ดูกรภิกษุทั้งหลาย เอาเถิด บัดนี้ เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด - พระพุทธเจ้า
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2553
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 

นาคปรก .. ชายผ้าเหลือง ไสยศาสตร์ มาฆบูชา และมายาของเงิน

สวัสดีค่ะ เพิ่งดูหนังเรื่องนี้เมื่อวาน ยังไงมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะคะ บล็อกนี้มีการเปิดเผยส่วนสำคัญของหนัง ระวัง Spoil นะคะ ^^
- - - - -




เห็นชายผ้าเหลือง

ชอบความหมายที่แตกต่างของป่านกับปอในคำๆ นี้ การได้ "เห็น" ของป่านคือเห็นด้วยตาเนื้อ นั่นคือต้องหาเงินที่ไปขโมยมาให้เจอ แล้วนำไปรักษาแม่ หลังจากนั้นตัวเองและน้องค่อยบวช แต่การได้ "เห็น" ของแม่ ซึ่งป่านคิดว่าเป็นการตอบแทนพระคุณนั้น ต้องแลกมาด้วยการผิดศีลข้อ 2 คือห้ามลักทรัพย์ ชวนให้นึกถึงองค์ประกอบหนึ่งในการทำบุญซึ่งก็คือ บุบพเจตนา คือ การได้ปัจจัยสิ่งของที่ทำทานนั้นต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์ บางทีคนเราก็ให้ความสนใจแค่ที่ผล แต่ไม่ได้ดูว่ากว่าที่จะได้ผลอันนั้นมา ต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง ถูกควรหรือไม่ หากป่านออกจากวัดหลังจากการขึ้นเทศน์ และยอมมอบตัว อีก 4 ปีต่อมาในฉากหลังของหนัง อาจจะมีชายพี่น้อง ได้บวชพร้อมๆ กันก็เป็นได้
เมื่อป่านไม่อาจแสดงความกตัญญูโดยใช้องค์ประกอบอันบริสุทธิ์ได้ ก็เท่ากับว่าได้ทำกรรมชั่วเพิ่มอีกหนึ่ง และเมื่อรวมกับผลกรรมก่อนหน้า ก็ทำให้เขาต้องจบชีวิตไปก่อนที่จะได้เห็นความสุขของแม่

ในขณะที่ปอ ซึ่งมีความผิดตามกฎหมายน้อยที่สุดในกลุ่มโจร เลือกที่จะให้แม่ได้เห็นชายผ้าเหลือง โดยการยอมรับกลไกของกฎหมาย และได้รับการปล่อยตัวในที่สุด แม้ว่าจะต้องปล่อยให้แม่ตาบอดดังเดิม ถึงกระนั้น แม้ว่าแม่จะได้ปลาบปลื้มใจตอนที่ปอกล่าวคำขอบวช ซึ่งควรจะเป็นการ "เห็น" ผ่านการได้ยิน
แต่ประเด็นเรื่อง "เห็น" ชายผ้าเหลืองก็กลับมาอีกครั้ง โดยการที่แม่ร้องไห้และบ่นเสียดายว่าไม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูก ถึงตอนนี้พระปอได้จับมือแม่
ให้มาสัมผัสกับชายจีวรของท่าน การกระทำเช่นนี้ แม้จะเป็นอาบัติทุกกฎ คืออาบัติที่ต้องสารภาพต่อหน้าพระภิกษุรูปอื่น แต่ก็เป็นทางเลือกที่ให้ผลกระทบน้อยกว่ามาก คล้ายกับหนังกำลังตั้งจะบอกว่า หากจะต้องเลือกทำผิดกฎเกณฑ์
การเลือกทางที่ผิดน้อยกว่า น่าจะเป็นทางที่มนุษย์พึงเลือกมากกว่านั่นเอง

ไสยศาสตร์และพุทธศาสตร์

ความจริงแล้วสองศาสตร์นี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่องค์ประกอบบางอย่างในหนังก็สร้างเส้นที่ซ้อนทับ ระหว่างสองศาสตร์นี้ เช่นให้เจ๊คุมซ่อง มักสวดบนบานก่อนการเล่นไพ่ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวัน แต่ขณะสวด ก็พร้อมจะตะคอกลูกน้องได้ และการให้พระชื่นสวดมนต์ กับกล่าวว่า ลูกตระหนักแล้วว่าขันธ์ทั้ง 5 เป็นภาระขนาดหนัก ทั้งที่คำกล่าวนี้ไม่ได้มาจากการเห็นด้วยปัญญาที่แท้จริง ว่าขันธ์ดังกล่าวเป็นของหนัก ต้องดูแลรักษาให้น้ำให้อาหาร ชำระล้างเป็นประจำ เป็นภาระแก่ใจ แต่กล่าวเพราะภัยแห่งการทำผิดกำลังย้อนกลับมาหาตัว
บ่อยครั้งที่เราเห็นคนเข้าวัดทำบุญ สวดมนต์ ระเบิดอารมณ์จนไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะเข้าวัดจริงๆ เหมือนผีเข้าผีออก และบางครั้งก็มองเทียบกันไปโดยปริยายว่า การสวดมนต์ขอผีสางกับการสวดต่อหน้าพระพุทธรูปหรือสัญลักษณ์ที่มองเห็นแห่งพระพุทธองค์นั้น ไม่เห็นต่างอะไรกัน แท้ที่จริงแล้ว คนเราจะรู้ค่าของธรรมะได้นั้น อาจไม่ใช่เพียงแค่การรู้ความหมายของบทสวดมนต์ แต่ต้องมาจากความเข้าใจทางปัญญา อันได้แก่ภาวนามยปัญญา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไรสำหรับชาวพุทธยุคนี้ที่มีพระไตรปิฎก และธรรมะจากพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบออนไลน์ในอินเตอร์เน็ต เว้นแต่อาจถูกกิเลสหลอกว่ายากเกินไปที่ตนจะเข้าใจพระธรรม


