บันทึกรัก...เกาหลี (รึเปล่าฟระ?) ตอน ทำไมต้องซีรีส์เกาหลี
ทำไมต้องซีรีส์เกาหลี ว่าจะขอว่างเว้นจากหนังเกาหลีซะหน่อย การงานก็มีต้องทำไหม แต่ไม่วาย...พอจะเปิดเพลงบรรเลงประกอบการทำงานให้มีสมาธิดีซะหน่อย เจ้า youtubeก็ดันขึ้นภาพแนะนำ ซีรีส์เกาหลี ค้างภาพไว้ที่ฉากสุดซึ้ง... ของละครเกาหลีเรื่องใหม่... เรื่องไรฟระ...ไม่เคยเห็นมาก่อน ไหนดูซะหน่อยสิ...คลิก เอาแล้วไง.....ทำไมน่าร็อคอย่างนี้... ดูไป...ดูมา...เผลอแป๊บเดียว ... เที่ยงคืนแล้วรึเนี่ยะ! ได้ข่าวว่า เปิด youtube จะทำงานตั้งแต่ตอน ทุ่มนึง=_= ............. และได้ข่าวว่า ฉันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้คนเดียว มาถึง ณ จุดนี้ ถามตัวเองอีกครั้งว่า ทำไมถึงได้ติดใจซีรีส์เกาหลีนักนะ เราว่า เกาหลีร่ายมนตร์บางอย่าง ที่พิเศษแตกต่างจากละครทั่วไปอยู่เหมือนกันนะ บางสิ่ง มีเหมือนๆ กันหมดทุกชาติ เช่น ความน้ำเน่า(แม้ไม่ใช่ทุกเรื่อง) แต่ต่อให้น้ำเน่า มันก็มีเอกลักษณ์บางอย่าง ที่ทำให้ละครเกาหลี มีดีให้ติดใจจนต้องเอากลับไปฝันคลั่งไคล้ไม่เลิกรา ซึ่งข้าพเจ้าใช้ประสบการณ์เกือบ 15 ปี วิเคราะห์ออกมาแล้ว เป็นแบบนี้ 1) เกาหลีสร้างละคร ภายใต้ฐานของความรู้ สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจจนประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ เขาจะทำอะไร เขาจะทำจริง และจะศึกษาที่มาที่ไป แล้วนำมาประยุกต์ใช้ ใครรู้เรื่องจิตวิทยาจะรู้เลยว่า ละครเกาหลีใช้จิตวิทยาสูงมาก สูงมากสุดๆ จริงๆ และไม่ค่อยเหมือนใครด้วย ไม่ใช่ทุกเรื่องเป็นแบบนี้ แต่มีหลายเรื่องเลยที่เป็นแบบนี้ คือ 1.1) นางรองสวยกว่านางเอก หลายเรื่อง นางเอกสวยที่สุดก็ไม่ว่ากัน ... แต่ก็มีหลายเรื่องเหมือนกัน ที่กะเลือกนางรองให้สวยสะเด็ดนางเอกหน้าตาจืดๆ หรือถ้าเป็นคนสวยอยู่แล้ว ก็จะเจาะจงให้ดูสวยเป็นธรรมชาติไม่ปั้นแต่งให้สวยเกินเหตุ ไปจนกระทั่ง เข้าขั้นหน้าตาไม่สวยเลย มันช่างเป็นจิตวิทยาขั้นสูงสุดจริงๆเพราะนางเอกที่หน้าตาบ้านๆ เช่น ชเวจีวู (เมื่อเทียบกับ คิมแตฮีใน stairway toheaven), กงอึนชานใน coffee prince และอีกหลายเรื่อง เป็นตัวแทนของผู้หญิงส่วนใหญ่ ที่ก็ไม่ได้หน้าตาไฉไลสวยสะพรั่ง แต่ก็สามารถพิชิตใจพระเอกได้ ชนะนางรองหน้าตาระดับนางงามจักรวาลขาดลอย อีพวกเราดู ก็รู้สึกว่า โลกนี้มีโอกาส มีพื้นที่ยืนของผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ แบบว่าฟินกว่านี้จะมีอีกไหม 2) สุดๆ ทางอารมณ์ อันนี้โดดเด่นมากจริงๆ ถือเป็นจุดแข็งที่สุดของละครเกาหลี
