::กาแฟถ้วยนั้น::
กาแฟร้อนหวานจัดที่เหลืออยู่เพียงก้นถ้วยเย็นชืดลงไปแล้ว...
ฉันเอามือกุมถ้วยเพื่อหวังจะขอความร้อนที่แทบไม่เหลืออยู่ของมันให้ไออุ่นมาช่วยบรรเทาความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศในร้านกาแฟใจกลางเมือง กลิ่นกาแฟจากเครื่องทำกาแฟโชยให้ได้กลิ่นหอมอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาและสั่งกลับออกไป น้อยคนนักจะใช้เวลาละเลียดกาแฟที่มีอย่างอ้อยอิ่ง บางทีก็อาจจะเหมือนความสัมพันธ์ในชีวิตก็ได้ ที่เพียงเดินเข้ามาแล้วก็เดินผ่านออกไปเมื่อได้รับประโยชน์ที่ต้องการครบถ้วนแล้ว ฉันคิด
ฉันถอนหายใจให้กับความคิดตัวเอง กระชับผ้าคลุมสีน้ำตาลลายอาหรับผืนโปรดให้กระชับตัว เพราะรู้ว่าไม่อาจหาความอุ่นจากถ้วยกาแฟถ้วยนั้นได้อีกต่อไปแล้ว ยิ่งฟ้ากำลังมัวซัวเหมือนฝนจะลงเม็ดอย่างนี้ยิ่งพาลทำให้เครื่องปรับอากาศพ่นลมแรงมากยิ่งขึ้น (อย่างน้อยก็ในความรู้สึกฉัน) ฉันเหม่อมองออกไปนอกกระจกบานใหญ่ของร้าน ภายนอกจัดตกแต่งด้วยต้นไม้ดอกไม้ให้ดูร่มรื่นเย็นตา แต่ที่จริงหารู้ไม่ว่า เมื่อมองทะลุม่านไม้เหล่านั้นออกไป มันก็คือเมืองใหญ่ ๆ ที่สับสนวุ่นวาย เต็มไปด้วยมลพิษและไอเสีย ต้นไม้เหล่านี้ก็แค่ปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ และเรา (คนที่ชอบมานั่งร้านกาแฟบรรยากาศดี) ก็กำลังหลอกตัวเองด้วยอะไรบางอย่างเช่นกัน
เสียงบรรเลงเปียโนเพลง Canon ดังคลอไปกับเสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งประตูที่ส่งเสียงดังตลอดเวลา ทั้งเมื่อคนที่เข้ามาและเดินกลับออกไป เป็นเวลา 3 ชั่วโมงกับกาแฟร้อนหนึ่งถ้วยที่ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนทั้งนั้น วันนี้ฉันอยากนั่งเฉย ๆ นิ่ง ๆ ไม่ต้องเจอใคร ไม่ต้องรับโทรศัพท์ใคร ไม่ต้องอ่านหนังสือเล่มไหน และไม่ต้องขับรถไปไหนทั้งนั้น
แต่แล้วความตั้งใจฉันก็ไม่ได้เป็นไปตามคาดสักเท่าไหร่...
"กาแฟหมดแล้ว จะรับอีกสักถ้วยไหมล่ะคะ" เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังมากจากด้านหลัง ปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์การคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ฉันหันไปมองก็พบหญิงสาวคนหนึ่งหน้าตาคุ้นเคย ไม่ใช่พนักงานร้าน ไม่ใช่เพื่อนฉัน ฉันนึกไม่ออกว่าเธอเป็นใครและเคยเจอเธอที่ไหน แต่ฉันรู้สึกเหมือนรู้จักกับเธอมานานแสนนาน
"ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ" ฉันยิ้มอย่างมีมารยาทและตอบหญิงสาวคนนั้นกลับไปอย่างตัดบทสนทนา แต่เธอกลับเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามฉันอย่างวิสาสะ ฉันผงะเล็กน้อยที่เธอเสียมารยาทอย่างนั้น ทั้งที่โต๊ะตัวอื่นก็ว่างเต็มร้านทำไมเธอต้งมานั่งโต๊ะเดียวกับฉันด้วย
แต่ก่อนจะอ้าปากถามอะไรเธอออกไป พนักงานที่ร้านก็นำกาแฟของเธอมาเสิร์ฟให้ มันเป็นคาปูชิโน่ปั่นใส่วิปครีม(ราดคาราเมล) เธอยิ้มให้พนักงานร้านอย่างน่ารักและกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ฉันรู้สึกถูกชะตาเธอแปลก ๆ แต่กระนั้นก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเคยเจอเธอที่ไหน
