สำหรับหนังสือนิยายรางวัลซีไรต์ปี 58 เป็นนิยายเล่มบางๆที่เพิ่งมีโอกาสได้อ่านจนจบเมื่อไม่นานมานี้เองเอาเป็นว่าจะมาเล่าเรื่องความรู้สึกหลังอ่านละกัน ถ้าเรื่องย่อที่หาอ่านได้ทั่วไปก็จะบอกว่านี่เป็นรักสามเส้าของสองสาวพี่น้องชาลิกากับชารียา กับ ปราณ หนุ่มข้างบ้าน บวกกับเรื่องเล่าของตัวประกอบในเรื่อง ซึ่งเรื่องของแต่ละคนก็กึ่งจริงกึ่งฝันยังไงไม่รู้ แต่ในความเห็นเรามันเน้นไปที่โลกของชารียามากกว่า ในเล่มบรรยายความรู้สึกของเธอบ่อยมาก รองลงมาก็จะเป็นปราณ ขนาดเราชอบชาลิกา สาวคนพี่ เธอก็ออกมาน้อยเหลือเกิน
ถ้าจะบอกถึงคอนเซปของเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่า พวกเธอนี่ไม่สตรองกันเล้ยยยยย ก็นะถ้าพวกเขาเข้มแข็งมันก็คงกลายเป็นเรื่อง ผีเสื้อเริงร่าท้าโลกกว้าง ไป555 ทั้งปราณ ชาลิกาและชารียาเป็นผลพวงของครอบครัวแตกแยก แม้จะมีลุงธนิตเข้ามาดูแลอย่างดี แต่เมื่อพวกเขาโตขึ้น ชารียาก็ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับผู้ชายอีกหลายคนเพื่อค้นหาความรักที่ตัวเองขาดแคลนอยู่ลึกๆ แต่ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รักเธอจริงเลยสักคน ต่างคบหาและทิ้งเธอไปในที่สุดกันหมด ระหว่างช่วงนั้นเองเมื่อปราณที่แอบรักเธอมาตลอดจะพยายามเข้ามาดูแล เธอก็สานสัมพันธ์กับเขาไปด้วย แต่พอเเฟนเก่ากลับมาเธอก็หวนไปหาแฟนเก่าอีก ฝ่ายปราณเมื่อผิดหวังจากชารียาก็กลับไปที่บ้านเดิมและใช้ชาลิกาเป็นที่บรรเทาทุกข์แต่ก็พบว่าตัวเองไม่อาจลืมชารียาได้สักที สุดท้ายเขาตัดสินใจจากหญิงสาวทั้งสองไปตามลำพัง ฝ่ายชาลิกาที่ถูกปราณทิ้งไปก็ตรอมใจจนไม่เป็นอันทำอะไร ต่อมาชารียาพบว่าแฟนเก่าไม่ได้รักตัวเองจริงๆเพราะเมื่อตกลงกันว่าจะฆ่าตัวตาย เธอทำดังว่าแต่เขากลับหนีไปซะเฉยๆ เมื่อเธอรอดตายมา เธอจึงคิดได้แล้วออกตามหาปราณ แต่ก็ไม่พบเพราะว่าเขาถูกรถชนตายไปแล้ว ชารียาจึงกลับมาดูแลพี่สาว แต่ชาลิกาอยู่ได้ไม่นานก็ตายลง ทิ้งให้ชารียาอยู่ตัวคนเดียว
ความจริงเรื่องนี้ตัวประกอบเยอะมากนะ ต่างคนต่างมีเรื่องราวเป็นของตนเอง ทั้งแม่ผู้เอาแต่เศร้าโศกยึดติดกับสามี พ่อของสองสาวที่หลงรักเมียน้อยจนแทบไม่รับผิดชอบครอบครัว รสรินเมียน้อยที่หักห้ามใจตัวเองไม่ได้ พ่อที่ฉีดยาเสพติดให้ลูกจนช็อกตาย นทีผู้ชายขี้มโน แต่หลายๆตัวละครมาในแบบที่เข้าใจได้ค่อนข้างยากยังไงไม่รู้ เช่น ลุงธนิตที่ไปมีอะไรกับหญิงที่มีสามีมีลูกแล้วเพราะรำลึกได้ว่าเป็นกรรมจากอดีตชาติแล้ววันรุ่งขึ้นก็บวชไม่สึกตลอดชีวิต นวลที่มีสามผัวลูกห้าก็ไม่ได้อธิบายว่าเธอวางตัวหรือจัดการกับปัญหาในครอบครัวยังไง ที่อ่านแล้วแทบจะขว้างหนังสือทิ้งคือ ชาลิกาที่ดูเข้มแข็งมาตั้งแต่ต้น ไม่เรียนต่อ ทำขนมขายเลี้ยงตัวเองได้ อยู่กับปราณโดยไม่แต่งงานไม่แคร์เสียงชาวบ้าน เออ แบบคิดว่าอย่างน้อยๆยังมีใครที่พอจะยืนหยัดได้บ้าง แต่พอผู้ชายที่ชอบมาอยู่ด้วยอาทิตย์ละวันหายไปแค่คนเดียว ก็เศร้าสร้อยจนไม่เป็นอันทำอะไร กรรม กลายเป็นแบบแม่ตัวเองไปซะได้ อนิจจา เอวังเลย
