป็นปีที่มองย้อนกลับไปแล้วเห็นแต่รอยยิ้มและความสนุกเลยทีเดียว มีน้ำตาน้อยลงกว่าปีก่อน ๆ เพราะได้ท่องเที่ยว ได้มองโลกกว้างมากขึ้น มองปัญหาตัวเองเล็กลง
แม้ว่าการอยู่คูเวตและได้เป็นแอร์ จะเป็นเรื่องหนึ่งที่น่าประทับใจสำหรับปีที่ผ่านมา แต่ก็เช่นกัน กลับเป็นเรื่องแย่ ๆ ที่ทำให้ฝังใจในรอบปีที่ผ่านมา เพราะชีวิตอยู่ที่เมืองตะวันออกกลางแสนจะลำบาก ไม่อิสระและง่ายดายเหมือนประเทศเราเลยสักนิด ใช้ชีวิตเป็นพลเมืองชั้นสอง แขกหลายคนที่ความคิดยังคงปิดก็ดูถูก แต่กระนั้นก็ตาม ทุกอย่างก็มีทั้งด้านดีด้านเสีย แม้ด้านเสียจะไม่น้อยแต่ก็ปะปนไปกับด้านดีที่ทำให้อยู่ได้ถึงวันนี้...แต่ก็ไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน...
-สังคมบลอคแก๊งค์ : ตอบเหมือนคนทุกคนที่ตอบแถ่กนี้! แต่ว่าเป็นความจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย และเป็นสังคมใหม่เพื่อนใหม่สำหรับฉันอย่างแท้จริง เพราะฉันก็เพิ่งเริ่มทำบลอคเหมือนปลายปีก่อนนู้น เท่ากับปีที่ผ่านมาเป็นการทำความรู้จักเพื่อนบลอคใหม่ ๆ ทั้งนั้น และกลายเป็นมิตรภาพที่แท้จริง อย่างน้อยฉันก็รู้สึกอย่างนั้น-สังคมกล้อง : เวบ TSD/Multiply แม้ว่าหลัง ๆ จะหายหน้าหายตาไป แต่ก็เป็นเวบที่ทำให้ได้รู้จักเพื่อนใหม่เยอะแยะมากมายหลายคน นำมาสู่การถ่ายทอดความรู้วิทยาการเรื่องกล้องอย่างไม่หวงกันปิดบัง พัฒนามาเป็นมิตรภาพที่ดีมากมาย-สังคมลูกเรือ : อาชีพของฉันเป็นอาชีพที่ต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตาในแต่ละวันอยู่แล้ว นี่ก็สังคมนึงละที่นับว่าเป็นสังคมใหม่ที่ต้องเผชิญ ลูกเรือต่างสัญชาติ ต่างความคิด ต่างภาษามาทำงานร่วมกัน เรียนรู้อะไร ๆ ด้วยกัน และยิ่งผลัดเปลี่ยนหน้าตาไปแต่ละไฟลท์ไม่ซ้ำกันด้วยแล้ว นับได้ว่าทุกวันฉันเจอและรู้จักคนใหม่ไม่ซ้ำกันเลยทีเดียว
เงินเดือนขึ้น : นับเป็นโชคลาภที่ไม่ได้ลงทุนอะไรนะคะ เป็นเงินจำนวนที่บริษัทควรจะให้ลูกเรือตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว! เพราะลูกเรือรุ่นเก่า ๆ ได้ยินข่าวลือกันมาแสนนาน แต่กว่าจะได้รับเป็นเงินเห็น ๆ ในมือนั้น ก็เมื่อตอนฉันเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ แถมยังเป็นช่วงบริษัทกำลังพัฒนาขึ้น ๆ ยังมีเงินจิปาถะเพิ่มขึ้นให้ และงดเก็บค่าอะไรต่าง ๆ อีก นับเป็นโชคหลายเด้งที่เด้งได้ทุกเดือนเลยล่ะค่ะ
-ถ่ายรูป/เล่นกล้อง : ปีที่ผ่านมาเป็นปีแรกที่ได้จับกล้องตัวใหญ่อย่างจริงจัง ศึกษาอย่างมุ่งมั่นถึงการทำงานของกล้อง องค์ประกอบภาพ ทฤษฏีกล้องต่าง ๆ และก็มีโอกาสได้ลุยของจริงมากมายเพราะตะลุยเที่ยวตลอดปี หรือแม้ไม่ได้ไปเที่ยวไหน แค่ได้จับกล้องมาส่องผ่านเลนส์ก็ทำให้ใจอิ่มเอมและผ่อนคลายได้จริง ๆ--นี่แหละที่เรียกว่า 'งานอดิเรก'-อ่านหนังสือ : ช่วงปีนึงที่ผ่านมา รู้สึกว่าได้อ่านหนังสืออะไรมากมายที่อยากอ่าน อาจจะไม่ได้เยอะแยะมากมายในด้านปริมาณ แต่ได้อ่านที่อยากอ่านจริง ๆ เพราะเวลาว่างเหลือเฟือถมเถ เมื่อก่อนสมัยเรียนแทบจะไม่มีเวลาปลีกมาอ่านหนังสือนอกเวลาเลยสักเล่ม ช่วงปีที่ผ่านมานอกจากได้ทำอะไรตามใจหลายอย่าง หนังสือนี่แหละ ยังเป็นอีกอย่างที่ทำแล้วรู้สึกว่า "มีความสุขจัง"
