welcome to my world
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
7 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Full Metal Panic! The End of Day by Day แปลไทย (บทที่ 1 ส่วนสุดท้าย)



Full Metal Panic! The End of Day by Day



บทที่ 1 silent commandment (ส่วนสุดท้าย)

รถของพวกเขาวิ่งไปตามภูมิประเทศที่มีแต่เนินสูงๆต่ำๆ มีเพียงเสียงสั่นของโครงรถและเสียงยางบดไปกับก้อนกรวด ในเวลากลางวันคงจะมองเห็นเป็นภาพทิวทัศน์ที่งดงามและเขียวขจี แต่ในตอนกลางคืนแบบนี้ มองเห็นได้แค่เพียงแสงไฟหน้ารถที่ส่องลงบนพื้นถนนที่ขรุขระ กับแสงจันทร์และดวงดาวที่เปล่งประกายอยู่บนฟ้ามืดดำเท่านั้น

(ฉันจะกลับญี่ปุ่นทันวันมะรืนไหมนะ...)โซสึเกะคิด

ในใจของเขานั้นรู้สึกไม่ค่อยดีเอาซะเลย เขาพลาดการสอบ แถมยังไม่มั่นใจอีกด้วยว่าจะกลับไปสอบซ่อมทันรึเปล่า แล้วถ้าอ.คากุระซากะถามถึงเหตุผลที่เขาขาดสอบ เขาจะอธิบายว่ายังไงดี นอกจากนั้นยังมีเรื่องเกี่ยวกับรถคันนั้นของอาจารย์ด้วย ถ้าเขาสอบไม่ผ่านก็มีปัญหาแน่

แต่ทำไม ทำไม มันต้องมีปัญหาแบบนี้ด้วยนะ?

เขาคิดแล้วคิดอีก และเมื่อขับผ่านเนินเขาเล็กๆ โซสึเกะก็ได้ยินเสียง

ครั้งแรกเขานึกว่าคงจะคิดไปเอง แต่ก็ไม่ใช่

งั้นก็คงมีอะไรผิดปกติกับเครื่องยนต์ นั่นก็ไม่ใช่อีก

เขาได้ยินมันแน่ๆ จากที่ที่ไกลออกไป

วี๊วววว เสียงของใบพัดกังหันเทอร์ไบน์หมุนด้วยความเร็วสูง เสียงดังต่ำๆของลูกสูบ และเสียงย่ำเท้าหนักๆ กำลังเข้ามาใกล้ที่ที่พวกเขาอยู่

"นี่" โซสึเกะเริ่มพูดกับเหมาและครูซ แต่ก็ไม่จำเป็น เพราะทั้งคู่รู้ตัวและกำลังมองไปรอบๆอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็มองไม่เห็นอะไรชัดนักเพราะเงาดำของพุ่มไม้ที่อยู่สองข้างของถนนบดบั งสายตาไว้หมด

"ทางห้านาฬิกา"ครูซพูด ทางด้านหลังขวามือของพวกเขา เศษใบไม้กำลังหลุดปลิวจากพุ่มไม้ที่อยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นจะขนาดใหญ่เพียงใด แต่มันสามารถที่จะกวาดต้นไม้พวกนั้นให้แบนราบเหมือนก้านไม้ขีดได้

เสียงเริ่มจะดังขึ้น เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า มันต้องขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ก๊าซเทอร์ไบน์ เดินด้วยขาสองขา พูดอีกอย่างหนึ่ง มันคือ...

"อาร์มสเลฟ! แย่ล่ะสิ!"

"ของพวกมาเฟียงั้นเหรอ?"

"น่าจะพวกนั้นน่ะแหล่ะ พวกมันซื้อ ASรุ่นเก่าจากยุโรปตะวันออกกับรัสเซียไว้คุ้มครองตัวเองจากผู้นำเผด็จการอัฟ ริกาไม่ก็พวกกองโจร ระเบียบการจัดซื้อทางฝั่งตะวันตกค่อนข้างจะเข้มงวด แต่สำหรับเครื่องจากรัสเซียแล้ว..."

"มันมาแล้ว!"