แล้วก็การบรรยายแบบพาดพิงความรู้หลากหลายสาขาคือ ดนตรีคลาสสิก ดนตรีร็อค อาหารนานาชาติ ต้นไม้ สถานที่ ผ้าโบราณ คือมันก็ดีอยู่หรอกนะแสดงให้เห็นว่าคนเขียนมีความรู้กว้างขวาง แต่พอคนอ่านที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องเหล่านั้นด้วยไปอ่านแล้วมันจะไม่ "เก็ต" รวมถึงไม่อินน่ะ ที่เคยอ่านดอนกิโฆเต้เราจะรู้ว่าคนเขียนเขาตั้งใจจะล้อนิทานพื้นบ้าน เรื่องราวอัศวินของสเปน แต่พอคนอ่านที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้เป็นพื้นฐานอ่านไปก็ต้องพลิกหน้าหลังไปดูการอ้างอิงไป มันทำให้การอ่านติดขัดเช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่เรายอมรับว่าไม่ได้ฟังรายการสีส้ม เอี่ยมสรรพางค์ มานานแล้ว พอมาอ้างเพลงของบาค บราห์ม ชูเบิร์ต ชูมัน ชูเผือก ถึงจะมีคำบรรยายว่าเพลงพวกนี้เป็นยังไง มันก็นึกไปไม่ถึงรวมถึงขี้เกียจไปตามเปิดหาฟังด้วยเพราะไม่รู้จะเปิดเพลงไหนดี เยอะแยะไปหมด อย่าง Norwegian Wood ของมูราคามิ มันเด่นอยู่เพลงเดียวยังทำให้เราไปหาฟังจนรู้สึกชอบได้ เช่นเดียวกับอาหารนานาชาติของชารียา ที่อ่านแค่ชื่อ ยังง๊าย ยังไงก็นึกภาพตามไปไม่ออกอยู่ดี บางทีก็งงว่าเขากินอะไรกันอยู่ว้า
เรื่องนี้ที่เด่นคือสำนวนภาษาพรรณนาที่พลิ้วไหวมาก ไม่ค่อยเห็นในงานสมัยใหม่เท่าไหร่ที่จะบรรยายได้อลังการขนาดนี้ แต่บางช่วงก็รู้สึกว่ามันดู ประดิษฐ์ มากไปนิดนึง แทนที่จะเรียบง่าย หนักแน่น เราอ่านแล้วรู้สึกเศร้ามันก็เศร้าแบบโหวงๆเหวงๆล่องลอย ฟุ้งฝัน มากกว่าจะหนักอก อึมครึม หรือลึกซึ้งสะเทือนใจ ทั้งสามคนกลายเป็นคนที่ผิดหวังเพราะมองไปไม่เห็นความจริงในธรรมชาติของความรัก ราวกับว่าถูกปิดตาด้วยมายาคติที่ตัวเองสร้างขึ้น นั่นแหละก็เลยหลงทางกลางความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต ซึ่งจะให้เอาคำคมความรักหลายๆอย่างมาอ้างก็คงอ้างได้หมด แต่เราขอเลือกของคุณ จิระนันท์ พิตรปรีชา มาละกัน
"ความรักในอีกแง่หนึ่งก็คือธรรมชาติด้านอ่อนแอและมืดลึกที่สุดของมนุษย์
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ในยามอ่อนแอถึงที่สุด
คนเราอาจทำลายตนเองหรือทำร้ายคนอื่นได้อย่างสาหัสที่สุด
ในนามของความรักนี่เอง"
ส่งท้ายด้วยความรู้สึกของน้องคะเน ที่น่าจะตรงกับความรู้สึกของชารียา
จัดเป็นกลอนเปล่าที่เราชอบมากบทนึงเลยทีเดียว
ฉันหลงทางอยู่ในความฝัน
ที่แห่งใดกัน....
ที่
ฉัน
จะไปถึง
ชะโงกหน้า
เหนือขอบ
หลุมโพลง
แห่งหนึ่ง
ซากที่แน่นิ่ง
อยู่ก้นบึ้ง
นั่น
ใคร....
ฉันหลงทางอยู่ในความฝัน
งมงายหา
แสงตะวัน
อย่างบอดใบ้