ไม่ได้ดูหนังอินเดียมานานมากจำได้สมัยเด็กๆ ช่องเจ็ดชอบเอามาเปิด และเกือบทุกเรื่องพระนางต้องเต้นจีบกันข้ามป่าข้ามเขาเป็นอันเพลิดเพลิน แต่กับหนังเรื่อง The Lunchbox นี้ครั้งแรกที่เห็นโปสเตอร์ก็บอกกับตัวเองว่า เราจะไม่พลาดหนังเรื่องนี้
The Lunchbox มีชื่อไทยงามๆว่า เมนูต้องมนต์รัก เป็นเรื่องราวของ Saajan Fernandes(ถ้าจำไม่ผิดซับในหนังถอดว่า ราจัญ) ชายผู้ใกล้เกษียณงานในอีกไม่กี่สัปดาห์ภรรยาของเขาตายไปนานแล้ว นั่นทำให้ราจัญไม่คบหาใคร ชีวิตของเขาในแต่ละวันคือทำงานและกลับบ้านเพียงลำพังเสมอ
และอีกฟากหนึ่ง เธอคือหญิงสาวสวยนามว่า Ila อิลามีลูกสาวหนึ่งคนพร้อมกับสามีที่ความสัมพันธ์เริ่มห่างเหินกันเพราะสามีทำงานหนักและมักจะกลับบ้านดึกเสมอๆด้วยความสัมพันธ์ที่กระอักกระอ่วนใจเช่นนี้คุณป้าผู้อาศัยอยู่ชั้นบนของแฟลตจึงแนะนำให้อิลาทำอาหารกลางวันให้สามีโดยจ้างคนรับจ้างส่งอาหารปิ่นโต(dubba wallas)เพราะป้าเชื่อว่าเสน่ห์ปลายจวักจะทำให้สามีของอิลากลับมาหลงใหลเธอเหมือนเดิมแต่แล้วเรื่องราวก็เกิดขึ้นเมื่อคนส่งปิ่นโตนั้นส่งปิ่นโตไปผิดที่และผู้ที่ได้กินอาหารกลางวันฝีมือของอิลาคือ ราจัญ นั่นเอง
หนังพาเราเข้าสู่โหมดโรแมนติกเล็กๆผ่านการส่งปิ่นโตไปผิดที่ เมื่ออิลาสงสัยว่าสามีไม่ได้รับปิ่นโตของเธอเธอจึงใส่จดหมายเข้าไปในปิ่นโตและนั่นทำให้ราจัญกับอิลาคุยกันผ่านจดหมายสั้นๆและชีวิตของทั้งคู่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป และกลายเป็นความรักที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ
The Lunchboxได้รับคำชมว่าเป็นหนังที่ดีที่สุดตลอดกาลเรื่องหนึ่งของอินเดียและกวาดรางวัลมามามากมายโดยเฉพาะได้รางวัลที่งาน Cannes Film Festival 2013เมื่อได้ดูหนังก็รู้สึกว่า The Lunchboxเป็นหนังที่อิ่มเอมและมีลูกล่อลูกชนในการเล่าเรื่องอยู่มากเราทึ่งกับฉากการขนส่งปิ่นโตอันมหาศาลจากรถไฟไปยังออฟฟิศต่างๆในเรื่องปิ่นโตส่งไปผิดที่แต่เรื่องจริงว่ากันว่าเกิดความผิดพลาดน้อยมากเป็นเรื่องน่าทึ่งจริงๆ! ฉากบนรถไฟก็ดูแออัดสมคำร่ำลือ
แต่ฉากที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นฉากที่ราจัญได้คุยกับคนขับรถตุ๊กตุ๊กว่ามีแม่กระโดดตึกตายพร้อมกับลูกในช่วงเวลาที่อิลาเขียนจดหมายเล่าให้ราจัญฟังพอดีว่าครอบครัวของเธอมีปัญหาและเธอจับได้ว่าสามีมีชู้วันนั้นปิ่นโตมาส่งถึงช้าแต่แล้วราจัญก็โล่งอกเมื่อได้ดมกลิ่นเครื่องเทศในปิ่นโตและรู้ว่าอิลาไม่ใช่แม่ลูกคู่นั้น
"บางทีการนั่งรถไฟผิดขบวนอาจนำเราไปสู่จุดหมายที่ใช่ก็ได้"
เป็นประโยคที่หนังหยิบยกมาเอ่ยถึงเพื่อบอกว่าบางครั้งโชคชะตาอาจพาเราไปเจอกับเรื่องที่เราคิดว่าไม่ใช่แต่ท้ายที่สุดการเลือกที่ไม่ใช่นั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เราตามหามาตลอดชีวิตก็ได้เหมือนกับปิ่นโตที่ส่งไปผิดที่ผิดทาง แต่กลับทำให้ชีวิตของคนสองคนมีรสชาติมากขึ้น
ราจัญจากคนที่ไม่สนใจสิ่งรอบข้างเขากลับหยุดมองศิลปินที่วาดภาพข้างถนนทั้งๆ ที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อน หรือการที่เขารีบกินข้าวตรงเวลาทั้งๆที่ตอนแรกๆ ลุกไปกินตอนบ่ายกว่าๆ แล้ว (สังเกตเพื่อนที่นั่งข้างๆจะมองอย่างสงสัยมากว่าราจัญแปลกไป) หรือแม้แต่การกินอาหารกลางวันกับ เชค หนุ่มกำพร้ามีอารมณ์ขันที่มาฝึกงานกับราจัญเพื่อเตรียมรับช่วงต่อเมื่อเขาเกษียณงานจากชีวิตที่ว่างเปล่าของคนสองคนจึงค่อยๆ มีรสชาติเหมือนอาหารอินเดียที่จัดจ้านทั้งกลิ่นเครื่องปรุงและเครื่องเทศ
ว่ากันตามจริงแล้วหนังมีส่วนดราม่าปัญหาชีวิต ความโดดเดี่ยวหลังภรรยาเสีย หรือความโดดเดี่ยวที่ฝ่ายหนึ่งพยายามประคับประคองครอบครัวในขณะที่อีกฝ่ายกลับไปมีผู้หญิงอีกคนแต่ส่วนดราม่านี้กลับกลมกล่อมด้วยความรู้สึก Feel good เพราะทุกชีวิตมีปัญหาอยู่แล้วเพียงแต่ถ้าเราไม่จับมันมาคร่ำครวญ ท้ายที่สุดชีวิตจะเดินทางไปยังจุดหมายได้เองแค่ค่อยเป็นค่อยไปกับชีวิต ก็เหมือนกับการปรุงอาหาร ถ้าขาดส่วนผสมไหนก็แค่หามาเติมหรือถ้าใส่อะไรมากไปก็เรียนรู้ที่จะหาอะไรสักอย่างมาทำให้รสชาติดีขึ้น
The Lunchboxจึงเป็นหนังโรแมนติกเล็กๆ ดราม่าหน่อยๆแต่เมื่อดูจบแล้วจะรู้ว่าหัวใจของคุณพองโตและอมยิ้มพร้อมกับลุ้นให้ตอนท้าย รถไฟผิดขบวนที่ราจัญตัดสินใจขึ้น จะเป็นรถไฟที่ถูกขบวนและเจอปลายทางที่เขาอาจจะรอคอยมานาน