คือ มุมกล้อง บทเพลง คำพูด จะสร้างความรู้สึกให้กับเรา จริงๆ ละครทุกประเทศก็จะสร้างอารมณ์ให้กับคนดู แต่สำหรับสไตล์เกาหลีนี่คือ จะให้เราเกิดอารมณ์แบบ "สุด" จะไม่มีมาดูแล้วเฉยๆ หรือรู้สึกนิดหน่อย คือถ้าเศร้าคือทำให้เราถึงขั้นสลดหดหู่เหม่อลอยปากแห้งตาบวมซึมเศร้าไปเป็นเดือนถ้าตลก ก็คือ หัวเราะกึกก้องจนห้องร้าว ถ้าโรแมนติก กะอีแค่มันแตะนิ้วกันที่ริมหน้าต่างตอนเช็ดหน้าต่างด้วยกัน ทำเอาวาบหวามเคลิบเคลิ้มหลงใหลใฝ่ฝันหน้าแดงเขิลแทนเก็บไปฝันเป็นสัปดาห์ หรือตอนเพ้อละเมอหา แค่เรือสวนกัน แต่พอดีหันไปมองไม่เห็นกัน แค่ไหวๆภาพสโลว์มาช้าๆ หันไปเหลื่อมกันนิดส์เดียว ทำเอาใจไหว กระเพื่อมตามเรือไปนอนไม่หลับเป็นสัปดาห์ เมื่อไหร่มันจะเจอกันฟระ คือ เขาจะเล่นกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เป็นอวจนภาษาเยอะมาก และพยายามสื่อสารด้วยมุมมองของบุรุษที่ 1 (เหมือนมองออกมาจากมุมของตัวละครเอง และโคสอัพให้เห็นอารมณ์ตัวละครสุดๆ) ซึ่งนั่นเป็นธรรมชาติและเรารู้สึกร่วมไปด้วย มันชวนฝัน และแฝงกลิ่นอายเศร้าๆ ฟุ้งๆเป็นความเศร้าที่มีเงา...ซึ่งงาม เป็นสไตล์เฉพาะที่มันอึงอวล และยากจะถอดถอนใจออกไปจริงๆ 3) อุดมคติโคตรๆ รักแท้หน้าตาเป็นแบบนี้เอง เกิดมาในชีวิตนี้ เพิ่งเคยได้เจอพระเอกที่เพอร์เฝคครั้งแรกก็จากซีรีส์เกาหลีนี่แหล่ะ เรื่อง All about eve (สงครามแห่งความรัก) ปกติเคยดูหนังไทย มันก็มักจะสร้างให้เกิดปมขัดแย้งที่สำคัญ ที่คาดหวังได้คือพระเอกจะมีช่วงถูกนางร้ายล่อลวง แล้วฮีก็โง่โดนหลอก แต่ซีรีส์เกาหลี ดูจะดุเด็ดเผ็ดกว่านั้นเพราะ พระเอก นอกจากจะอบอุ่น น่ารัก โรแมนติก หล่อ รวย แล้ว ยังฉลาดโพดๆ ถึงขนาดนางร้ายมาอ่อย นอกจากจะรู้ทันแล้ว วิธีตอกหน้านางร้ายยังดูดีมีตระกูลและเจ็บปวดยิ่งกว่ามีดโกนอาบน้ำผึ้ง ชนิดไม่เคยพบเห็นในซีรีส์ไทยรายการไหนเลย หรือกระทั่งเจอ พระเอกปากร้ายด่านางร้ายกันหน้าหงายเลยทีเดียว