ต้นไม้พุ่มสุดท้ายถูกถอนออก แล้วเครื่องจักรรูปร่างมนุษย์ก็ปรากฎตัวออกมา

มันคืออาร์มเสลฟที่ผลิตในโซเวียต Rk-92 ซาเวจ ตัวถังสูงแปดเมตรผงาดง้ำอยู่ท่ามกลางใบไม้ที่ร่วงหล่น ขนาดของมันมหึมา ส่วนหัวที่เหมือนกบติดตั้งอยู่บนลำตัวรูปไข่ที่ดูแล้วคล้ายกับคนตัวเตี้ยม่อ ต้อ ในมือขวาถือปืนกลขนาดเล็ก

สีแดงจางๆส่องแสงอยู่ตรงดวงตาทั้งคู่ ซึ่งตอนนี้เล็งตรงมายังรถเฟียต พื้นดินที่เท้าโดนตะกุยกระจายเมื่อมันวิ่งด้วยพละกำลังและความเร็วอันเหลือเ ชื่อ

"บ้าเอ๊ย...ไม่จบไม่สิ้นกันซะที พวกนี้มันตื้อจริงแฮะ จะฆ่ากันให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย!"

"ไม่ไหวแน่ ถ้าเป็นแบบนี้ พวกเราคง... นายขับให้เร็วกว่านี้ไม่ได้รึไง!?"

"ก็บอกแล้วไงว่านี่ก็เร่งสุดแล้ว"

รถคันเล็กๆแบบนี้ถึงจะนั่งกันได้สี่คน แต่กับถนนที่มีสภาพเช่นนี้ แม้ว่าจะเหยียบคันเร่งสักแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะวิ่งได้เร็วกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ นั่นยิ่งเทียบไม่ได้เลยกับซาเวจ ที่แม้จะอยู่บนสภาพพื้นดินแบบนี้ ก็สามารถที่จะวิ่งได้เร็วกว่า 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

แถมนั่นยังเป็นแค่ความเร็วสูงสุดตามคู่มือนิรภัยด้วย ซึ่งหมายถึงว่ามันจะวิ่งได้เร็วกว่านี้อีก

แล้วมันก็ไม่ได้มีแค่เครื่องเดียว แต่มีถึงสอง ไม่สิ สามเครื่อง พวกมันพุ่งผ่านพุ่มไม้ออกมาทีละเครื่อง กระโดดลงมาบนถนนและไล่ตาม

"หนีไม่พ้นแน่"โซสึเกะพูดพลางหอบหายใจ ไม่ต้องพูดถึงเส้นทางหลบหนีหรือการสอบซ่อม ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาอาจจะไม่ได้กลับไปโรงเรียนเลยก็ได้

"ดูท่ามันจะไม่ปล่อยให้เรายอมแพ้ซะด้วยสิ"

"ถึงขนาดนี้แล้ว พวกมันคงไม่...."

พูดยังไม่ทันขาดคำ ซาเวจตัวแรกก็เข้ามาใกล้รถเฟียต มันโน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อทำความเร็วสูงสุด AS สีเขียวเข้มตัวนั้นยกแขนซ้ายของมันขึ้นเหนือหัว คงคิดจะจัดการโดยไม่ให้เปลืองกระสุน

"หมอบลง!"

โซสึเกะกระทืบเบรค แขนซ้ายของซาเวจกวาดผ่านช่วงบนของรถ หลังคาฉีกออก ตัวรถเอียงไปทางขวา

"อ๊าค...!!"

มันเตรียมจะฟาดอีกครั้ง โซสึเกะหักพวกมาลัยบังคับรถให้วิ่งลอดใต้ขาซาเวจตัวนั้น เกือบจะถูกเหยียบแต่ก็ยังรอดจากหมัดของศัตรูมาได้

อย่างไรก็ตาม รถเฟียตก็ถึงขีดจำกัดของมัน มีเสียงครางอย่างน่าพรั่นพรึงดังมาจากล้อหน้า แล้วควันสีขาวก็พวยพุ่งออกมาจากเครื่องยนต์

เข็มวัดรอบไม่กระดิก ความเร็วเริ่มลดลง

ซาเวจวิ่งช้าลงเล็กน้อยขณะที่มันเปลี่ยนท่าใหม่ มันไม่ไล่บี้รถแล้ว แต่ตัดสินใจจะยิงทำลายแทน มือขวาของมันเล็งปืนกลมายังรถเฟียต

"ไม่รอดแน่!"

ทั้งสามคนคิดพร้อมกัน

ทันใดนั้นเองก็มีที่บางสิ่งที่แบนและยาวพุ่งเข้ามาเสียบเข้ากับเกราะหน้าของ ซาเวจ มันระเบิดขึ้นทันที ส่งผลให้เกิดเสียงดังอื้ออึงสะท้อนไปทั่วบริเวณ

"!?"

