Я Люблю Микоян-Гуревич.
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2553
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
25 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 

Flight 571 เมื่อผู้รอดชีวิตไม่ท้อต่อชะตา

ถ้าพูดถึงอุบัติเหตุ Flight 571 กองทัพอากาศอุรุกวัย
คงน้อยคนนักที่จะรู้จัก แต่ถ้าพูดถึงหนังเรื่อง Alive (หนังปี 1993)
ที่ อีธาน ฮอว์ค และจอห์น มัลโก้วิช แสดงน่ะครับ
ใครอายุย่างเข้าเลขสามขึ้นไป คงจะร้องอ๋อ..ช๊านอายุ18นะยะ แต่เคยดู(ซะงั๊น)
จริงๆมีหนังทำเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ก่อนหน้า Alive คือเรื่อง Survive ปี 1976 ครับ

Alive




แต่บทความนี้ผมไม่อ้างจากหนังนะครับ
แปลบันทึกที่ผู้ประสบเหตุออกมา เอาใกล้เคียงเหตุการณ์จริงที่สุด

เหตุการณ์เครื่องบินตกและรอดดังปฏิหารครั้งนี้
โดยเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม ปี 1972 เครื่อง
กองทัพอากาศอุรุกวัย เครื่องใบพัด2เครื่องยนต์ Fairchild รุ่น FH-227D
ที่เช่าเหมาลำมา นำผู้โดยสารและลูกเรือรวม 45 คน(ผู้โดยสาร 40 ลูกเรือ 3 นักบิน 2)
จุดหมายคือประเทศชิลี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนและทีมนักรักบี้
ชมรมคริสต์เตียนเก่าจากมหาวิทยาลัยสเตลล่ามาริสไปประสบเคราะห์กรรม
ตกที่พรมแดนระหว่างอาร์เจนติน่าและชิลีซึ่งจุดที่ตกเป็นทางลาด
ล้อมด้วยภูเขาน้ำแข็ง ไม่มีต้นไม้ ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร อุณหภูมิ-30องศา
มีแต่ข้าวของจากซากเครื่องบินเท่านั้นที่เขาพอจะหามาได้
พวกเขาอยู่รอดมาได้อย่างไรน่าติดตามนะครับ


สำหรับเครื่องบินลำที่เกิดเหตุเป็นของกองทัพอากาศอุรุกวัย
เครื่องใบพัด2เครื่องยนต์ Fairchild รุ่น FH-227D เที่ยวบินที่ 571



จะว่าไปรุ่นนี้เป็นการพัฒนาผสมผสานระหว่าง Douglas DC-3 กับ Fokker F27
โดยมีความจุมากกว่า 40 ที่นั่ง มีเรด้าห์ตรวจสภาพอากาศ และพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีกำลังแรง
การผลิตเครื่องประเภทนี้ได้รับอนุญาตจาก Fairchild Hiller ในประเทศอเมริกา
ทดลองบินครั้งแรกเมื่อ พฤศจิกายน ปี1955
ปัจจุบันนี้เครื่องรุ่นนี้ยังบินกันอยู่แต่หลายๆประเทศทะยอยปลอดระวางไปแล้วครับ
เห็นกองทัพเรือไทยยังใช้อยู่น่ะ

ลักษณะทั่วไป

* Crew: 2 คน กัปตันและนักบินผู้ช่วยครับ
* Capacity: 52 seats at 79 cm (31 in) pitch, or a maximum of 56
* Payload: 5,080 kg
* Length: 83 ft 8 in (25.50 m)
* Wingspan: 95 ft 2 in (29.00 m)
* Height: 27 ft 7 in (8.41 m)
* Wing area: 754 ft² (70.0 m²)
* Empty weight: 22,923 lb (10,398 kg)
* Max takeoff weight: 43,500 lb (19,730 kg)
* Powerplant: 2× Rolls-Royce Dart RDa.7 Mk 532-7L
turboprops, 2,300 ehp (1,715 kW) each

Performance

* Never exceed speed: 288 knots (331 mph, 532 km/h)
* Maximum speed: 256 kts (294 mph, 473 km/h)
* Cruise speed: 235 knots (270 mph, 435 km/h)
* Stall speed: 75.9 knot (87.3 mph, 140.5 km/h)
* Range: 570 nm with maximum payload, 1,439 nm
with max fuel (656 mi/1,655 mi, 1,055 km/2,660 km)
* Service ceiling: 28,000 ft (8,540 m)
* Rate of climb: 1,560 ft/min (7.9 m/s)

มาดูรุ่นๆเดียวกันกับเขา
• F27-100 - ผลิตมารุ่นแรก
• F27-200 -อัพเครื่องยนต์ขึ้นมาให้มีความแรง
• F27-300 หันไปใช้เครื่อง Mk 536-7
• F27-300M เป็นเครื่องบินขนส่งผลิตให้กองทัพอากาศเนเธอร์แลนด์
• F27-400 - รุ่นนี้เริ่มดัดแปบงเป็นเครื่องบินขนส่งสินค้าโดยการขยายขนาดประตูให้ใหญ่ขึ้น ใช้เครื่องยนต์ Dart turboprop 7
• F27-400M - รุ่นนี้เริ่มใช้สำหรับมะริกันชน บรรจุในกองทัพบกเหล่าทหารม้า เพื่อใช้ขนส่ง
• F27-500 - เริ่มยืดลำตัวออกไปอีก 1.5เมตร บรรทุกผู้โดยสารได้ 52 คน บินขึ้นครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ปี 1967
รุ่นนั้นทำเครื่องออกมา มีหลายซีรี่อันได้แก่
Mk. 500 ,506, 510, 511, 514, 526, 528, 529, 530, 532 ,536
สำหรับ F27-500 กลับไปใช้รุ่น 528 ครับ อาจจะเป็นที่น้ำหนักน้อยกว่า
• F27-500M - ใช้ในการทหาร ใช้เครื่อง Mk 500
• F27-500F - ยังใช้เครื่องรุ่น Mk 500อยู่ครับ โดยออสเตรเลียสั่งทำโดยมีประตูที่เล็ก คล่องตัว
• F27-600 - ได้ดัดแปลงให้ขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้า
• F27-700 - รุ่นนี้ทำไม่ได้ต่างจากรุ่นแรก(F27-100) เพียงแต่ทำประตูสินค้าให้ใหญ่เท่านั้นเองครับ
• FH-227 - รุ่นเดียวกับที่ตกครับ ใช้เครื่องรุ่น Mk 500 สร้างโดย Fairchild โดยได้รับอนุญาตจากอเมริกาให้ทำการผลิตได้