เรานั่งเงียบกันอยู่สักพัก เธอดูมีความสุขกับวิปครีมและคาราเมลของเธอพอสมควร เหมือนว่าเธอจะไม่ได้สนใจฉันที่กำลังทำหน้างงงวยและประหลาดใจในหญิงสาวแปลกหน้าที่จู่ ๆ ก็เดินมานั่งด้วยกันโดยไม่ได้ขออนุญาตแบบนี้ แต่เธอก็ยังเงยหน้าจากการจัดการกับวิปครีมของเธอมาส่งยิ้มให้ฉันเป็นพัก ๆ เป็นรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร สดใส ไร้เดียงสา เป็นยิ้มที่ฉันรู้สึกคุ้นเคยอีกเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังนึกไม่ออกว่าเธอเป็นใครอยู่ดี ฉันจึงปล่อยเลยตามเลยโดยไม่คิดจะถามอะไรเธออีก พลางคิดว่า การที่มีคนมานั่งเป็นเพื่อนในวันฟ้าหม่น ๆ เหงา ๆ แบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ
"วันนี้อากาศดีนะ เธอว่าไหม" หญิงสาวคนตรงหน้าฉันพูดขึ้น ว่าแล้วเธอก็วางมือจากวิปครีมและคาปูชิโน่ที่หมดไปครึ่งถ้วย เอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้สบาย ๆ ทำตัวสนิทสนมคุ้นเคยเหมือนเป็นเพื่อนเก่าแสนนานหรือไม่งั้นก็เหมือนว่าเรานัดกันไว้อย่างดิบดีในบ่ายวันนี้ "คนกินกาแฟเยอะดีด้วยล่ะ ไม่เคยคิดเลยนะว่าจะมีคนเข้า ๆ ออก ๆ เยอะขนาดนี้ ถ้าความสัมพันธ์ในชีวิตมีเยอะแยะแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ รู้สึกไม่โดดเดี่ยวดี"
ฉันรู้ดีว่าไม่ค่อยเห็นด้วยกับประโยคหลังของเธอเท่าไหร่ แต่เลี่ยงจะพูดถึงมันไป "ฉันว่าวันนี้มันน่าหดหู่ออก ฝนจะตกก็ไม่ตกสักที แถมแอร์ก็หนาวด้วย" ฉันตอบเธอไปเหมือนคนบ่นพึมพำและเริ่มทำตัวสบาย ๆ ขึ้นเมื่อเห็นเธอทำตัวสบาย ๆ "เธอน่ะ ไม่หนาวบ้างเหรอ กินกาแฟเย็น ๆ แบบนั้น ใส่เสื้อตัวบางเสียด้วย" ฉันพูดเหมือนพี่สั่งสอนน้องเพราะเมื่อพิจารณาแล้วรู้สึกว่าเธอดูเด็กกว่าฉันนิดหน่อย
"ก็ฉันชอบนี่นา กาแฟเย็น ๆ อย่างนี้ ไม่เห็นต้องไปคิดเลยว่าอากาศจะเป็นยังไง ในเมื่อชอบซะอย่าง ก็จะกินละ" ว่าแล้วเธอก็ยิ้มขัน ๆ และดูดกาแฟเย็น ๆ อีกหนึ่งคำ "เธอเองมากกว่า เธอก็ชอบกาแฟเย็นไม่ใช่เหรอ มานั่งกินกาแฟร้อนชืด ๆ เป็นคนแก่ไปได้ มา...ฉันเลี้ยงอีกแก้วดีกว่านะ กินด้วยกันอร่อยกว่า ดีกว่าให้เธอมานั่งมองเฉย ๆ"
ว่าแล้วเธอก็ลุกไปสั่งคาปูชิโน่เหมือนเธอเด๊ะอีกหนึ่งแก้วโดยที่ฉันยังไม่ทันได้มีโอกาสคัดค้าน ลักษณะการพูดคุยของเธอยิ่งทำให้ฉันรู้สึกคุ้นเคยมากยิ่งขึ้น ฉันเริ่มแน่ใจว่าฉันต้องรู้จักเธอจากไหนสักที่ แต่ฉันก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่ารู้จักเธอได้อย่างไร อีกไม่นานพนักงานเสิร์ฟคนเดิมก็เอากาแฟเหมือนกันเด๊ะอีกแก้วมาวางตรงหน้าฉัน และก็เป็นหญิงสาวคนตรงข้ามที่กล่าวขอบคุณและยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นเคย
"ว่าแต่เธอ มานั่งเหงาอยู่ในร้านกาแฟคนเดียวแบบนี้ทำไมเหรอ" เธอถามฉันขึ้นเมื่อเห็นฉันเหม่อออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง "ไม่เห็นสดใสสมกับเป็นเธอเลย" ฉันเงยหน้าขึ้นมองหน้าเธอหลังจากเธอพูดประโยคหลังขึ้นมา เธอหมายความว่ายังไงกันว่าฉันต้องเป็นคนสดใสอย่างนั้นหรือ?