มาฆบูชา

หนังเข้าใจใช้วันมาฆบูชาซึ่งเกิดเหตุการณ์สำคัญได้แก่พระอรหันต์ 1250 รูปมาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมาย มาเป็นส่วนหนึ่งในหนัง ซึ่งตรงกับช่วงที่พระทุกรูปมาอยู่ในโบสถ์ แต่สิ่งที่ตรงข้ามกันคือพระในหนังไม่ได้มาด้วยความเต็มใจ
แต่เป็นเพราะถูกบังคับ ส่วนผู้ที่บังคับก็มีจิตอกุศล คือโลภอยากได้เงินที่ขโมยเขามา การรวมทุกตัวละครสำคัญ ทั้งพระในวัด ฆราวาสทั้งชายหญิง ซึ่งไม่ได้ก่อเกิดประโยชน์ทางจิตใจนี้ อาจเป็นการตั้งคำถามถึงการปฏิบัติตัวของพุทธบริษัท
อันได้แก่ พระสงฆ์และฆราวาส ก็ได้ ว่าพิธีกรรมที่ทำกันในวันสำคัญนั้น พระสงฆ์สามารถให้มากกว่าเครื่องลางของขลังได้หรือไม่ ฆราวาสทำได้ดีกว่าเดินเตะฝุ่นรอบโบสถ์ขณะเวียนเทียนได้หรือไม่ อีกการรวมตัวที่น่าสนใจก็คือ การที่พระป่านเทศน์ว่าให้สอนลูกดีๆ ให้ลูกอยู่รวมกับพ่อแม่เป็นครอบครัว ดีกว่าเข้าเมืองไปหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่าย ดูคล้ายกับที่พระอริยสงฆ์ทั้ง 1250 รูปนั้นได้รับการบวชโดยพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพ่อแม่ทางธรรม ได้กลับมารวมตัวกันในวันนี้ แม้การกลับมารวมตัวของครอบครัวจะเป็นเหมือนอุดมคติ แต่หากเกิดขึ้นได้ ความอบอุ่นและความสุขในสังคมไทยอาจกลับมาอบอวลใกล้เคียงกับสมัยรุ่นปู่ย่าอีกครา


มายา

พระชื่นกล่าวว่า เงินทองเป็นเพียงมายา ซึ่งก็ตรงกับการที่ผู้ชมไม่เคยได้เห็นเงิน 7 ล้านกับตาสักฉาก แม้เราจะได้เห็นว่า เงินนั้นแปรสภาพเป็นรถเบนซ์ และความสุขสบายที่ทิดชื่นติดตัวมาในฉากสุดท้าย แต่ในที่สุดก็ถูกลงโทษด้วยคดีลักทรัพย์ เงินจึงเป็นเหมือนภาพลวงตา ซึ่งเปลี่ยนมือไปมานับครั้งไม่ถ้วน และไม่ว่าจะร่ำรวยแค่ไหน หากปราศจากความดีและความชอบธรรมในการครอบครองเงินแล้ว ก็ไม่อาจเสพสุขจากเงินได้ตลอดกาล ต้องเห็นเงินหลุดมือไปพร้อมกับอิสรภาพนั่นเอง




 

Create Date : 25 มีนาคม 2553
13 comments
Last Update : 25 มีนาคม 2553 11:10:24 น.
Counter : 9965 Pageviews.

 

เรื่องนี้เพิ่งไปดูมาเมื่อวาน
ผมชอบบทหนังกับการแสดงครับ


ปล. แต่แง่คิดในเรื่องนี้มีให้เยอะจริงๆ

 

โดย: ไอซ์คุง (ปีศาจความฝัน ) 25 มีนาคม 2553 14:41:45 น.  

 

อยากดูอีกกกกกกกกก

 

โดย: ว่านิทพย์ IP: 202.44.8.100 25 มีนาคม 2553 14:45:27 น.  