แม้จะมองเห็นได้เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น แต่โซสึเกะก็บอกได้ว่ามันคือมีดต่อต้านรถถัง ระเบิดนั้นเกิดขึ้นที่ตรงกลางลำตัวของหุ่น ส่งผลให้่มันถูกไฟลุกท่วมและล้มลงไปในทันที อีกสองเครื่องชะงักเพราะการโจมตีที่ไม่คาดคิด แต่ก็ยังอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมจะโจมตีตอบโต้

"ใครกันน่ะ มาจากไหน?"เหมามองหาไปรอบๆ

เงาสลัวๆลุกขึ้นมาจากถนนอันมืดมิดตรงหน้าพวกเขา มีบรรยากาศที่ชวนให้น่าอึดอัด บนท้องฟ้ามีฟ้าแลบจางๆ As เครื่องนั้นดูราวกับว่ากำลังชำระล้างคราบที่ทำให้มองไม่เห็นออกจากตัว นั่นคือระบบพรางตัว ECS

" M9?"

พวกเขารู้จักหุ่นลักษณะแบบนั้นดี รูปร่างที่ปรากฎออกมานั้นคือ M9 กานซ์แบ๊ก ASยุคที่สามที่โซสึเกะและคนอื่นๆเคยขับ อย่างไรก็ตามเจ้าเครื่องนี้ก็ยังมีส่วนที่แตกต่างจาก M9 อยู่หลายจุด นอกจากแขนและขาท่อนบนที่ดูหนากว่าปกติแล้ว รูปร่างของส่วนหัวก็ยังแตกต่างกันมาก ดูคล้ายกับอาร์บาเรสมากกว่า ส่วนสีนั้นก็ไม่ใช่สีเทาแต่เป็นสีดำมัน ตัวเครื่องนั้นมีสีดำทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ยกเว้นแสงสีส้มจางๆจากเซน

เซอร์ส่วนหัว

"พวกไหนกันนะ?"

"ไม่รู้เหมือนกัน"

M9 สีดำพุ่งทะยานออกมา

อาร์มสเลฟทั้งสองตัวเลิกสนใจโซสึเกะกับคนอื่นๆ และหันไปรับมือกับเครื่องจักรลึกลับนั่นแทน พวกมันเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว ตัวหนึ่งไปทางซ้าย ส่วนอีกตัวไปทางขวา เตรียมพร้อมที่จะรุม M9 จากสองด้าน

แต่ก่อนที่หุ่นของฝ่ายศัตรูจะได้ยิง M9สีดำก็กระโดดหลบออกจากแนวยิง พร้อมกับผลักตัวเองไปข้างหน้าโดยใช้ความไม่ราบเรียบของพื้นดินให้เป็นประโยช น์ เพียงพริบตาเดียว M9 ตัวนั้นก็ชักเอามีดตัดโมเลกุลเดี่ยวออกมาจากรักแร้ แล้วเสียบมันลงไปตรงอกของซาเวจจนมิดด้าม

เสียงของเกราะโลหะกรีดร้องอย่างน่าสยดสยอง

มีดนั้นทะลวงเข้าไปตรงที่นั่งนักบิน ซึ่งนักบินนั้นก็คงจะเสียชีวิตคาที่ วิธีนี้แม้จะได้ผลดีแต่มันก็อำมหิตอย่างมาก อาร์มสเลฟเครื่องที่เหลือไม่มีเวลาให้ลังเลอีกแล้ว มันสาดกระสุนออกมายัง M9 สีดำที่หันกลับ และพุ่งตัวออกมาโดยใช้ซาเวจเครื่องที่พึ่งจะจัดการไปเป็นโล่ห์ วิ่งฝ่าห่ากระสุนตรงไปอย่างไม่หยุด

เมื่อเข้ามาใกล้ M9 ก็โยนโล่ห์นั้นทิ้ง มันเคลื่อนที่อย่างแผ่วพริ้วเข้าไปในระยะประชิด เสียบมีดต่อต้านรถถังลงไปในลำตัวของเครื่องจักรศัตรู และแล้วซาเวจเครื่องสุดท้ายก็ระเบิดเป็นจุล

ถังเชื้อเพลิงของ AS ตัวที่ถูกใช้เป็นโล่ห์เริ่มติดไฟและระเบิดขึ้น ทำให้ทั่วทั้งตัวถูกไฟลุกท่วม รอบๆรถเฟียตที่แล่นไปได้อย่างอืดอาด มีซาเวจสามตัวกำลังลุกไหม้ ส่งควันสีดำลอยขึ้นไปในอากาศ

จากการโจมตีครั้งแรก ศึกนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 30 วินาทีก็จบลง

"แม่เจ้าโว้ย!" ครูซอุทาน As เครื่องนั้นสามารถจัดการศัตรูสามเครื่องได้ โดยใช้เพียงแค่มีดพกติดตัว