"ก็ฉันเหงา" ฉันตอบออกไป รู้สึกไว้ใจเธออย่างประหลาด
"เหงาเหรอ...อืมมม...ฉันก็เหงาเหมือนกันนะ" ว่าเสร็จเธอก็ยิ้มน่ารัก ๆ ตามแบบเธอ
"เธอน่ะเหรอเหงา ไม่เห็นเหมือนคนเหงาเลย"
"แล้วคนเหงานี่ต้องทำหน้ามุ่ย ๆ แบบเธอทุกคนเลยหรือยังไง" เธอหยุดนิดหนึ่ง "ฉันว่าคนทุกคนก็เหงากันทั้งนั้นแหละนะ แม้แต่จะมีเพื่อน หรือว่ามีแฟนก็เถอะ ความเหงาไม่ได้เลือกว่าจะอยู่กับคนที่อยู่คนเดียวสักหน่อย เธอว่าไหมละ" เธอพูดลอย ๆ แต่คำพูดลอย ๆ ของเธอทำให้ฉันคิดตาม
"แล้วฉันก็เหนื่อยด้วยนะ" ฉันหยิบคาปูชิโน่เย็นใส่วิปครีม(ราดคาราเมล)ขึ้นมาดูดอย่างเลื่อนลอย ทันทีที่กาแฟเย็น ๆ สัมผัสลิ้น ฉันรู้สึกอบอุ่นร่างกายและสดชื่นอย่างประหลาด ไม่เห็นจะต้องพึ่งกาแฟร้อน ๆ อย่างที่เธอว่า
"เหนื่อยเหรอ...อืมมม...ทั้งเหนื่อยทั้งเหงาเลย เธอนี่น่าสงสารจัง" เธอพูดเหมือนบ่นไปเรื่อยมากกว่า
"ฉันรู้สึกเหนื่อย ๆ ยังไงไม่รู้ เหนื่อยใจน่ะ เธอเป็นเหมือนฉันอีกหรือเปล่าละ"
"ฉันเหงานะ แต่ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ ฉันรู้สึกว่าโลกนี้มีอะไรเยอะแยะเลย ยิ่งทำอะไรมาก ๆ ก็ยิ่งได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น" เธอพูดด้วยสายตาเป็นประกาย แต่ฉันหัวเราะขันหนึ่งที
"หึหึ...เธอนี่มองโลกในแง่ดีชะมัด" ฉันยิ้มเยาะ "ว่าไปแล้ว ฉันก็เคยเป็นเหมือนเธอนะ มองโลกสดใส ไม่คิดอะไรมาก และอยากเรียนรู้ตลอดเวลาน่ะ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกแก่ ๆ ไม่เห็นอยากจะทำอะไรสักอย่าง เบื่อหน่ายไปหมด ไม่รู้สึกว่าอะไรสวยงามอีกต่อไป" เป็นประโยคที่ฉันพูดยาวที่สุดตั้งแต่คุยกับเธอมา กาแฟถ้วยนั้นของฉันเริ่มพร่องลงไปนิดหน่อย
"เธอไม่ค่อยไว้ใจใครเหมือนเมื่อก่อนแล้วสินะ?"
