Beauty ♥ Yamashita Study

สวัสดีค่ะสาวๆทุกคน วันนี้นิมาเขียนบล็อกในเชิงความรู้กันซักหน่อย
ซึ่งจะเน้นในเรื่องการการดูแลตัวเองจากภายในกันค่ะ
ในทุกวันนี้อย่างที่ทราบกันดีว่าปัจจัยในหลายๆเรื่องมีผลกระทบโดยตรงกับตัวเรา
ไม่ว่าจะเรื่องของสุขภาพหรือแม้กระทั่งความงาม

เราทราบกันดีว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สุขภาพเราดี
การดื่มน้ำเฉลี่ยวันละ 8-10 แก้ว การออกกำลังกาย
การเลี่ยงความเครียด หรือกระทั่งการทานสารอาหารที่มีประโยชน์
ซึ่งถ้าหากเราดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะมีการหลั่งสารต้านอนุมูลอิสระขึ้นมา
เพื่อช่วยให้ยังสุขภาพดี และผิวพรรณของเราก็ยังคงเต่งตึง ดูอ่อนเยาว์


ซึ่งนวัตกรรมใหม่ๆในทุกวันนี้ ทำให้เราค้นพบสารต่างๆมากมาย
ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกับผิวเรา หนึ่งในนั้นคือ




"แอสตาแซนธิน"
เป็นสารธรรมชาติ มีสีสมแดงถึงแดงเข้มซึ่งคล้ายกับสีแดงของทับทิม จะมีในสัตว์ทะเลน้ำจืด
อย่างเช่น ปลาแซลมอน ไข่ปลาคาเวียร์ กุ้งมังกร และปู(แต่มีในปริมาณน้อย)
และยังพบในสาหร่ายขนาดเล็ก เช่น สาหร่ายฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส
ซึ่งสาหร่ายสายพันธ์นี้ถูกจัดว่าเป็นสาหร่ายที่มีสารแอสตาแซนธินมากที่สุด

จากที่นิอ่านข้อมูลมา สารแอนตาแซนธินที่มีในสัตว์ที่กล่าวมา
จะส่งผลให้สัตว์เหล่านั้นมีสีส้มไปจนถึงสีแดง
ซึ่งสารตัวนี้ทำให้สัตว์เหล่านี้มีการเติบโตและแข็งแรง
แต่ในตัวของสัตว์เหล่านี้กลับไม่สามารถสังเคราะห์สารตัวนี้ได้เอง
แต่มันจะรับสารตัวนี้จากพืชค่ะ ซึ่งพืชที่มีสารตัวนี้ได้มากที่สุดคือ




สาหร่ายฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส ซึ่งเป็นสาหร่ายเซลล์เดียว
โดยปกติแล้วก็จะเป็นสาหร่ายสีเขียวธรรมดาทั่วไป แต่ความพิเศษของสาหร่าย
สายพันธ์นี้ที่ไม่ธรรมดาเลยก็คือ สาหร่ายสายพันธ์นี้
สามารถผลิตสารแอนตาแซนธินนี้ได้ด้วยตนเอง เพื่อนำมาใช้เพื่อช่วยปกป้องเซลล์
จะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ แม้ว่าจะขาดน้ำหรืออาหารได้นานถึง 40 ปี
และเมื่อกลับสู่สภาวะปกติ คือมีน้ำมีอาหาร สาหร่ายสายพันธ์นี้
ก็จะสามารถปรับตัวมาเป็นสีเขียวได้เหมือนเดิม





กลับมาที่สารแอนตาแซนธิน
สารตัวนี้มีดียังไง?
แอสตาแซนธินจะยับยั้งการทำงานของอนุมูลอิสระ
หรือที่เราได้ยินกันชินหูว่า "ต้านอนุมูลอิสระ" นั่นเอง
มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซี 6000 เท่า
สูงกว่าโคเอนไซน์ Q10 800 เท่า
และสูงกว่าวิตามินอี 550 เท่า
ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่า อนุมูลอิสระนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ผิวของเราเสื่อมโทรมลง
และสิ่งที่กระตุ้นให้อนุมูลอิสระเกิดขึ้นนั้นก็มาจากความเครียด
สภาพแวดล้อมที่ไม่ดี แสงแดด การทานอาหารมัน ทอด ปิ้ง เป็นต้น

นั่นแปลว่า สารตัวนี้ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อผิวของเราเนื่องจากสามารถ"ต้าน"อนุมูลอิสระได้
ซึ่งได้มีการวิจัยมาแล้วว่าแอสตาแซนธินอาจช่วยลดริ้วรอย
และผิวเหี่ยวย่นและเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวด้วย
เรียกได้ว่าลดปัญหาผิวได้ทั้ง 5 ประการเลยทีเดียว
ในปัจจุบันแอสตาแซนธิน
ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศในยุโรปให้ใช้สำหรับทานได้
และในอเมริกาก็ได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยาให้นำมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้
ซึ่งในประเทศไทยก็ผ่าน อย.แล้วเช่นกันค่ะ