แม้ว่าระบบการเคลื่อนไหวของ M9 จะเหนือกว่าซาเวจอยู่แล้ว แต่นักบินของเครื่องนี้ดูจะเหนือกว่านั้นซะอีก

M9 เครื่องสีดำนั้นวิ่งมาข้างรถเฟียตโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หัวของมันมีเซ็นเซอร์คู่เหมือนกับของอาร์บาเรส มันมองมายังโซสึเกะและพวกด้วยสายตาคมกล้าราวกับนกที่มองเหยื่อ แล้วมันก็ส่งเสียงดังครืนซึ่งเป็นเสียงของระบบระบายความร้อน ฟังดูคล้ายกับเสียงคำรามของเสือหรือราชสีห์

"..."

มันชี้นิ้วไปทางทิศตะวันออก จากนั้นมันเปลี่ยนทิศและมุ่งหน้าออกไปทางทิศตะวันตก ขณะที่ M9 เครื่องนั้นวิ่งไกลออกไป โซสึเกะกับคนอื่นๆพูดอะไรไม่ออก และไม่รู้จะพูดอะไรดี

"อะไรกันวะนั่น..."

มันเปิดเกราะออกหลายจุด เผยให้เห็นชิ้นส่วนรูปเลนซ์ จากนั้นระบบ ECS ก็เริ่มทำงาน จอเลเซอร์ฉายแสงไปในอากาศ ปกคลุมไปทั่วลำตัวหุ่น แล้ว M9 เครื่องนั้นก็หายกลืนไปกับความมืดรอบตัว ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณ

"เกิดอะไรขึ้น ใครขับเจ้านั่นมา?"

"ไม่รู้เหมือนกัน"

"แต่เป็นพวกเดียวกันใช่ไหม?"

"ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่า..."

"ใครขับมากันล่ะ?"

ทั้งสามคนนึกไม่ออกว่าอาร์มสเลฟลึกลับนั่นมาจากไหน ในตอนนี้มิธริลเป็นกองทัพเดียวในโลกที่มีเครื่องรุ่นใหม่อย่าง M9 ไว้ใช้ แม้แต่ในกองทัพสหรัฐฯ EMD(เทคโนโลยี, การพัฒนาการผลิต) ก็ยังอยู่ในขั้นของการทดสอบ ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าคนที่ทราบปฏิบัติการลับในซิซิลีครั้งนี้ มีเพียงแค่เทซซ่า มาร์ดูคัส และคาลินินเท่านั้น

คาลินินอาจจะได้ยินข่าวมาจากที่ไหนก็ได้ แล้วก็เลยส่งกำลังสนับสนุนมาก นั่นคือข้อสันนิษฐานที่พอจะเป็นไปได้ แต่คนที่มาช่วยก็จากไปโดยปราศจากการแจ้งฝ่าย ซ้ำยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำ สุดท้ายแล้วเหมาก็ติดต่อกับคาลินินผ่านทางเครื่องส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมที่โ ซสึเกะพกมาด้วย เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม

"พวกเธอยังไม่มีความจำเป็นต้องรู้" คาลินินตอบอย่างเรียบเฉยเหมือนทุกที

"ถึงพวกเราจะอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือคะ?"

"ใช่ ตอนนี้สิ่งที่เธอควรจะใส่ใจ ก็คือการออกมาจากที่นั่น"

"...ทราบแล้วค่ะท่าน เลิกการติดต่อ"

หลังจากตัดการสนทนาแล้ว เหมาก็เริ่มพาล

"โว๊ยยย ! อยากจะบ้าตาย! ทำไมตาแก่นั่นต้องเป็นแบบนี้-แบบนี้ทุกทีนะ! ให้ตายเถอะ!"

"โธ่เจ๊ ถึงเจ๊จะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่แค่เห็นเงาของผู้พัน สาวๆทั้งฐานก็แทบจะกรี๊ดสลบไปแล้ว ขนาดผมหนุ่มกว่า หล่อกว่า แถมยังใจดีกว่าเป็นไหนๆ" ครูซบ่น ทำให้โซสึเกะมองมาด้วยความประหลาดใจ

"พันตรีน่ะรึ?"

"ใช่แล้ว นายไม่เคยได้ยินหรอกเหรอ? ลองไปฟังสาวๆในโรงอาหารคุยกันสิ ทั้งฝ่ายสื่อสาร ฝ่ายบุคคลต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พันตรีน่ะเท่มากเลย แล้วก็ยังมีข่าวลืออีกว่า เขากับคุณโนร่าจากแผนกเทคฯน่ะ แอบพบกันอย่างลับๆสองต่อสองด้วย"

"กับร้อยโทเรมมิ่งรึ?พบกันแบบไหน?"