"อืมมม...ทำนองนั้นน่ะ" ฉันเริ่มมีบทสนทนาเหมือนคุยกับเพื่อนเก่าแก่คุ้นเคยอย่างไม่รู้ตัว "จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าไว้ใจมันทำกันยังไง" ว่าแล้วฉันก็หัวเราะเยาะตัวเอง
"แล้ว...เธอไม่เชื่อในความรักแท้จริงอีกแล้วเหรอ?" เธอทำหน้าคาดหวังเล็กน้อยจากฉัน
ฉันมองหน้าเธอจริงจัง เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นดวงตาเธอชัด ๆ "ฉันเคยเชื่อเรื่องอย่างนั้นด้วยเหรอ?" คำพูดฉันหนักแน่นและหมายความตามที่พูดจริง ๆ
ฉันว่าฉันเห็นหญิงสาวคนนั้นน้ำตาคลอหน่วย แววตาเต็มไปด้วยความผิดหวังในตัวฉัน แต่หยดน้ำตาก็หายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนความผิดหวังยังส่อให้เห็นชัดทั้งดวงหน้า "ฉันเสียใจจัง" เธอพูดง่าย ๆ อย่างตรงไปตรงมา แล้วเราก็เงียบกันอยู่พักหนึ่ง วิธีการร้องไห้และกลบเกลื่อนของเธอทำให้ฉันรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาอีกแล้ว แต่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเธอเป็นใคร ฉันรู้ดีว่าที่ผ่านมา ฉันทำความสัมพันธ์หล่นหายไประหว่างทางเยอะเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าจะมีใครบางคนที่ฉันรู้สึกคุ้นเคยมากขนาดนี้หล่นหายไปโดยที่นึกไม่ออกแบบนี้...ฉันเริ่มรู้สึกว่าฉันนี่เป็นมนุษย์ที่ดำเนินความสัมพันธ์ได้ห่วยจริง ๆ!
"เธอมองตัวเธอเป็นยังไงล่ะตอนนี้" เธอเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรกหลังจากกาแฟของเธอไม่ได้ถูกแตะต้องแต่ของฉันกลับพร่องไปกว่าครึ่งแก้ว
"อืมมม...ไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่ได้ถามตัวเองมานานแล้วนะ" ฉันตอบไป
"ก็ฉันถามเธออยู่นี่ไง"
"เป็นเหมือนเอสเปรสโซ่มั้ง" ฉันตอบไปงั้น ๆ "ขม ดำ หม่นและร้อน"
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ 'ขม ดำ หม่นและร้อน' งั้นหรือ" เธอหัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย "ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะว่ามันเป็นยังไง แต่มันดูหดหู่ชอบกล เธออยากรู้ไหมละว่าฉันมองตัวเองยังไง" เธอหยุดนิดหนึ่งแววตาสดใสขึ้นมา "เหมือนคาปูชิโน่ใส่วิปครีม(ราดคาราเมล)แก้วนี้แหละ หอม หวาน มัน น่าค้นหา เมื่อได้กินก็อยากกินอีก ฮี่ฮี่" เธอพูดแบบร่าเริงและภูมิใจในตัวเอง
"ฉันไม่เห็นว่าคาปูชิโน่มันจะน่าค้นหาตรงไหนเลย มีแต่จะทำให้อ้วนน่ะสิ เลี่ยนแล้วก็ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลย" ฉันพูดแบบขัดเธอ แต่ก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
"นี่เธอ เวลาเธอยิ้มน่ะ สดใสมากรู้ไหม" เธอยิ้มให้ฉัน "ฉันอยากเห็นเธอยิ้มเหมือนเมื่อก่อนนะ ตอนที่ไม่คิดอะไรมากแม้ว่าจะมีเรื่องให้คิดเยอะมาก ตอนที่ยังมองโลกสดใสแม้จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย ตอนที่เธอยังเป็นคาปูชิโน่เย็นเหมือนฉันน่ะ...ว่าแต่เธอว่าความรักคืออะไร"
ฉันหยุดคิดนิดหนึ่งกับคำถามที่เธอถาม ชักเริ่มสนุกกับการสนทนาเสียแล้ว (แม้จะยังนึกไม่ออกก็ตามว่าเธอคือใคร) "ฉันว่า มันก็คือการที่คนสองคนมีประโยชน์อะไรบางอย่างเอื้อต่อกันน่ะสิ ไม่ได้หมายความในแง่ร้ายนะ แค่พูดตามความเป็นจริง...หากว่าคนหนึ่งไม่รู้สึกว่าอีกคนตอบแทนอะไรที่ต้องการได้แล้ว ก็หมดรักเท่านั้นเอง ความรัก ก็แค่การทำถูกใจกันและกันน่ะฉันว่า" ฉันคิดว่าเธอคงจะเสียใจกับการมองโลกในแง่ร้ายของฉัน แต่เปล่าเลย เธอกลับหัวเราะขึ้นมา
"ฮ่า ๆ ๆ...เธอนี่ สมเป็นเอสเปรสโซ่จริง ๆ นะ"
.................... .............. ...................
บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ในร้านกาแฟน่ารักร้านนั้น แม้ฝนจะตกพรำลงมา แต่ฉันว่ามันก็สวยดีไปอีกแบบ การกินกาแฟเย็น ไม่ได้ทำให้หนาวขึ้นสักหน่อย แต่กลับทำให้อุ่นใจเพราะได้กินอะไรที่ชอบ แต่ถึงอย่างนั้น...ฉันก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเธอเป็นใคร! รู้แต่ว่าฉันคุ้นเคยเหลือเกิน เหมือนว่าเธอเป็นฉันในอดีตอย่างนั้นแหละ...