 

อยากดูมากกกกกกกกก

 

โดย: Motdktw 26 มีนาคม 2553 2:50:59 น.  

 

วิเคราะห์ได้เยี่ยมเลยค่ะ ขอปรบมือให้

ชอบมุมมองของคุณจัง นำมาโยงกับเรื่องทางศาสนาได้ดี
ส่วนตัวคิดว่าพยายามเก็บรายละเอียดแล้ว แต่ยังนึกไม่ได้ถึงขนาดนี้

เข้าบล็อกนี้ครั้งแรกประทับใจมากค่ะ...ขอกลับไปอ่านบล็อกเก่าๆของคุณด้วยดีกว่า

 

โดย: ละอองลม (wind_drizzle ) 26 มีนาคม 2553 10:25:32 น.  

 

เรื่องของมายานี่ จริงๆแล้ว ทุกอย่างก็เป็นมายานะค่ะ

ตั้งแต่ตัวภาพยนตร์เอง ก็เป็นเพียงภาพที่กระพริบขึ้นไปบนจอ ความสุขในการได้ดูหนัง ความสุขของคนต่างๆในภาพยนตร์ ทุกอย่างล้วนเป็นมายา (การแสดง)

(ฮ่าๆๆ พยายามมากเลยเรา :p)

 

โดย: ไผ่หวาน IP: 124.120.146.17 26 มีนาคม 2553 11:58:06 น.  

 

การใช้มายาเพื่อสื่อถึงมายา หรือว่าการใช้มายา(เงิน)และซื้อมายา(หนัง) ก็ไม่ได้ทำให้มายานั้นมันจริงขึ้นมาได้ สิ่งที่จริงนั้นอยู่ที่ความคิดของเรา ว่าเราได้อาไรจากมายานั้นๆ มายาที่เกิดและดับไป แต่อาจทำให้เราได้ความสุขที่ยั่งยืน +_+

 

โดย: ไผ่หวาน IP: 124.120.146.17 26 มีนาคม 2553 11:59:00 น.  

 

ผมก็ดูมาแล้วเหมือนกัน หนังสนุกดีครับ แบบว่าหักมุมดี

 

โดย: Thian K IP: 58.11.36.157 26 มีนาคม 2553 15:25:42 น.  

 

เป็นหนังหนึ่งเรื่องที่พลาดไป ยังไม่ได้ดู เพราะงั้นขอยังไม่อ่านนะจ๊ะ รอดูก่อนจะมาอ่านอีกรอบ

ไม่มีอะไร คิดถึงเลยมาทักทายจ้า

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 5 มิถุนายน 2553 17:34:38 น.  

 

สวัสดีครับ คงสบายดีนะครับ ไม่รู้ยังจำเราได้ปล่าว นานๆเราแอบมาแวะที่
Bloggang บ้าง อยากกลับมาเขียนบล๊อกอยู่เหมือนกัน แต่หายไปนานไม่รู้จะเขียนอะไรดี

เดี๋ยวว่างๆ เขียนมาทักใหม่นะครับ :)

 

โดย: tenz 28 สิงหาคม 2553 15:04:26 น.  

 

วิเคราะห์ได้เยี่ยมไปเลยจ้า อนุโมทนาด้วยนะจ๊ะน้องบิว
(^/l\\^)

พี่ก็อยากให้สังคมยุคปู่ย่ากลับมาเหมือนกันนะ
เวลาอ่านหนังสือของคุณท.เลียงพิบูลย์แล้วอยากเจอสังคมแบบนั้นบ้าง
แต่ก็ต้องทำใจเพราะนี่มันก็เลยกึ่งพุทธกาลแล้วเนอะ
คงต้องถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้เร่งปฏิบัติไม่มัวประมาท

ปล.ที่น้องบิวคอมเม้นต์ในบลอคพี่อันก่อนนี่น้องบิวไปพักที่เดียวกะพี่เลยใช่ป่าวจ๊ะ

 

โดย: Hobbit 14 กันยายน 2553 11:00:41 น.  

 

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพรปีใหม่พุทธศักราช 2554 ให้แก่ประชาชนชาวไทย ความว่า ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ ธรรมที่ประพฤติดีแล้วนำสุขมาให้ ..

สวัสดีปีใหม่ค่ะ..

 

โดย: ป่ามืด 2 มกราคม 2554 13:28:37 น.  

 

สวัสดีปีใหม่ค่ะ

 

โดย: ป่ามืด 6 มกราคม 2555 21:52:38 น.  

 

สวัสดีปีใหม่ค่ะ

สุขกายใจ ไร้โรคภัยนะคะ

 

โดย: ป่ามืด 2 มกราคม 2556 16:16:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Mint@da{-"-}
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ตามรู้กายและใจ
ดูหนังและอ่านหนังสือ
คือความสุขอันดับต้นๆ ของชีวิต


**ฝาก comment ด้วยนะคะ ขอบคุณมาก ^^




Friends' blogs
[Add Mint@da{-"-}'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.