"พบแบบลับๆก็คือแบบลับๆนั่นแหล่ะ ถึงยังไงผู้พันก็เป็นผู้ชาย จะทำอะไรก็รู้กันอยู่ ฮี่ๆๆๆ..."

"หืมมม"

โซสึเกะยังไม่เข้าใจสิ่งที่ครูซพูด แต่เขาพอจะเดาได้จากการหัวเราะนั้นว่าคงจะเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพันตรีคาลินินเป็นแน่

เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามของพันตรีแล้ว โซสึเกะนึกออกแต่เพียงภรรยาของผู้พันที่เสียชิวิตจากอุบัติเหตุที่รัสเซียเท ่านั้น อิริน่า ภรรยาของผู้พันนั้นเป็นนักไวโอลินร่วมสมัยที่มีชื่อเสียง ทั้งยังมีความงามและรูปร่างที่สมส่วน ซึ่งเมื่อมาคิดดูแล้ว ร้อยโทโนร่า เร็มมิ่งก็ดูจะคล้ายอิรีน่าอยู่เหมือนกัน

"เอาล่ะ จบเรื่องของคนอื่นซะที รีบเผ่นไปจากเกาะนี้กันเถอะ"

"ได้"

บทสนทนาของพวกเขาจบลง จากนั้นทั้งสามคนก็มุ่งหน้าไปยังคาตาเนียตามคำสั่งที่ได้รับมา

การเดินทางหลบหนีช่วงที่เหลือเป็นไปอย่างราบลื่น ออกจะน่าเบื่อซะด้วยซ้ำ

พวกเขาเปลี่ยนรถที่เมืองใกล้ๆแล้วก็ขับไปตลอดทั้งคืน ที่คาตาเนียพวกเขาได้รับใบรับรองของปลอมกับเครื่องแบบทหารอเมริกัน แล้วจากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังฐานทัพอากาศนาโต้ที่อยู่ใกล้ๆกันนั้น เหมานั้นเคยเป็นทหารเรือมาก่อน อีกทั้งระบบรักษาความปลอดภัยของฐานทัพในประเทศเล็กๆแบบนี้ก็ไม่เข้มงวดนัก การแฝงตัวเข้ามาจึงทำได้อย่างง่ายดาย

ต่อจากนั้นทั้งสามคนก็โดยสารเครื่องบินไปยังฐานทัพอากาศอาวีอาโน่ที่ตั้งอยู ่ในภาคเหนือของอิตาลี พวกเขาทำให้วิคเซนต์ บลูโน่ที่ลักพาตัวมานั้นหลับอยู่ตลอดเวลา โดยให้เขาใส่เครื่องแบบและนั่งอยู่บนรถเข็น พร้อมกับอธิบายว่า เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในปฏิบัติการลับที่ตะวันออกกลาง แล้วก็เลยอยู่ในสภาพโคม่ามาโดยตลอด ซิซิลีเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำของเขาตอนที่สุขภาพยังดีอยู่ และพวกเขาก็พาบลูโน่มาเยี่ยมที่นี่ตามคำข้อร้องของครอบครัว สมาชิกบางคนของครอบครัวเขานั้นเป็นถึงวุฒิสมาชิกที่มีชื่อเสียง เพราะฉะนั้นแล้วการเดินทางครั้งนี้จึงเป็นความลับ แต่น่าเสียดายที่กลิ่นพื้นดินของที่นี่ไม่อาจจะทำให้เขารู้ตัวได้...

"เขา...ไม่รู้สึกตัวอย่างนี้ตลอดเลยเหรอครับ?

พนักงานต้อนรับประจำเครื่องบินขนส่งมองบลูโน่ด้วยความสงสัย ก็เขานั้นดูสดชื่นเกินกว่าจะเป็นคนที่กำลังโคม่าได้

"ใช่ เพียงแต่ว่าอวัยวะภายในของเขายังทำงานได้ดีอยู่ ว่าแต่นายมองเขาแบบนั้น หมายความว่าไง?"เหมาซึ่งติดยศร้อยตรี พูดกับพนักงานที่มียศสิบโท

"ปะ...เปล่าครับผม...ผมแค่..."

"นายกล้ามองผู้ชายคนนี้ด้วยสายตาแบบนั้นเหรอ! เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะต้องต่อสู้เพื่อประเทศชาติ คนอย่างนายไม่มีวันเข้าใจแม้แต่เศษหนึ่งส่วนล้านของความทุกข์ที่เขาได้รับ! ไม่ต้องมามองด้วยความสงสารหรือดูหมิ่นเขา!"