Fairchild รุ่น FH-227D รุ่นเดียวกับที่ตก




เรามาลำดับเหตุการณ์กันว่าเป็นอย่างไร
อะไรทำให้พวกเขารอดกัน เป็นดังนี้ครับ...
(คัดเอาวันสำคัญที่เขาบันทึกนะครับ)


*วันอังคารที่12 ตุลาคม ปี 1972
เครื่อง Fairchild F-227 ออกจากสนามบินนานาชาติ คาร์ราสโก ( Carrasco International Airport)
เนื่องจากสภาพอากาศไม่ดี เครื่องจึงแวะพักที่ สนามบิน Mendoza
ในตอนค่ำ ก่อนจะเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น

*วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม ปี 1972
เครื่องบินได้ Take off จากสนามบิน Mendoza
ผู้โดยสารส่วนใหญเป็นนักเรียน นักรักบี้จากชมรม Old Christians Club และญาติๆ ..ครับเพราะพวกเขาเหมาลำกันมานี่
เป็นทีมนักรักบี้ของประเทศอุรุกวัย เพื่อไปแข่งที่ ซานเทียโก ประเทศชิลี
หมายจะกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นทั้งสองทีม

ทีมนักรักบี้เขาล่ะ


ปัจจุบันชมรม Old Christians Club ยังคงอยู่ครับ
อยู่อึดตั้งแต่ปี 1962



ภาพพวกเขาทั้งทีมกำลังเตรียมออกเดินทางกัน
มีญาติตรึมเพราะเป็นโอกาสที่จะได้บินติดตามไปด้วย



ที่สนามบิน Mendoza


ภาพถ่ายทีมรักบี้บนเครื่อง ก่อนจะพากันพบกับอุบัติเหตุอันเศร้าสลด


การเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนจะบินใกล้ๆ แต่อันตรายที่น่ากลัวคือสภาพอากาศล่ะครับ
เนื่องจากปกคลุมไปด้วยหิมะและเป็นภูเขาสูง ลมจะตี เครื่องจะชนเมื่อไหรเป็นไปได้ทั้งนั้น

ขณะที่เครื่องอยู่ระดับ 29,500 หรือ (9,000 เมตร) สภาพอากาศแปรปรวน ทรรศนวิสัยย่ำแย่
นักบินเล็งเห็นว่าเครื่องไม่สามารถบินตรงไปทาง
ชิลีได้ ถ้าบินตรงไม่ได้เพราะอากาศไม่เต็มใจ เขาจึงบินลงทางใต้เลียบไปเรื่อยๆ
แล้วเลี้ยวเลี่ยงไปทางทิศตะวันตก บินต่ำเพื่อข้ามไปยังชิลีตอนใต้
นั่นเป็นสิ่งที่กัปตันผู้ชำนาญในพื้นที่แห่งนี้เนื่องจากแกเคยเป็นนักบิน
ไปรษณีย์บินแถบนี้บ่อย

กัปตันแจ้งทางหอควบคุม Santiago ว่าเขาบินอยู่ตำแหน่ง Curicó
กำลังลดเพดานบินเพื่อจะนำเครื่องลงที่นั่น เต็มไปด้วยเมฆหมอกลงหนา
ลมแรง กัปตันต้องรักษาแนวบินเอาไว้ ไม่ให้เครื่องบินเพลินไปตามใจลม
กัปตันจึงใช้ความชำนาญที่มีอยู่ สมัยนั้นยังไม่มีอุปกรณ์การบินที่ทันสมัยน่ะ
เนื่องด้วยทัศวิสัยไม่ค่อยดี จึงขอข้อมูลจากหอบังคับการบิน(ATC)
ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาด หอบังคับการนึกว่าเครื่องอยู่ตำแหน่ง
ที่ราบชิลี เครื่องกลับลดระดับเพดานบินที่เทือกเขาแอนดีสแทน
ห่างจากภูเขาไฟ ติงกรุยเอียริก้า(Tinguiririca อ่านเป็นสเปนครับ)
มาประมาณ

หมอก ที่ปกคลุมหนา นักบินไม่รู้หรอกว่าภูเขาสูงตระหง่านอยู่ข้างหน้าขวางเครื่องอยู่
แน่ นอนสัญญาณเตือนให้ดึงเครื่องขึ้น (pull up ALERT) ขึ้นมา
หมอกจางลงเขาเห็นภูเขาอยู่ข้างหน้าแต่สายซะแล้ว กับตันดึงเครื่องขึ้นทันทีแต่ไม่พ้น
เนื่องจากเครื่องเชิดหัวขึ้นหางจึงกระแทกสันเขาทันที
แรงกระแทกทำให้ส่วนหางฉีดขาดหลุดออกไป เครื่องยังไม่หมดฤทธิ์
ไถลไปอีกจนปีกกระแทกโขดหินขาดทันที เครื่องไถลไปซักพักจึงสงบลง
ในหุบเขานิรนาม(ภายหลังเรียกว่า Cerro Seler รู้จักกันเป็น Glaciar de las Lágrimas
หรือ ภูเขาน้ำแข็งแห่งหยาดน้ำตา)เศษเครื่องบินกระจายไปตามแรงเฉื่อย
ทุกอย่างหยุดลงที่แอ่งหุบเขาเวลาบ่ายสามโมงของวันนั้น