ฉันเดินไปจ่ายเงินที่เค้าน์เตอร์ "ทั้งหมดมีสามแก้วนะคะ เอสเปรสโซ่หนึ่ง คาปูชิโน่เย็นใส่วิปครีม(ราดคาราเมล)สองนะคะ" เธอยิ้มหวานมาให้ฉัน
"หืมมมม?" ฉันทำเสียงสงสัยอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็มองกลับไปที่โต๊ะ ร่องรอยของกาแฟสามแก้วที่ฉันจัดการไปตลอดทั้งวัน ฉันยื่นเงินให้พนักงานสาวน้อย ยิ้มกับตัวเองที่นึกได้ว่าคงเสียรู้ให้หญิงสาวอารมณ์ดีคนนั้นแล้วแน่ ๆ พลางคิดต่อไปว่าฉันคงตาค้างไปอีกหลายวัน
เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งดังขึ้นเมื่อฉันผลักประตูออกจากร้าน ฝนหยุดไปสักพักแล้ว อากาศข้างนอกกำลังสดชื่น ฉันส่ายหัวและยิ้มกับตัวเองอีกครั้ง...ในที่สุดฉันก็นึกออกว่าเธอเป็นใคร เสียใจที่ลืมเธอไปและไม่ได้คุยกับเธอนานมากแล้ว คงเพราะปล่อยให้เรื่องราวของชีวิตแสนซับซ้อนที่เอามาแบกไว้กับตัวเอง มาบดบังตัวเธอไป พลันคิดถึงบทสนทนาที่เธอถามฉันว่า
"เธอมองตัวเธอเป็นยังไงล่ะตอนนี้"
"อืมมม...ไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่ได้ถามตัวเองมานานแล้วนะ"
"ก็ฉันถามเธออยู่นี่ไง"
*หมายเหตุ : ฉากและสถานที่อ้างอิงจากจินตนาการ แต่ตัวละครทั้งสอง มีอยู่จริง.... ต้องขอโทษคนอ่านด้วยค่ะที่เขียนยาวไปหน่อย พอดีเพลินไปนิด อ่านไม่จบไม่ว่ากันนะคะ อ่านแล้วติเตียนไว้ด้วยนะคะ :)
ขอบคุณผู้ร่วมเดินทางเส้นทางสายมิตรภาพเส้นนี้ด้วยกันทุกคนนะคะ สำหรับถนนเส้นต่อไป จะมาในหัวข้อที่ว่า "โลกทั้งใบ..." ค่ะ
หากสนใจร่วมถนนสายมิตรภาพโรยตัวอักษรเส้นต่อไปกับพวกเรา ทำตามกติกาง่าย ๆ เหมือนเคย ดังนี้ค่ะ -ลงชื่อบอกกล่าวกันไว้ -เขียนเรื่องอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้ และอัพบลอคในหมวดงานเขียน/บทประพันธ์ -อัพบลอคในวันจันทร์ที่ 28 กันยายนนี้ เวลาใดก็ได้ -เมื่ออัพบลอคแล้ว กรุณามาแจ้งอีกครั้งในบลอคของคนใดคนหนึ่ง และเราจะทำการรวบรวมลิงค์อีกทีค่ะ
ย้อนอ่านโครงการ ::ถนนสายนี้...มีมิตรภาพ:: คลิกได้ค่ะ
รายชื่อผู้ร่วมโครงการ ::BeCoffee:: ::nikanda:: ::นางสาวดุ่บดั่บ:: ::กะว่าก๋า:: ::อสัญแดหวา:: ::Little Knight:: ::Artagold:: ::Paulo:: ::JewNid:: ::Unravel:: ::ปีศาจความฝัน:: ::นัทธ์:: ::บุยบุย:: ::inmemoir:: ::tempopo::
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ หวังว่าจะได้ร่วมเดินทาง ในถนนสายมิตรภาพโรยตัวอักษรนี้ด้วยกันนะคะ
Create Date : 14 กันยายน 2552 |
|
52 comments |
Last Update : 14 กันยายน 2552 22:44:06 น. |
Counter : 2315 Pageviews. |
|
|
|
ต้องใช้สมาธิพอสมควร เพราะตอนนี้อ่านอยู่ที่ห้องทำงานรวม ว่าแล้วก็ค่อนข้างเสียวหลัง 555
กลับบ้านแล้วจะแวะมาอีกทีนะคะ