"ขอ..ขอโทษครับผม ผมขออภัยถ้าผมบังอาจ..."

"ไม่!พฤติกรรมของนายมันเกินกว่าจะรับได้! บอกชื่อเต็ม ยศ ตำแหน่ง พร้อมกับหมายเลขประจำตัวของนายออกมาเดี๋ยวนี้!"

สิบโทซึ่งทำท่าเหมือนจะร้องไห้ แจ้งข้อมูลให้เหมาทราบพร้อมกับขอโทษแล้วขอโทษอีก แล้วก็ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับบลูโน่อีกเลย พวกเขาคงเดินทางแบบนี้ไม่ได้ถ้าไปใช้สนามบินพลเรือน

"แสดงเก่งจริงนะเจ๊"

"ยอมรับเลยล่ะ"

ทั้งโซสึเกะและครูซต่างก็แสดงความชื่นชมหลังจากสิบโทผู้โชคร้ายคนนั้นรีบจากไปแล้ว เหมาเชิดหน้าขึ้น

"เฮ้อ ต้องพูดอะไรแบบนั้นมันเหนื่อยจริงแฮะ ฉันเกือบจะหลุดคำหยาบออกไปหลายคำแล้วนะเนี่ย.."

หลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรอย่างอื่นอีก แล้วอีก 10 นาทีต่อมา เครื่องบินขนส่งก็ทะยานขึ้นจากสนามบิน

ความรู้สึกเหมือนถูกปลดปล่อย เติมเต็มพวกเขา

แผนการต่อจากนี้ก็คือ ให้เหมากับครูซเดินทางต่อไปที่ออสเตรเลียเพื่อพาบลูโนกลับไปยังศูนย์บัญชากา รของมิธริล ระหว่างทางพวกเขาต้องแยกจากโซสึเกะที่จะต้องกลับไปที่ญี่ปุ่นคนเดียว เขาคงจะถึงโตเกียวในวันรุ่งขึ้น

เสียงของเครื่องยนต์ใบพัดดังสะท้อนอยู่ในเครื่องบิน ถึงมันจะดังมาก แต่สักพักพวกเขาก็ชิน เก้าอี้นั้นสั่น และก็มีเพียงทหารเพียงห้าหกนายนั่งอยู่เท่านั้น

แสงจากดวงอาทิตย์ของซิซิลียามฤดูใบไม่ร่วงส่องผ่านหน้าต่างเครื่องบินทำให้ย ากที่จะหลับได้ พวกเขาไม่ได้นอนกันเลยตั้งแต่เมื่อคืน แต่พวกเขาก็ยังต้องการเวลาที่จะทำให้ประสาทที่ตื่นตัวอยู่นั้นบรรเทาลงไปได้

"คือว่า.."ครูซพูด ทำลายความเงียบที่มีมาตลอดสิบนาทีหลังจากบินขึ้น

"นายไม่เป็นไรแน่นะ?"

"หมายความไง?"โซสึเกะถามกลับ เขากำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือประวัติศาสตร์โลกอยู่

"ก็สอบของนายน่ะสิ ขาดสอบไม่ใช่เหรอ?"

"ใช่"

ใช่แล้ว ขาดสอบมิดเทอมนั้นเป็นเรื่องใหญ่...โซสึเกะคิด

ต้องถูกเรียกตัวให้มาปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ที่ไกลออกไปคนละซีกโลกอย่างกระท ันหัน นั่นยังไม่รวมกับที่เขาขาดเรียนอีกหลายวิชาซึ่งจะมีผลกระทบกับผลสอบโดยรวมด้ วย ถ้าเป็นอย่างนั้น คงเหมือนกับที่คานาเมะพูด เขาอาจจะสอบตกก็ได้

"ถึงอย่างไรแล้ว งานก็สำคัญกว่า ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเมื่อคืนฉันไม่ได้มาด้วย" โซสึเกะพูดถึงตอนที่เหมากับครูซโดนล้อมอยู่หลังคฤหาสน์มาเฟีย

"มันก็ใช่ เราคงจะลำบากแน่เลยล่ะ"

"อืมม งั้นล่ะมั้ง" เหมาตอบอย่างเชิดๆจากเก้าอี้ด้านหน้า

"แต่ถึงยังไง ตอนนั้นฉันก็คิดหาทางออกอื่นเตรียมเอาไว้แล้ว"

"งั้นเหรอ.."โซสึเกะพูด รู้สึกหดหู่นิดหน่อย เขารู้สึกว่าจริงๆแล้วเหมาคงอยากจะพูดว่า "อย่างนายน่ะน่าจะไปนั่งสอบเงียบๆ แล้วไม่ต้องตามเรามาดีกว่า"

"ไม่สิ "เหมาเพิ่มเติมหลังจากนิ่งคิดอยู่สักครู่หนึ่ง "จริงๆแล้วนายช่วยเราได้มากเลยล่ะ แต่รู้ไหม ฉันเป็นห่วงนายนิดหน่อยนะ จะว่าไงดี..?"