สุขภาพที่ดีก็จะส่งผลให้ผิวของเราดีด้วย
แล้วผิวที่ดี มีอะไรบ้างที่บ่งบอกเราว่า "เราผิวดีนะ"
ปัจจัยหลักๆที่เราจะดูมี 5 ข้อค่ะ

1. ความเรียบเนียน (Texture)
2. ริ้วรอย (Wrinkle)
3. ความชุ่มชื่น (Hydration)
4. ความแห้ง (Dryness)
5. ความยืดหยุ่น (Elasticity)

ซึ่งนิได้ไปลองตรวจสภาพผิวมาแล้ว
เป็นการตรวจสภาพผิวที่เป็นวิธีเดียวกับ Yamashita Study
โดยให้อาสาสมัครล้างหน้าก่อนทำการตรวจสภาพผิวเสมอ
เพื่อความเสถียรของการวัดผล และทำการตรวจภายใต้ห้องที่ควบคุมอุณหภูมิ
และความชื้นสัมพัทธ์อีกด้วย เรียกได้ว่าทดสอบกันแบบเป้ะทุกกระเบียดนิ้ว

พารามิเตอร์ในการตรวจสุขภาพผิวประกอบไปด้วย

1. แบบสอบถาม โดยถามความรู้สึกหลังทาน
2. การตรวจวิเคราะห์สภาพผิวโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
3. การตรวจวัดความชุ่มชื้นของผิว โดยใช้เครื่องวัด
Corneous moisture content (electrical conduction MS)
ที่บริเวณหางตาและแก้ม
4. การตรวจวัดไขมันที่ชั้นผิวหนัง (Sebum) ที่บริเวณหางตาและแก้ม
5. การตรวจสภาพผิวทั้งหน้าด้วยการถ่ายภาพ ภายใต้กล้องกำลังขยาย 60 เท่า

มีทั้งหมด 2 เคสที่เค้าทดลองกัน

เคสแรก Yamashita E.2002
อาสาสมัครผู้หญิงอายุ 40 ปีจำนวน 16 คน
ทดลองทานแคปซูลของสารแอนตาแซนธินและวิตามินอี
โดยให้ทานหลังอาหารทุกวัน หลังอาหารเย็นยาวนาน 4 สัปดาห์
ซึ่งจะมีการตรวจสภาพผิวเก็บผลการทดสอบในสัปดาห์ที่ 2 และ 4

ผลลัพธ์ที่ได้จากอาสาสมัครนั้นพบว่า
อาสาสมัครรู้สึกว่าริ้วรอย จุดด่างดำ ดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 การเกิดสิวลดลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 4
และผลการวิเคราะห์ผิวจากผู้เชี่ยวชาญและการตรวจสอบความชุ่มชื้นผิวพบว่า
ความเรียบเนียน ความชุ่มชื่น ความยืดหยุ่น การเกิดสิว ความหย่อนคล้อยของผิว
ริ้วรอยรอบดวงตามีการเปลี่ยนแปลงแบบมีนัยสำคัญ



เคสที่สอง Yamashita E.2006

อาสาสมัครผู้หญิงอายุ 46 ปี  49 คน
ทานแคปซูลของแอนตาแซนธินเพียงอย่างเดียว
โดยให้ทานทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ยาวนานถึง 6 สัปดาห์
โดยมีการตรวจวัดผิวในสัปดาห์ที่ 3 และ 6 เพื่อติดตามผล

ผลที่ได้นั้นพบว่าตั้งแต่สัปดาห์ที่ 3 จนถึงสัปดาห์ที่ 6 อาสาสมัครรู้สึกว่า
สุขภาพผิวดีขึ้น คือความแห้งและหยาบกระด้างของผิวลดลง
ผิวมีความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น ริ้วรอยลดลง




แต่ในการตรวจของนิ เป็นการตรวจที่ไม่เสถียรมาก
เพราะมีเมคอัพอยู่บนผิวตอนตรวจ (ถ้าอยากได้ผลชัวร์ๆควรล้างหน้าก่อนค่ะ)
พูดได้เลยว่าสลดใจ แต่ก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ค่ะ เพราะพฤติกรรมส่วนตัวนิค่อนข้างบ่งบอก
คือนิจะเป็นคนที่ดื่มน้ำน้อย ทานอาหารไม่เป็นเวลา นอนไม่เป็นเวลา
แถมยังไม่ออกกำลังกายอีกต่างหาก เรียกได้ว่าตัวกระตู้นอนุมูลอิสระของนิครบทีเดียว

เจ้าเครื่องนี้จะช่วยตรวจเช็คสภาพผิวของเรา
โดยที่เราจะทาบเครื่องนี้ไปที่ช่วงโหนกแก้มและหางตาค่ะเพื่อทำการตรวจวัดผิว