หรือพระเอกที่ตลก รั่ว สุดฤทธิ์ สุดเดช (เช่น Greatest love) เอากับเขาสิ มีบางสิ่งที่ไม่ค่อยปรากฎพบเจอในพระเอกบริบทแบบไทย เหมือนของแปลกใหม่ 4) ตัวละครมีพัฒนาการที่ให้แรงบันดาลใจ มีบางเรื่องเหมือนกัน ที่ไร้สาระ แต่ส่วนใหญ่ เรียกว่า เป็น knowledgedbased drama คือ เป็นละครที่แฝงความรู้แบบจัดเต็มกันเลยทีเดียว เช่น Love story inHarvard เราจะได้ความรู้เกี่ยวกับวงการกฎหมายอย่างลึกซึ้งชนิดว่า
คนแต่งนิยายมันจบกฎหมายรึเปล่าวะ หรือหากเป็นแนวซินเดอเรลล่านางเอกบ้านนอกยากจน พระเอกร่ำรวย
มันก็ไม่ใช่จะเป็นแฟนกันในบัดดล ในต่อเดียวจะน่าประทับใจมาก ที่จะมีเหตุการณ์พลิกให้พระเอกที่ร่ำรวยแต่นิสัยสุดแย่ ต้องมายากจนแล้วมาเรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นมาจนกลับมาร่ำรวยและได้เรียนรู้ไปพร้อมกับนางเอก หรือแต่ละเรื่องพระเอกก็จะต้องทำงานอย่างจริงจัง มีเรื่องของการต่อสู้ทางธุรกิจหรือในที่ทำงานแบบไม่ใช่ผิวเผิน แต่เหมือนยกสถานการณ์จริงขึ้นมาให้แง่คิดดีๆ กับคนดู กระทั่งสะท้อนความรักอันอบอุ่นด้วยมีน้อยเรื่องที่จะน้ำเน่าสาด แต่ก็มีเหมือนกัน แม้ทางซีรีส์ญี่ปุ่นออกจะหลุดขอบจักรวาลไปเลยคือมโนจัดเต็ม หรือไม่ก็เหมือนดูการ์ตูน จะไม่ค่อยอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงเท่าไรทางเกาหลีนี่จะยังเป็นเรื่องในโลกมนุษย์อยู่มาก และหากคนในวงการนั้นๆ มาดูก็จะยอมรับได้ เพราะเกาหลีทำรายละเอียดได้ถึง เช่น ในวงการดนตรี วงการแพทย์เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็มาจากที่คนเขียนบท, นักเขียนนิยาย ไปศึกษาเรื่องนั้นๆมาอย่างดี อย่างถ่องแท้แล้ว 5) แปลงเรื่องเศร้าให้สนุกและตลกได้ เฮ้ย อันนี้เก่งจริงนะ บางเรื่อง ถ้าจะเล่าเฉพาะแก่น เรื่องย่อแล้วแทบจะเป็นเรื่องที่ทนดูไม่น่าจะได้ เหมือนจะเล่าสารคดีชีวิตเศร้ายังไงไม่รู้ เช่นพระเอกเป็นลูกกำพร้า เติบโตอย่างเด็กเร่ร่อน แฟนหนีไปแต่งงานกับเศรษฐีตัวเองไปช่วยผู้หญิงคนนั้นจนโดนยิงฝังกระสุนในสมองจนต้องนับถอยหลังวันตายกลับไปประเทศเกาหลี เพื่อหวังช่วยเหลือครอบครัวแม่ ซึ่งคาดว่ายากจนจนต้องทิ้งเขาไปและไปตายที่เกาหลีเป็นครั้งสุดท้าย กลับกลายเป็นเจอ แม่มั่งคั่งร่ำรวยอยู่กับลูกเลี้ยงอย่างเปรมปรีย์แล้วเจอว่าตัวเองมีน้องสาวฝาแฝดที่เป็นปัญญาอ่อนและมีลูกติดอีกต่างหาก