"เรื่องสอบน่ะหรือ?"

"ไม่ ไม่ใช่แค่นั้น ฉันหมายถึงทุกเรื่องของนาย นายต้องไปโรงเรียนด้วย คุ้มกันคานาเมะไปด้วย ต้องออกมาปฏิบัติภารกิจแบบนี้ แล้วพวกนั้นยังโยน "อาร์บาเลสท์" มาให้นายอีก ไม่รู้สึกว่ามันหนักเกินไปหน่อยเหรอ?"

"..."

"ตอนแรก ฉันคิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะคงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วนายก็ยังทำงานได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ต่อไป.."

"ฉันไม่ทำพลาดแน่"

"ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่มันอาจจะมีปัญหาเรื่องเวลาและสภาพร่างกาย แบบว่าทำงานแล้วก็ไปโรงเรียนต่อคงลำบากนายสินะ"

"ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ว่า..."

"ไม่ว่าเราจะขาดคนแค่ไหน แต่นายก็มีขีดจำกัดอยู่ ถ้าฉ้นเป็นนาย ฉันคงจะแจ้งให้ผู้พันทราบไปแล้ว"

"แต่ว่านะ" ครูซสอดเข้ามา "เมื่อคิดดูแล้วมันก็ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ พวกโรงเรียนหรืออะไรพวกนี้ เราใช้ใบประกาศปลอมเข้าไปอยู่แล้วนี่ เพราะงั้นก็ไม่จำเป็นต้องพยายามฝืนตัวเองให้เรียนจบก็ได้"

โซสึเกะแฝงตัวเข้าไปในโรงเรียนมัธยมจินได เพื่อจะได้คุ้มกันคานาเมะได้ง่ายขึ้น อาชีพของเขาตอนนี้คือทหารของมิธริล ส่วนการเป็นนักเรียนโรงเรียนมัธยมนั้นเป็นงานชั่วคราวเท่านั้น จึงเป็นข้อแตกต่างอย่างมากระหว่างเขากับคานาเมะ รวมทั้งนักเรียนคนอื่นๆด้วย อย่างที่ครูซพูด มันไม่จำเป็นเลยที่เขาจะต้องพยายามเรียนให้จบชั้นมัธยม

"ฉันคิดว่านายพูดถูก..." เหมาพูดด้วยเสียงฝันๆ เธอหันกลับมามาองหน้าโซสึเกะอยู่ครู่หนึ่ง " ดูเหมือนว่านายจะฟังที่พวกเราพูดทั้งหมดแล้วนะ ...แล้วนายคิดว่าไง?"

"คิดอะไร?"

"ก็อนาคตของนายน่ะสิ"

"ทำตามคำสั่ง ก็แค่นั้น" เขาตอบอย่างสงบ สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า

ถ้าเป็นเหมาตามปกติ เธอคงหัวเราะขำคำตอบทื่อๆของโซสึเกะ แต่ครั้งนี้เธอกลับหงุดหงิดแล้วก็ตอกกลับว่า

"นายก็พูดแต่แบบนี้ ฉันกำลังพูดถึงแผนการในชีวิตนาย ตอนนี้นายอายุสิบเจ็ดแล้วใช่ไหม จากนี้ไปนายจะทำอะไร อย่างน้อยก็ช่วยคิดถึงมันซะหน่อยเถอะ ภารกิจ คำสั่ง นายก็แค่ใช้มันเป็นข้อแก้ตัวเพื่อจะหนีเท่านั้น"

"หนี? ฉันน่ะเหรอ?"

"ใช่ ไม่ว่าใครจะว่ายังไง นายก็ตอบแต่คำว่า ครับผม มันง่ายกว่านี่"

"..."

"พูดตรงไปหน่อยแล้วมั้งเจ๊..." ครูซพูด

"ไม่หรอก ฉันคิดเรื่องนี้มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว" ว่าแล้ว เหมาก็เงียบไป

จากหน้าต่าง ไกลออกไปนั้น โซสึเกะมองเห็นภูเขาไฟเอ็ทน่า ภูเขาไฟที่ยังไม่ดับที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เมฆค่อนข้างหนา ทำให้รูปร่างของภูเขานั้นดูเลือนลางเป็นสีเทา

(แผนการในอนาคต...)