สภาพบริเวณที่เครื่องตก เป็นแอ่ง
สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า4000เมตร



อาจจะนึกภาำพไม่ออกว่าตกเยี่ยงไร ผมเลยทำจุดให้แจ่มๆครับ


ตำแหน่งบริเวณที่เครื่องบินตก(เส้นทางบินอาจจะไม่เป๊ะๆนะครับ ผมทำเองคร่าวๆ)
สังเกตว่าระยะทาง(สีแดง)นั้นสั้นกว่าเนื่องจากนักบินเข้าใจผิด
จึงรีบเลี้ยวซะก่อน(สีน้ำเงินระยะทางที่ควรจะไป)



หลังจากเครื่องเพิ่งตกหมาดๆ มีผู้เสียชีวิตทันที 12 คน ส่วนผู้บาดเจ็บร้องระงมไปทั่ว
ซึ่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บหนึ่งในนั้นเป็นผู้ช่วยนักบิน ชื่อ ดันเต้ ลากูราร่า
แต่โชคร้ายร่างของเขาได้ติดคาซากเครื่องบิน ซึ่งผู้รอดชีวิตได้พยายามเข้าช่วยเหลือ
แต่แล้วก้อไม่สามารถเอาตัวเขาออกจากซากเครื่องบินที่ยับเยินได้
ดันเต้ บอกตำแหน่งเครื่องบินด้วยเสียงอันหมดเรี่ยวแรงต่อผู้ที่พยายามช่วยเขา
ว่าขณะนี้เราอยู่ตรง Curico ด้วยซากเครื่องบินที่อัดร่างของเขา
แม้ผู้รอดชีวิตจะพยายามช่วยกี่ครั้งเพียงใดก้อไร้ความหมาย
ผู้ช่วยนักบินขอร้องให้เอาปืนของเขายิงหัวเขาให้ตายดีกว่าทรมานก่อนตาย
แต่ไม่มีใครกล้าทำเพราะการฆ่าคนมันเป็นบาปสำหรับชาวคริสต์(จริงๆบาปทุกศาสนาแหล่ะครับ)
เขาบอกเรื่องวิทยุสื่อสารว่าให้หาแบตเตอรี่มาต่อมันจะอยู่ตรงท้ายเครื่อง
(แต่เขายังไม่รู้เลยว่าท้ายเครื่องมันขาดหายไปตอนตกซะแล้ว)

หน่วยกู้ภัยกำลังออกตามหาได้ 8 วันไม่มีวี่แวว..เซ็งเป็ด..เลยล้มเลิก


*วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม ปี 1972
วันนี้เขาช่วยกันเอากระเป๋าเดินทางอุดท้ายเครื่องบิน
ให้หนาขึ้นกันลมหนาวและหิมะ
บิซินติน (Vizintín) บาดเจ็บบริเวณแขนเลือดไหลไม่หยุด
ทำให้เสียเลือดมาก
เด็งเต้ ลากูราร่า(Dante Lagurara) ผู้ช่วยนักบินเสียชีวิตตอนเที่ยงวัน
มาเรียนี่ (Mariani) หญิง เสียชีวิตตามมาอีกคนในวันนั้นเอง

*วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม ปี 1972
อดอลโฟ สเตร๊าช์ (Adolfo Strauch)ไอเดียบรรเจิด เขาทำน้ำจากหิมะ
โดยการนำแผ่นโลหะจากชิ้นส่วนเครื่องบินมาทำเป็นกรวยบานๆ
แล้วทำหิมะมาตากแดด รองลงขวดไวน์เปล่าที่ซดหมดแล้ว
เห็นว่ารองน้ำได้หลายขวดอยู่ เพราะวันนั้นโชคดีที่มีแดดพอดิบพอดี
นอกจากนี้ เขาเห็นเครื่องบินค้นหาถึง 3 ลำ แต่คงมองไม่เห็นพวกเขา
เพราะบินอยู่ไกลลิบๆ แม้จะเอาวัสดุต่างๆมาสะท้อน แต่เครื่องบินค้นหา
ก้อไม่สารถเห็นพวกเขาได้ จึงมองจนมันหายลับไปแบบเสียมิได้

Parrado กำลังดื่มน้ำ แกอยู่ตรงส่วนด้านท้ายเครื่องบิน


วันนี้ กัปตันทีมรักบี้ มาร์เชโล เปเรซ (Marcelo Perez)เริ่มจัดสรรอาหารแจกจ่ายกัน
โดยแบ่งเก็บไว้กินวันหลังส่วนหนึ่ง

*วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม ปี 1972
วันนี้ช่วยกันทำเปลผู้ป่วยให้ Rafael Echevarren และ Arturo Nogueira
ซึ่งบาดเจ็บสาหัสอยู่ พวกเขาหวังว่าจะให้นอนสบายขึ้น

Fito Strauch เขาพบว่าการนำซากเบาะเครื่องบินเอามาพันกับเท้า
ย่ำบนหิมะไม่จม เดินสบายเท้า