-เขียนไดอารี่ : บันทึกชีวิตประจำวันแบ่บว่า ทำอะไร กินอะไร ตื่นกี่โมง เพราะปกติจะบันทึกแต่ว่า คิดอะไรบ้าง ตัดสินใจอะไรบ้าง รู้สึกอย่างไร พอกลับไปอ่านทบทวนดูแล้วรู้สึกว่า ไม่เห็นภาพอะไรเลยสักอย่างเดียว มีแต่ความคิด ๆ ๆ เต็มไปหมด เลยตั้งใจไว้ว่าจะเขียนให้ละเอียดสักหน่อยกับกิจกรรมที่ทำ แต่เอาไปเอามาก็ล้มเหลว แต่ก็ตั้งใจไว้ใหม่ในปีนี้อีกที-กินอาหารให้เป็นเวลาและครบ 5 หมู่ : จะโทษว่าเป็นเพราะอาชีพอย่างเดียวก็ไม่ได้ ถ้าเราจะเลือกกินให้ดี กินให้ถูกก็ทำได้เหมือนกัน แต่ก็เป็นเพราะอาชีพนั่นแหละ (อ้าว!โทษในที่สุด) ทำให้กินอาหารไม่เป็นเวลาบ้าง ล่าช้าบ้าง อดบ้าง กินเยอะไปบ้าง และที่สำคัญกินไม่ครบถ้วนตามหลักเลยสักที
ตัวเองนี่ละ : เป็นธรรมเนียมของตัวฉันเองทุก ๆ ปี ที่เมื่อถึงวันเกิดของฉัน ฉันจะเอาไดอารี่เล่มเก่า ๆ ที่บันทึกไว้ มานั่งเปิดอ่านย้อนดูตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น คิดอะไรบ้าง หมกหมุ่นแค่ไหน และที่สำคัญเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเท่าไหร่กัน และฉันทำอย่างนั้นมาทุก ๆ ปี เรียกว่าเป็นของขวัญวันเกิดของตัวเองมากกว่า ปีที่ผ่านมา ฉันรู้สึกว่าฉันเติบโตขึ้นกว่าปีก่อน ๆ มากเลยทีเดียว ด้วยเพราะก้าวสู่ชีวิตการงานและโลกแห่งความรับผิดชอบแล้ว มีปัญหาอะไรขึ้นมาจะวิ่งไปซบแม่เหมือนตอนเด็ก ๆ ก็ไม่ได้ ต้องเรียนรู้และแก้ไขปัญหาเองตลอด นอกจากนั้นการได้เดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ยังทำให้เปิดสายตาตัวเอง มองโลกกว้างขึ้น เห็นตัวเองตัวเล็กลง ปัญหาแต่ละเรื่องไม่หนักหนาเหมือนเมื่อก่อน หากค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ ทุกอย่างย่อมมีทางแก้และทางออกไม่ยาก แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีอะไรให้เรียนรู้และยังคงต้องเปลี่ยนแปลงอีกมาก และทุก ๆ วันเกิดของฉัน ฉันก็จะเอาไดอารี่มาอ่านเหมือนเดิม
ต้นไม้ที่ปลูก : เมื่อปีก่อนนู้น ฉันโหยหาความเขียวสดของสิ่งมีชีวิต จึงไปหาต้นไม้เขียว ๆ มาประดับห้อง ทั้งพลูด่าง กุหลาบหินและไผ่กวนอิม คัดสรรเอาจาก 'ความง่าย' ในการปลูกเป็นหลัก ประมาณว่าทนมือทนตีนทนความแห้งแล้งได้เพราะนิสัยเจ้าของเน้นอำเภอใจเป็นหลัก แล้วเชื่อหรือไม่-แม้ต้นไม้จะไม่ตาย แต่กลับยังคงความเขียวสดและไม่เจริญเติบโตงอกงามไปไหนแต่อย่างไร เพื่อนสาวฉันที่ซื้อไผ่กวนอิมขนาดไล่เลี่ยกันมาพร้อมกัน ตอนนี้แตกหน่อขยายพันธุ์ออกมาได้อีกต้นแล้วค่ะท่านผู้ชม! ซึ่งจะเป็นเพราะอะไรไปเสียมิได้ นอกจากนิสัยแย่ ๆ ของฉัน-อันนี้ก็อีกอย่างเหมือนกันที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย!