คือชีวิตบัดซบมาก แต่เขาทำให้เรื่องดราม่าขนาดนี้ สนุก ตลก และโรแมนติกได้
บางเรื่องแบบว่า นางเอกขี้เหร่เลยต้องเลี้ยงดูครอบครัวที่ยากลำบาก มีคนเป็นปัญญาอ่อน คือ ทั้งครอบครัวชีวิตบัดซบหมด แต่ ซีรีส์เกาหลีทำให้ คนดูเดี๋ยวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เดี๋ยวร้องไห้ซาบซึ้งน้ำตาไหลพราก...กระชากเราขึ้นๆ ลงๆ ได้อยู่หมัดมาก 6) ฝีมือการแสดง การกำกับภาพ การแสดงของนักแสดงเกาหลีเป็นธรรมชาติมาพูดเลย เขาใส่ใจกระทั่งการกลอกตาแบบไหนเป็นธรรมชาติ (ซึ่งทางจิตวิทยาจะสอนเลย) นึกไปอนาคตกรอกตาไปด้านขวา ลังเลกลอกตาแบบไหน ฯลฯ ทั้งแบบเป็นธรรมชาติ และแบบใช้เทคนิค คือเราเชื่อจริงๆ เหมือนอย่างที่ตัวละครเชื่อ ว่าเขารู้สึกแบบที่แสดงจริงๆคงจะทำการบ้านหนักมาก เคยทำงานบริษัทเกาหลีมา ก็รู้ได้ว่าเขาแสดงแบบเอาชีวิตเข้าแลกแน่เลย และโปรมากๆ จริงจังมากๆ ด้วย ที่ประทับใจแบบโคตรๆเอาตุ๊กตาทองไปเลยนะ มีหลายฉาก แต่ที่เด็ดมาก คือ (1) นางร้าย all about eveตอนที่พ่อเสีย เธอทั้งเสียใจและสะใจไปในครั้งเดียวกันแสดงสีหน้าที่ยากจะทำได้ออกมาแบบว่า
สื่อออกมาได้สุดขีดมากจริงๆ (2) Kim Hyun Sooตอนแสดงเป็นนักเรียนการแสดงบ้านนอกใสซื่อ แล้วพออกหัก หูดับ เปลี่ยนเป็น dark modeได้จากแก่นภายใน เท่ขึ้นมาฉับพลันทันใด ทำได้ไงฟระ แปลกมาก เก่งมาก (3) นิ้ว
ขนาดนิ้วยังกำกับจนโรแมนติกได้
เป็นไปได้ไงฟระ 7) ไม่ว่าหน้าตาพระเอกนางเอกจะมาเกรดไหน
ดูๆไปจะหล่อสวยจับใจขึ้นทันที คือบางเรื่อง ไม่สามารถจะหวังพึ่งนางเอก หรือพระเอกได้เลย คือ หน้าตา at first sight ไม่รับประทานทั้งคู่ แต่อันนี้แน่จริง เพราะหลายเรื่องที่เลือกแบบนี้ แต่ละครดังอิ๊บอ๋าย คือ เจ้าพระคุณรุนช่องถ้าดูภาพนิ่งก่อนดู แล้วทำใจไม่ได้นี่ไม่สามารถจะมีเรี่ยวแรงหยิบซีรีส์เรื่องนั้นขึ้นใสเครื่อง DVD แล้วเปิด play ได้คือ ..หน้าจะโจรไปไหน
นางเอก
สวยน้อยกว่าตัวประกอบเดินผ่านไปมาในหนังไทยซะอีกนะ
แล้วใครไปเอา อ. ประมาณ (พิธีกรรายการกฎหมายน่ารู้) ไปเป็นพระเอกเนี่ยะเลิกจัดรายการกฎหมายแล้วเหรอคะอาจารย์ แล้วนั่น พระเอกทำไมหน้าเด๊กเด็ก หล่อไหมก็ธรรมดาเมะ แล้วไปจับคู่กับ จอนจีฮยอนเนี่ยะนะ! แม่จ้าวคนกำกับเขาคิดยังไงของเขากันนะ