*อังคารที่ 17 ตุลาคม ปี 1972
Carlos Páez, Turcatti, Canessa และ Fito Strauch สามหนุ่มพากัน
เดินขึ้นเขาไปยังที่ที่หนุ่มทั้ง 3 คิดว่าอีกฟากเป็นที่เกิดอุบัติเหตุ
น่าจะมีของกินของใช้อยู่บ้าง แต่ไม่พบอะไร เลยกลับมาที่ซากเครื่องบินที่พักอย่างเก่า

*วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม ปี 1972
ซูซาน่า ปาร์ราโด้(Susana Parrado)เสียชีวิตในอ้อมแขนของนันโด้(Nando)พี่ชายเธอ
นันโด้เสียใจมาก ที่สูญเสียน้องสาวไป

*วันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม ปี 1972
มีการประชุมหารือผู้รอดชีวิตทั้งหมด เนื่องจากอาหารนั้นเหลือน้อยลงทุกที
Canessa คิดใหม่ทำใหม่แนะกินศพผู้ที่เสียชีวิตเพื่อความอยู่รอด
แต่งานนี้มีทั้งเห็นด้วยและผู้ไม่ยอมกินด้วยคือเพื่อนของเขานั่นเอง
แต่ในที่สุด ไม่มีอะไรกินเพราะสเบียงที่ค้นตามซากเครื่องบิน
มีแต่ขนม ช็อคโกแล็ต ไวน์ (หนังสือการ์ตูนต่างๆก้อมีด้วย) ซึ่งไม่พอ
สรุปแล้ว..ทุกคนจึงกินเนื้อจากศพเพื่อความอยู่รอด

*วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม ปี 1972
มันเป็นวันทีช้ำใจเป็นที่สุดเมื่อเขานำวิทยุในซากเครื่องบินออกมาฟัง
ได้ความว่าหน่วยกู้ภัยยกเลิกภาระกิจตามหาพวกเขาแล้ว



*วันอังคารที่ 24 ตุลาคม ปี 1972
เขาขึ้นเขาย้อนไปอีกหวังจะพบแบตเตอรี่ตรงส่วนหาง
ได้พบชิ้นส่วนปีกเครื่องบิน ศพเพื่อนสมาชิก“Old Christians”
และลูกเรืออีก2ศพ สุดท้ายไม่พบส่วนหาง

*วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม ปี 1972
วันนี้จู่ๆมีพายุหิมะเกิดขึ้น ทำให้หิมะจากยอดเขาไหลถล่มลงมา
ฝังร่างเกือบทั้งหมด อย่างทันที ขณะนอนหลับอยู่ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 คน แหงล่ะครับอุณหภูม-30องศา
คราวนี้เหลือเพียง19 คนที่จะต้องสู้ต่อไป

ผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิตจากหิมะถล่ม


*วันจันทร์ 30 ตุลาคม ปี 1972
พายุยังคงกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ชั้นหิมะหนาขึ้นเรื่อยๆด้านนอกเครื่องบิน
ไม่มีใครกล้าออกไปนอกเครื่องบิน

ชีวิตความเป็นอยู่ภายในลำตัวเครื่องบิน


วันนี้วันเกิด Numa Turcatt งานฉลองวันเกิดมีขึ้นภายในซากเครื่องบินนั้นเอง

*วันอังคารที่ 31 ตุลาคม ปี 1972
วันนี้วันเกิด Carlos Páez งานฉลองวันเกิดจัดไม่ต่างจากของนูม่า

*วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน ปี 1972
วันนี้อากาศแจ่มใส ออกเคลียร์พื้นที่รอบๆกัน เอาเครื่องมือเท่าที่หาได้
ทำการซ่อมแซมที่พักให้ดี

Turcatti และ Algorta ปีขึ้นไปเอาปีกของเครื่องบินมา
ซึ่งห่างจากที่พักประมาณ 100 เมตร(เผื่อใช้ประโยชน์ได้)
วันนี้เป็นวัน เกิดของ Pancho Delgado François และ Inciarte อีกด้วย

*วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน ปี 1972
ผู้รอดชีวิตทั้งหมดหารือวางแผนกันโดยจากคำบอกเล่าก่อนผู้ช่วยนักบินเสียชีวิต
ว่า ตอนนี้เราอยู่บริเวณ Curico ซึ่งทั้งหมดคาดว่าห่างจากพรมแดนชิลี
เพียงไม่กี่กิโลเมตรทางทิศตะวันตก ซึ่งแถวนั้นน่าจะมีหมู่บ้านคนอยู่
ซึ่งถ้าจะไปกันทั้งหมด หลายคนอิดโรยคงไปกันไม่รอดเป็นแน่แท้
จึงขออาสาผู้แข็งแรงออกไปขอความช่วยเหลือจากโลกภายนอก
Canessa และ Parrado อาสาไปโดยเริ่มทดสอบร่างกายก่อนจะออกไปขอความช่วยเหลือ
ซึ่งเขาคิดเหมือนกันว่าถ้าอยู่เฉยๆคงเหมือนรอความตาย
Páez, Harley และ Vizintín ใช้เวลา 2 วัน ฝึกขึ้นๆลงๆเขาใกล้ๆ
พวกเขาฝึกทั้งร่างกายและจิตใจก่อนออกเดินทางไปขอความช่วยเหลือ
Vizintín ที่ลังเลๆ ในที่สุดได้ตัดสินใจเดินทางไปกับ Parrado และ Canessa

*วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน ปี 1972
Arturo Nogueira เป็นแผลอักเสบรุนแรง เขาทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตเพิ่มอีกคน
Vizintín ,Parrado และ Canessa ออกเดินทางเพื่อไปขอความช่วยเหลือ
แต่เนื่องจากสภาพอากาศไม่ดี พวกเขาไปได้ไม่ไกล ต้องถอยกลับมาที่พัก

*วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน ปี 1972
วันนี้อากาศแจ่มใส Parrado, Canessa และ Vizintín เริ่มออกเดินทาง
เขาเดินไปทางทิศตะวันตก กะว่าคงจะไปถึงพรมแดนชิลีซึ่งคงไม่ไกลจาก
ที่เครื่องบินตก
ระหว่างการเดินทางเขาพบกับซากหางเครื่องบิน
ในที่สุดเขาก้อพบแบตเตอรี่ เขาเลยเอามาใช้กับไฟฉายส่องเดินทาง
นอกจากนี้เขายังพบเสื้อผ้า อาหาร กล่องบุหรี่ในกระเป๋าเดินทางที่กระเด็นใกล้ซาก
หางเครื่องบิน ซึ่งเอามาใช้ประโยชน์ได้ระหว่างการเดินทางอันหนาวเหน็บ

*วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน ปี 1972
เขาตัดสินใจเดินไปทาง ตะวันตกเฉียงเหนือ และพวกเขาเดินทางตอนค่ำเร่งฝีเท้าให้พ้นจากภูเขายอดนี้ให้ได้
ข่าวร้ายสำหรับวันนี้ Rafael Echevarren เสียชีวิตเพิ่มอีกคน

*วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน ปี 1972
พวกเขากลับไปที่หางเครื่องอีกครั้งเนื่องจากแบตเตอรี่มีน้ำหนักมาก
(ผมไม่แน่ใจว่าแบตเตอรี่ของพวกเขา เป็นแบตเตอรี่สำรองของเครื่องใช้ฉุกเฉินหรือ APU ของเครื่องบิน)
เขาคิดแล้วว่าแบตเตอรี่ไม่สามารถต่อใช้กับวิทยุได้
พวกเขาเพิ่งรู้ว่าพวกตนเดินวนเวียนรอบเขานั่นเอง..โธ่...
แต่ก้อไม่เสียเปล่าเมื่อเอาเสื้อผ้า อาหาร บุหรี่ ให้พรรคพวก
ที่อยู่ในที่พัก



*วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน ปี 1972
วันนี้เป็นวันเกิด Bobby François พวกเขาให้ของขวัญแก่บ๊อบบี้
ได้แก่ห่อบุหรี่
Canessa and Parrado ช่วยกันแงะวิทยุเครื่องบินออกจากแผงเครื่อง

*วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน ปี 1972
Vizintín, Canessa, Parrado และ Harley แบกวิทยุเดินทางไป
ที่หางเครื่องบินช่วยกันต่อไฟวิทยุเครื่องบิน
กับแบตเตอรี่เครื่องบินเพื่อให้ใช้งานได้

*วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน ปี 1972
พวกเขานำวิทยุต่อกับแบตเตอรี่แต่ไม่สำเร็จ

*วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน ปี 1972
Parrado และ VizParrado และ Vizintín กลับมาที่พัก
เอาเสบียง ปล่อยให้ Harley และ Canessa ทำการต่อวิทยุอยู่ต่อไป

*วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน ปี 1972
Parrado และ Vizintín พยายามต่อวิทยุกับแบตเตอรี่อยู่หางเครื่องที่ไกลจากที่พัก
ย้อนกลับมาที่พักซากเครื่องมั่ง วันนี้พวกเขาเปิดวิทยุทรานซิสเตอร์
ทำให้เขาได้ข่าวว่า C- 47 ของกองทัพอากาศอุรุกวัย
เริ่มค้นหาพวกเขาอีกรอบ

*วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน ปี 1972
Harley, Canessa, Vizintín และ Parrado ทั้ง4คนเดินคอตกกลับที่พัก
พวกเขาหมดความหวังที่จะต่อวิทยุกับแบตเตอรี่เครื่องบิน

*วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม ปี 1972
วันนี้วันเกิด Parrado เขาได้รับของขวัญเป็นบุหรี่ที่เจอตรงหางเครื่องบิน

*วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม ปี 1972
Pancho Delgado เสียชีวิตอีกราย
Numa Turcatti หาเศษวัสดุมาทำไม้กางเขนขนาดใหญ่ให้เพื่อนเขา
เขากวาดหิมะ เอากระเป๋าเรียง เผื่อเครื่อง C-47 ที่กำลังออกค้นหาเขาจะพบ

*วันอังคารที่ 12 ธันวาคม ปี 1972
Canessa, Parrado และ Vizintín ออกเดินทางขอความช่วยเหลืออีกครั้ง
จุดหมายคือชิลี เขาเร่งทำเวลาเพราะปล่อยให้เนินนานไม่ได้
คืนนั้นพวกเขาพักค้างคืนข้างซอกหินโดยนอนในถุงนอน

Parrado นั่งคู่กับ Canessa และ Chilean


*วันพุธที่ 13 ธันวาคม ปี 1972
คาเนสซ่า(Canessa) เห็นทางตามหุบเขา เขาคิดไปเองว่านี่คือถนน
เขาบอกว่ามันไม่มีอะไร ไร้สาระน่า พวกเขาจึงปีนเขาไปกันต่อ
ตอนบ่ายแก่ๆ เขาทำที่นอนเตรียมไว้เพื่อนอนเอาแรงก่อนจะค่ำ
(ที่นั่นมันมืดไวนะครับ)
แต่การทำที่ทำทางเตรียมนอน ปาร์ราโด(Parrado)แรกๆไม่เห็นด้วยต้องรีบเดินทางต่อ
แต่ทว่าตอนหลังปาร์ราโดคงเพลียอยากนอน เลยหลับตามๆกัน