เมื่อตรวจเช็คสภาพผิวแล้ว
เครื่องก็จะประมวลผลให้เป็นตัวเลขเพื่อความเข้าใจง่ายและชัดเจน
แล้วเราก็นำตัวเลขที่ได้ไปเทียบกับตารางที่ได้ทำการวิจัยมาแล้ว
ว่าในแต่ละปัจจัยนั้น มีเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่บ้างที่เรียกว่าผิวที่ดี






แล้วยังมีในเรื่องของการซูมดูผิวด้วยกล้องกำลังขยาย 60 เท่า
เพื่อเจาะลึกไปในเรื่องของรูขุมขนและริ้วรอยต่างๆค่ะ
(ส่วนนี้ก็เช่นกัน หากตรวจเมื่อผิวไม่ได้รับการแต่งหน้า จะได้ผลที่ชัดเจนกว่าค่ะ)







ทีนี้เราก็จะได้ผลในแต่ละปัจจัยของผิวเราออกมาเป็นตัวเลข
ซึ่งสามารถนำไปเทียบกับตารางได้เลยแบบเห็นกันชัดๆว่า
เรามีปัญหาผิวตรงจุดไหนบ้าง






และเมื่อนำผลตัวเลขของนิไปวัดแล้วนั้น.....
"เจออย่างเงี้ยะ ไม่ให้ช๊อค ไม่ได้แล้ว" ประโยคนี้ขึ้นมาในสมองเลย

ผลที่ได้คือ....นี่หรือความชุ่มชื่น?
นี่หรือความยืดหยุ่น
นี่หรือความเนียนใส....อะไร อะร๊ายยย!!!

ต้องดูแลขั้นเร่งด่วนสุดๆเลยค่ะ T^T




ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น นิคิดว่าผลของการตรวจวัดผิวเป็นในเรื่องของสภาวะชีวิตช่วงนั้นๆด้วย
บางช่วงเวลาเราเครียด บางช่วงเวลาเรานอนน้อย ซึ่งจะทำให้ผลที่ได้ผันแปลตามไปได้เหมือนกัน
ส่วนตัวนิดูจากผลที่ได้แล้ว แม้จะเป็นการวัดที่ไม่เสถียร(เพราะมีเมคอัพตอนที่ตรวจเช็คผิว)
แต่ก็ถือเป็นสัญญาณเตือนในระดับนึงเหมือนกันว่า การดูแลผิวแบบเดิมๆของนิ
มันอาจจะยังไม่เพียงพอค่ะ นิต้องหมั่นดูแลตัวเองเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วนแล้วล่ะ ><

ในเรื่องของแอนตาแซนธินก็ถือเป็นเรื่องใหม่ที่น่าสนใจ
 อย่างที่บอกไว้ค่ะว่า
ประสิทธิภาพในเรื่องของการต้านอนุมูลอิสระนี่จากที่นิลองศึกษามา
มันมีประสิทธิภาพสูงกกว่าวิตามินซี วิตามินอีเยอะเหมือนกัน


อย่างที่ทราบกันนะคะว่าเราจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด
ต้องดูแลทั้งภายนอกและภายใน
เรื่องอาหารการกิน การดื่มน้ำ การออกกำลังกายเป็นส่วนสำคัญหลักๆที่ควรทำ
แต่หากมลภาวะ ความเครียด หรือแม้กระทั่งวัยที่ร่วงโรยมันส่งผลกระทบต่อเรามากๆ
การมีตัวช่วเสริมเข้ามาก็ถือเป็นเรื่องที่ดี หากไม่เกินกำลังของเราอ่ะนะ
ส่วนตัวไม่ได้เชียร์ว่าควรไปหาอาหารเสริมมาทาน
เพราะการรับสารอาหารจากมื้อหลักเป็นเรื่องสำคัญกว่าอยู่แล้ว
แต่ถ้าหากศึกษามาอย่างดีแล้วว่า สิ่งเหล่านั้นมันปลอดภัยและดีต่อตัวเรา
คือช่วยเสริมให้เราสุขภาพดีขึ้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีค่ะ

บล็อกนี้ยาวมากเลย เขียนนานมากด้วย
เพราะโดยส่วนมากจะไม่ค่อยได้เขียนเกี่ยวกับหลักวิชาการเท่าไหร่
แต่พอดีนิได้ข้อมูลตรงนี้มาและคิดว่ามันก็น่าสนใจนะ
เลยลองเขียนมาให้อ่านกันค่ะ
มีคำติชมอะไรบอกได้นะคะ เพราะนิก็ไม่ได้แม่นอะไรมาก แนะนำได้เลยค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ







Create Date : 25 กรกฎาคม 2556
Last Update : 25 กรกฎาคม 2556 12:38:24 น. 0 comments
Counter : 2964 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

miNipanda-z
Location :
นครราชสีมา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 236 คน [?]





Twitter




email


Twitter


Instagram






Main Page


Kute Club




Group Blog
  • Blog Arts
  • Blog Arts
  • Blog Update
  • Blog Chill
  • Blog Diary
 
<<
กรกฏาคม 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 กรกฏาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add miNipanda-z's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.