ถ้าไม่ติดว่าแต่ละเรื่องโด่งดัง ติดอันดับ เป็นที่อื้ออึงตะลึง จะไม่อยากเชื่อเลยว่า มันจะสนุกได้ยังไงของแบบนี้ เจอมาแล้ว ได้แต่บอกว่า ต้องลอง และพิสูจน์ดู จะรู้ว่า ความสวยหล่อไม่ได้อยู่ที่เปลือกภายนอกจริงๆ ก็เป็นเรื่องน่ายินดีอยู่นะ ที่ละครไทยบางเรื่องได้รับอิทธิพลจากละครเกาหลี ในแง่การทำให้ ซึ้งกินใจ มุมภาพการกำกับภาพ ทำได้สวย มีศิลปะ และปราณีตขึ้น นักแสดงเริ่มอินมากขึ้น แต่ว่าเปลือก
ไม่ต้องเอามามากก็ได้ เช่น ต้องอุ้มแบบแบกขึ้นหลัง หรือเอะอะ ให้พระเอกน้ำตาไหล คุณอาจคิดว่านั่นคือตัวดึงดูดคนดู แต่เรารู้สึกว่า นั่นคือ ตัวที่คุณลืมเอกลักษณ์ของตัวเองไป สิ่งที่ต้องทำคือ แก่นของมัน ซึ่งก็คือ การศึกษาการแสดงอย่างไรให้เป็นธรรมชาติ เล่นจริงและการพิถีพิถันกับภาพ ฯลฯ เราคิดว่าละครเกาหลีหลายเรื่อง เขียนสตอรี่บอร์ดขึ้นมาเลยเขาเห็นภาพก่อนที่จะถ่ายทำจริง และตั้งธงไว้ล่วงหน้าว่าต้องการอารมณ์ไหน ในซีนไหนและจะเจาะถ่ายแบบไหน หากมีแก้ไขหน้างานก็คงไม่มาก เพราะไม่งั้นคงไม่มีการถ่ายเจาะแขน, นิ้ว แล้วมันอะไรนักหนา แค่จับมือ แค่นิ้วค่อยๆเคลื่อนมาแตะกัน ทำไมทำฉันใจสั่นขนาดหนักได้ และภาษาที่สื่อสารได้ดีที่สุด ไม่ใช่คำพูด แต่คือ ภาษากาย การแสดงที่สุดยอด จึงเป็นการแสดงที่ภาษากายเป็นหลัก ก็มีการเรียนเรื่องการสื่อสารมา ว่า 80% มนุษย์เข้าใจตีความจากอวจนภาษา แต่บางครั้ง ละครไทย (แบบที่ไม่ทำให้เป็นธรรมชาติ
)ก็จะเอะอะพูดทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อ!? บางสิ่งคิดในใจ บางสิ่ง แค่ทำหน้าตาสงสัยไม่ต้องพูดว่าน่าสงสัยก็ได้ไหม แล้วดูเป็นธรรมชาติกว่าอีก บางอย่างไม่มีใครเขาพูดกันหรอก เขาแสดงท่าทางการทั้งนั้น สุดท้าย อยากเห็นละครไทยพัฒนาเยอะๆ ทั้งศิลปะการสื่อสาร แก่นเรื่อง การเขียนบท และสาระที่คนดูจะได้รับ จะได้สร้างอิทธิพลให้กับประเทศชาติ ทำให้ภาพลักษณ์ประเทศและสินค้าไทย ดูเลอค่าขึ้น (ดังนั้น กรุณาเลือกเรื่องที่สร้างสรรค์ เรื่องที่ช่วยส่งเสริมชื่อเสียงประเทศ) ด้วย
Create Date : 25 มกราคม 2558 |
|
1 comments |
Last Update : 25 มกราคม 2558 17:17:01 น. |
Counter : 1724 Pageviews. |
|
|
|