กลับมาที่พักซากเครื่องบิน อาหารได้เริ่มหมดลงเรื่อยๆ
Zerbino กับ Fito ออกไปหาศพที่ฝังอยู่เพื่อแล่เนื้อ
มาให้พรรคพวกกินกัน เขากลับมาด้วยความอ่อนเพลียเป็นที่สุด

*วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม ปี 1972
-ขณะที่ Vizintín และ Parrado เดินขึ้นภูเขาท่ามกลางหิมะที่ลงหนา
แต่ Canessa นั่งอยู่ตรงที่เขานอนข้างโขดหิน เขาคอยสังเกตที่ถนนหวังจะมี
ใครสักคนผ่านมา จะได้ขอความช่วยเหลือ
Parrado เดินถึงยอดเขา เขามองไปรอบๆขอบฟ้า ช่างไม่มีที่สิ้นสุด
-เนื่องจากอาหารซึ่งเป็นเนื้อมนุษย์ กำลังจะร่อยหรอลงเรื่อยๆ
Vizintín แบ่งอาหารส่วนของเขาให้เพื่อนๆทั้ง2คน
เพราะ Vizintín คิดว่าเขาควรจะกลับไปที่พักซากเครื่อง เพื่อเพื่อนๆทั้ง2คน
จะได้ทีอาหารเพิ่มจากที่เขาแบ่ง
Canessa และ Parrado เดินๆนอนๆมา2วัน
ที่พักซากเครื่องบินแดดกำลังส่องทอแสงลงมา Páez และ Algorta
ปีไปที่หุบเขา หาศพที่เหลือเอามารวมรวมแล้วเอาหิมะถมไว้เยอะๆ
เพราะแดดจะทำให้ศพเน่ากินไม่ได้

*วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม ปี 1972
Vizintí เดินกลับมาที่พักเนื่อจากเป็นขาลงภูเขา
Vizintí บอกแก่เพื่อนๆว่าCanessa และ Parrado กำลังเดินทางไปชิลี เนื่องจาก
เสบียงอาหารหมด Vizintí จึงนำเสบียงให้พวกเขาไปและตัวเอง
ขอถอนตัวกลับที่พักดังเดิม

*วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม ปี 1972
Canessa และ Parrado ปีนไปที่ยอดเขาเพื่อสำรวจเส้นทาง
ที่พวกเขาจะเดินทางต่อ เขานอนพักที่นั่น

ภาพจากBBC ย้อนรอยแสดงทางที่ทั้งคู่เดินผ่าน




*วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม ปี 1972
Parrado และ Canessa เดินลงจากยอดเขาในตอนกลางวัน
เขาเดินไปเรื่อยๆ พวกเขาเห็นพงหญ้า มอส พืชต่างๆ
นับตั้งแต่เครื่องบินตกมาเขาไม่เคยเห็นมันอีกเลยจนเพิ่มมาได้เห็นอีก
เขาเลือกพืชที่พอจะกินได้เป็นอาหารแทนเสบียง

*วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม ปี 1972
ทั้งสองเดินลงจากหุบเขามาเรื่อยๆปาร์ราโด้เดินรีบๆแซง
คาเนสซ่าทางซ้าย อย่างร้อนใจ หวังเจอบางสิ่งบางอย่างข้างหน้า
ยิ่งเขาเดินไปเรื่อยๆวิวที่มีหิมะห้อมล้อมค่อยๆเป็นพืชและสัตว์ต่างๆ
เขาเห็นแม่น้ำซึ่งไหลไปทางไหลไปทางทิศตะวันตก
จากสิ่งเหล่านี้เอง คาเนสซ่ารู้สึกว่าไม่ต้องใช้แว่นกันแดด
ป้องกันแสงสะท้อนของหิมะอีกแล้ว
คืนนั้นพวกเขานอนอย่างสบายไม่ต้องคดคู้กลัวหิมะฝังตัวเองอีกต่อไป

*วันอังคารที่ 19 ธันวาคม ปี 1972
ในตอนเช้าอากาศกำลังดี เขาได้ยินเสียงฝูงวัวร้อง
ทั้งสองจึงรีบเดินไปที่ต้นเสียง
เขาได้พบกับร่องรอยผู้คนเป็นครั้งแรก มีทั้งกระป๋องซุปเ้ปล่า เกือกม้า
เห็นวัวอีกมากมาย เขาดีใจ คราวนี้นอนหลับสนิทซะทีไม่ต้องหวั่นกลัวใดๆ
ว่าแล้วเขาก้อนอนต่อเนื่องจากความอ่อนเพลียจากการปีนเขา
เป็นผมก้อนนอนต่อนะ ทำไงได้นอนสบายกว่ากองหิมะไปไหนๆ

*วันพุธที่ 20 ธันวาคม ปี 1972
เขาตื่นขึ้นมาเก็บข้าวของ อุปกรณ์เดินทางที่ไม่จำเป็นเอาทิ้งออกไป
เช่นถุงนอน เสื้อผ้ากันหนาวหลายชั้น
เนื่องจากพวกเขามั่นใจแล้วว่า อยู่ในถิ่นคนอาศัยอยู่ รอดตายแน่ๆ
คาเนสซ่ารู้สึกไม่สบายเนื่องจากตะคริวกินที่ท้อง ทำให้ปวดบริเวณท้อง
ปาร์ราโด้จึงช่วยประคับประคอง และช่วยแบกเป้ของเขาให้
ก่อนหน้านั้นปาร์ราโด้ตั้งในว่าจะเดินตามแม่น้ำสายที่สองที่แยกออกไป
ขณะที่สองคนนั้นกำลังเก็บฟืนกันอยู่ เขาเห็นชายคนหนึ่งขี่ม้าอยู่อีกฟากของแม่น้ำ
จึงตะโกนให้ชายผู้ขี่ม้าอยู่ได้ยินอย่างสุดเสียง(แหกปากนั่นเอง)
โบกไม้โบกมือขอความช่วยเหลือ และเขาทั้งสองเห็นคนอีก 3 คนโผล่มาอีก
คนที่ขี่ม้า(นั่งบนม้านั่นแหล่ะ) ตะโกนแข่งกับเสียงแม่น้ำ ตอบกลับว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากันเด้อ
เนื่องจากไม่สามารถข้ามแม่น้ำที่เย็นเฉียบและกว้างเสียงดังฟังไม่ค่อยได้ยินได้นั่นเอง
วันนั้นพวกเขาทั้งสองหลับอย่างมีความสุข ด้วยความหวังในวันพรุ่งนี้

*วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม ปี 1972
กลับมาดูตรงที่พักซากเครื่องบินบ้าง วันนี้คาร์ลอซ เปรซ และ ดานีลล์ เฟอร์นันเดส
รู้สึกลึกๆว่า พวกเขาสองคน คาเนสซ่า และ ปาร์ราโด้
คนจะตามคนมาช่วยเป็นแน่แท้ฟันธง

เช้าวันนี้ คาเนสซ่า และ ปาร์ราโด้ เห็นชายสามคนเดินเลี้ยงวัวอยู่ฝั่งตรงข้ามอีก
ครั้งนี้เขาตะโกนเรียกชายทั้ง3 คน มาที่ริมแม่น้ำ
ชายผู้นั้นเห็นก้อจำได้ จึงเขียนลงเศษกระดาษใส่ในหินขว้างมาที่เขา
ข้อความว่าเราส่งคนมาไม่ช้า จะยังไงต่อ แล้วขว้างมาที่ปาร์ราโด้

ปาร์ราโด้เขียนตอบกลับลงไปว่า
"ผมมาจากเครื่องบินที่ตกในภูเขา ผมเป็นคนอุรุกวัยซึ่งเดินทางมาสิบวันแล้ว
ยังมีเพื่อนๆของผมที่รอการช่วยเหลืออยู่ที่14 คน
พวกเขาต้องได้รับการช่วยเหลือให้เร็วที่สุด
เราไม่มีทั้งอาหารและน้ำ จะหมดลมกันหมดแล้ว
ไม่สามารถมาขอความช่วยเหลือทั้งหมดได้ SOS"

ข้อความที่ปาร์ราโด้เขียนส่งให้


เขาใส่ก้อนหินโยนให้ชายทั้ง 3 คนได้อ่าน
ไม่กี่ชั่วโมงชายขี่ม้าเขาคือ Sergio Catalán ได้มาถึงฝั่งของเขา
พร้อมกับขนมปังให้พวกเขากิน
คาเนสซ่า และ ปาร์ราโด้ เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง
เนื่องจากข่าวเครื่องบินตกเป็นที่กระฉ่อนอยู่แล้ว
แถมพ่อแม่ญาติๆออกตามหาตามหมู่บ้านกันอยู่
ชายผู้นั้น ขี่ม้าไปแจ้งที่ด่านศุลกากรที่อยู่ใกล้ๆ
ไม่ช้าบรรดาเจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ติดต่อ
เฮลิคอปเตอร์จากซานเทียร์โกเตรียมตัวออกค้นหา
แต่สภาพอากาศไม่ดีจึงต้องเป็นวันพรุ่งนี้
....ข่าวการพบคาเนสซ่าและปาร์ราโด้ไปขอความช่วยเหลือ
ทำให้ผู้ที่รออยู่ที่ซากเครื่องเปิดวิทยุทรานซีสเตอร์ฟังอยู่ตลอด
ได้ยินและพากันยินดี

*วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม ปี 1972
ที่ Los Maitenes เช้านี้หมอกลง
คาเนสซ่าและปาร์ราโด้กลัวว่าเฮลิคอปเตอร์จะออกค้นหาไม่ได้ พวกเขากังวลมิใช่น้อย
ระหว่างที่เขาทานอาหารเช้า กลุ่มประชาชน ผู้สื่อข่าวต่างห้อมล้มพวกเขา
เพื่อสอบถามต่างๆนานา เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อแต่หลีกเลี่ยงที่จะตอบว่า
พวกเขาประทังอยู่ยังไง(ก้อแหง๋ซิ่ครับ ใครจะไปตอบว่าไปกินเนื้อมนุษย์มา เดี๋ยววงแตก)

คาเนสซ่า ได้รับการปฐมพยาบาลที่ Los Maitenes


อากาศเริ่มดี เฮลิคอปเตอร์มาลงที่หมู่บ้านเขา
การค้นหาครั้งนี้นำโดยปาร์ราโด้คอยชี้ตำแหน่ง ออกบินค้นหา
(คาเนสซ่ารักษาตัวอยู่เนื่องจากอาการปวดท้องเพราะตะคริว)

เฮลิคอปเตอร์ออกบินค้นหา


เฮลิคอปเตอร์บินมาถึงที่เกิตเหตุ เพื่อนๆเขาโบกมือโห่ร้องด้วยความดีใจ
เขาทำสำเร็จแล้ว!! แต่เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยเป็นฮ.ฮิวอี้ เลยจุได้อีกไม่เกิน 6 คน
ดังนั้นจึงทิ้งคนที่เหลือกับทีมแพทย์และนักปีนเขา
พร้อมอุปกรณ์เวชภัณฑ์ อาหารต่างๆเพื่อรอเที่ยวต่อไป