-จากที่เฉย ๆ กับการทำศัลยกรรม เปลี่ยนเป็นเกลียดการศัลยกรรมและความสวยสร้างเสริมจากภายนอก-เมื่อก่อนต่อต้านเพลงนอก ตอนนี้รู้สึกว่าคุณภาพมันดีกว่าเพลงไทยจริง ๆ-เคยมองโลกในแง่ดี สดใสสวยงาม ตอนนี้มองโลกอย่างเป็นกลางมากขึ้น และเชื่อว่าทุกคนมีความเห็นแก่ตัว-เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่เรื่องมากอยู่กับใครก็ได้ แต่จริง ๆ เป็นคนอัตตาสูงมาก เพราะปีที่ผ่านมาย้ายห้องเพราะรูมเมทถึง 3 ครั้ง!-เคยเชื่อว่าเงินเป็นเรื่องสำคัญ อยากรวย แต่ไป ๆ มา ๆ ตระหนักได้ว่ามีอะไรมากกว่านั้นที่สำคัญกว่าเยอะ อย่างนึงคือความสุขของตัวเองที่แลกไม่ได้กับเงิน-ฉันรู้แล้วว่าตัวเองไม่เหมาะกับการเป็นแอร์ฯเลยสักนิด ขี้หงุดหงิด ขี้โวยวาย ไม่มีใจรักบริการ อยากแต่เที่ยวและได้เงินเยอะ ๆ เพียงอย่างเดียว ก็ลาออกซะเถอะ!
อยากไปงานรับปริญญาน้องชาย : เนื่องด้วยฉันไม่ได้อยู่เมืองไทย การจะสังสรรค์สมาคมอย่างคนอยู่ในประเทศก็เป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก ฉันไม่สามารถจะขอไฟลท์กลับกรุงเทพฯในช่วงวันรับปริญญาน้องชายได้ ทั้ง ๆ ที่เมื่องานรับปริญญาฉัน ก็เป็นน้องชายที่วิ่งรอกไปมา ถือของให้พี่สาว ฉันจึงอยากทำหน้าที่นั้นบ้าง และนาน ๆ ทีน้องชายฉันจะออกปากอยากให้พี่สาวทำอะไรสักอย่างให้ งานนี้ถึงกับจองตัวฉันล่วงหน้าไว้เสียนานว่าอยากให้ฉันไปถ่ายรูปให้ และสุดท้ายฉันก็ไม่ได้ไป-ซึ่งก็ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไรเหมือนกันหากย้อนเวลากลับไปได้แต่ยังดีที่ได้มีไฟลท์ไปกัวลาฯและแอบหนีกลับกรุงเทพฯได้ช่วงงานวันซ้อมรับปริญญา เลยได้ชดเชยความรู้สึกผิดไปครึ่งหนึ่ง
-ขอให้มีสติมั่นคง : ทุกครั้งที่ไหว้พระสวดมนต์ ฉันเองก็พยายามขอพรให้กับตัวเองอย่างนี้ เพราะฉันเชื่อว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่มีสติมั่นคง ไม่ว่าจะเจอกับปัญหาหรือว่าอุปสรรคใด ๆ แต่สติที่ดีนี่แหละจะทำให้ผ่านพ้นทุกอย่างไปได้ด้วยดี...อย่างน้อยฉันก็เชื่ออย่างนั้นนะ
-ครอบครัว : ปกติฉันและครอบครัวจะไม่ไปเที่ยวไหน ไม่ไปงาน countdown ที่ไหนเด็ดขาด นอกจากคนเยอะ รถติด เบียดเสียดแล้ว ยังไม่รู้สึกว่ามันเป็นการพักผ่อนเลยสักนิด เพราะฉะนั้นทุก ๆ ปีฉันจะนอนอยู่บ้าน เปิดแอร์เย็น ๆ ห่มผ้านุ่ม ๆ แล้วนอนขดกดรีโมททีวีไล่ดูบรรยากาศงานปีใหม่แต่ละช่อง แต่ละที่ แต่ละประเทศ ได้ครบอรรถรสดี แต่ปีนี้และปีก่อน ฉันกลับติดอยู่บนเครื่องบินกำลังทำงานงุ่น ๆ เลยล่ะ ซึ่งถ้าเลือกได้ ก็อยากกลับไปนอนอยู่กับบ้านและอยู่กับแม่มากกว่า ซึ่งไม่ว่าเทศกาลไหนก็ตามนะ ถ้าเลือกได้ ฉันขอเลือกอยู่กับครอบครัวนี่แหละ อุ่นใจที่สุด
จะผ่าตัดศัลยกรรมหัวใจตัวเอง เพราะเป็นคนใจบาง ๆ (ฮิ้ววววว)
หนังสือ : งานนี้เลียนแบบคำตอบพี่ก๋ามาค่ะ คิดเหมือนกันว่า หนังสือเป็นแหล่งความรู้ของเยาวชนไทย อยากบริจาคที่ไหนก็ได้ที่หนังสือจะมีประโยชน์และเป็นพื้นฐานการอ่านของเด็กไทยมากขึ้น เพราะรู้สึกว่าตัวเองเติบโตขึ้นมามั่นคงได้อย่างทุกวันนี้ก็เพราะหนังสือนี่แหละ
ด้วยความยินดีค่ะ คู่มือทำความเข้าใจนี่เป็นการเปิดเผยตัวเองสุดเดช คิดว่านะคะ อิอิ
เดี๋ยวอ่านแป๊บนึงก่อนนะคะคนสวย