ที่เหมาพูดออกมานั้น โซสึเกะไม่ได้โกรธอะไร จริงๆแล้วมันทำให้เขาคิดได้ซะด้วยซ้ำ มันฟังดูคล้ายๆสิ่งที่คานาเมะพูดกับเขาเมื่อคืนก่อน

แผนการใช้ชีวิต

เขาลองคิดถึงความหมายของมัน ยิ่งเขาพิจารณามันจริงๆแล้ว รู้สึกว่านี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำเหล่านั้น เมื่อเอาคำมาเรียบเรียงใหม่แล้ว มันหมายความถึงเป้าหมายระยะยาวของตัวเขาเอง อีกห้าปีต่อจากนี้เขาจะทำอะไร แล้วอีกสักสิบปีล่ะ เขาจะพาตัวเองไปในทิศทางใด

นั่นล่ะคือความหมายของคำพวกนั้น

จนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยคิดถึงเรื่องราวในอีกห้าปีข้างหน้าเลย เขาไม่เคยตระหนักถึงการมีอยู่ของมัน ในอดีตของซางาระ โซสึเกะนั้นเขาใช้ชีวิตเพื่อเอาตัวรอดจากสนามรบในที่ต่างๆ พวกสัตว์ป่าที่ไม่รู้ว่าอาหารของวันพรุ่งนี้จะมาถึงเมื่อไร คงไม่มีเวลามากังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีกห้าปีข้างหน้า คำว่า "อนาคต" นั้นไม่เคยผ่านมาในหูของเขาเลย

อนาคตของเขา นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ เขาเลือกที่จะเชื่อมั่นในกระสุนปืนมากกว่าอนาคตของตัวเอง

นั่นคือสิ่งที่เขารู้สึก อย่างน้อยก็ตลอดหกเดือนที่ผ่านมา

เขายังไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในจิตใจที่อ้างว้างนั้น ช่วงเวลาที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่กับคานาเมะและคนอื่นๆที่โรงเรียนมัธยมจินได ได้ส่งผลต่อหัวใจของเขาทีละน้อยๆโดยไม่รู้ตัว มันก็คล้ายกับมีคนทำให้แผ่นน้ำแข็งละลาย แล้วเส้นทางเดินจางๆก็ค่อยๆแสดงออกมาให้เห็น

อนาคต ฉันมีสิ่งเหล่านั้นด้วยหรือ?

บางมุมในจิตใจของเขายังสงสัยในเรื่องนี้ เขาไม่รู้คำตอบ แต่อย่างน้อยเขาก็เริ่มจะตั้งคำถามแล้ว นี่คือการเปลี่ยนแปลง

เมื่อเวลาผ่านไป ใครๆก็เปลี่ยน

วิถีชีวิตทุกอย่างต้องมีวันจบ และคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงนั้นก็จะพัดพาเขาออกไป

ทุกวันผ่านไปแล้วอนาคตใหม่ก็ผ่านเข้ามา ความจริงข้อนี้ทำให้โซสึเกะไม่สบายใจนัก

"ครูซ"

"อะไร?"

"นายจะทำอะไรในอีกห้าปีข้างหน้า?" จู่ๆโซสึเกะก็ถาม

สีหน้าของครูซว่างเปล่า

"คิดดูก่อนนะ อืมม...ฉันว่าคงจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับผู้หญิงสวยๆสักคน"

"นายคิดว่าจะทำได้เหรอ?"

"ไม่รู้สิ" ครูซตอบ ขยับหมวกทหารของเขามาปิดตา

เขากอดอก อ้าปากหาวแล้วพูดต่อ "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถึงยังไง คิดไว้ก่อนมันก็ไม่เสียหายอะไรนี่ นอนล่ะ"

หลังจากนั้นครูซก็เงียบไป โซสึเกะมองไปที่เก้าอี้ข้างหน้าเขา เห็นศีรษะของเหมาพิงผนัง ได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วๆ เธอหลับไปแล้ว

ภูเขาเอ็ทน่าจางไปจากสายตา เครื่องบินนั้นมุ่งหน้าออกจากซิซิลี

(จบตอน silent commandment)



Create Date : 07 มิถุนายน 2551
Last Update : 7 มิถุนายน 2551 21:28:32 น. 0 comments
Counter : 603 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

คนรักมิวฟิล
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add คนรักมิวฟิล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.