พวกเขาดีใจอยู่ไม่กี่ชั่วโมง เจ้าหน้าที่พาพวกเขาไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล St. John of God ที่ San Fernando

ภาพถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ พบผู้รอดชีวิตครั้งแรก
เป็นภาพที่อดปลื้มไม่ได้





เฮลิคอปเตอร์ landingมาถึง Los Maitenes


บรรดาพ่อแม่ญาติๆแห่ล้อมด้วยความดีใจ


บรรยากาศเห็นแล้วอดปลื้มไม่ได้ครับ
คนที่แทบทุกคนทำใจแล้วว่าไม่รอด กลับรอดดั่งปาฏิหาร



เนื่องจากทัศนวิสัยเริ่มไม่ค่อยดี หมอกเริ่มลงหนา
ทำให้การช่วยเหลือผู้ที่ยังรอดชีวิตทำไม่ได้ในวันนั้น


*วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม ปี 1972
ตอน10โมงเช้าเฮลิคอปเตอร์ลงมาจอดที่หมู่บ้าน(เป็นที่พักชั่วคราว)
เพื่อไปช่วยผู้รอดชีวิตที่เหลือที่ซากเครื่องบิน กลับมาที่ Los Maitenes



การไปรับผู้รอดชีวิตครั้งที่สองไม่เหมือนชุดแรก
เพราะเครื่องลงที่ Colchagua ก่อนจะส่งตัวไปที่
โรงพยาบาลบริการสุขภาพ แห่งชาติใน Santiago ทันที

สำหรับ 6 คน แพทย์ให้กลับได้ เขาไปพักที่โรงแรมเชอราตัน
(Sheraton Hotel ไม่ใช่ที่ไทยนะครับ) Harley และ Methol ยังพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล

เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยกับซาก Fairchild เข้าเคลียร์พื้นที่


*วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม ปี 1972
4 คนที่รักษาตัวที่โรงพยาบาล วันนี้เขาได้ออกมาร่อนได้ซัักที
พวกเขาฉลองกันที่ Sheraton ก่อน
Roberto François และ Daniel Fernándezกลับมาที่ Montevideo
(ที่เดิมเลย) เขาฉลองคริสต์มาสที่นี่ และคนอื่นๆจึงตามมาสมทบที่หลัง
เขาฉลองกันข้ามวันเลยทีเดียว

งานฉลองครับ เหมือนเลี้ยงรับขวัญล่ะมั๊งครับ


*วันอังคารที่ 26 ธันวาคม ปี 1972
แยกย้ายกระจายวงกันไปแระครับ ใครไปทำอะไรก้อไปทำ
Parrado ขอกลับไปบ้านที่ Viña del Mar แปลไทยๆว่าทุ่งองุ่น พอไหวล่ะนะ
Algorta ออกจาก Santiago กลับบ้าน พร้อมคนอื่นๆ
หนังสือพิมพ์ Santiago ที่ชื่อว่า “El mercurio” พาดหัวหน้าหนึ่ง
กล่าวถึงผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตก พร้อมบทสัมภาษณ์

*วันพุธที่ 27 ธันวาคม ปี 1972
พวกเขาใช้ชีวิตถึง72 วันแห่งความทรมาน
แต่ยังนอนไม่หลับกันดีหรอกครับ งานนี้พวกเขาชาวคริตส์ต้องไถ่บาป
จะอะไรซะล่ะ ระหว่างรอความช่วยเหลือกลางหิมะ
เขาทานเนื้อมนุษย์กันมาทั้งนั้น ซึ่งบาทหลวงลงความเห็นว่า
พวกเขาไม่บาป เพราะเป็นการกินเพื่อประทังชีพ หาฆ่ามากินไม่

กลับบ้าน


5ปีผ่านไป หลังเครื่องบินตก มีนักปีนเขาพบบัตรประจำตัวของ
Parrado ใกล้ที่เกิดเหตุ นอกจากมียังมีของเล็กๆน้อยๆ
ตกกระจายไปอีก เขาได้เก็บคืนส่งให้ Parrado



อนุสรณ์รำลึกผู้เสียชีวิต ถ่ายปัจจุบันช่วงฤดูร้อน


ซากชิ้นส่วนเครื่องบินเล็กๆน้อยๆยังคงอยู่ไว้เป็นอนุสรณ์




ติดตามต่อภาค2 พร้อมบทสัมภาษณ์ของผู้รอดชีวิต
ผิดถูกอย่างไร เนื้อหาไม่สบอารมณ์ต้องขออภัยล่วงหน้า
เพราะบทความนี้เขียนไปเรื่อยๆ ไม่สามารถอิงข้อมูลเป็นวิชาการได้นะครับ



ขออาลัยแด่ผู้ที่จากไปในเที่ยวบิน 571 ไว้ ณ ที่นี้




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2553
5 comments
Last Update : 12 สิงหาคม 2554 11:40:42 น.
Counter : 10156 Pageviews.

 

ชอบหนังเรื่องนี้มาก ดูแล้วน้ำตาไหลเลย รอติดตามตอนต่อไปอยู่ครับ

 

โดย: Pond IP: 118.172.32.223 25 สิงหาคม 2553 20:04:29 น.  

 

ผมติดตามอ่านบล๊อกนี้มาตั้งแต่ต้นแล้วครับ เนื้อหาดีมากๆ กำลังรออ่านต่ออยู่นะครับ :P

 

โดย: jingjing IP: 222.123.21.11 28 สิงหาคม 2553 9:50:03 น.  

 

พึ่งเคยเห็น blog นี้ครับ เห็นแล้วทึ่งไม่น้อยทีเดียว

 

โดย: Kross_ISC 7 สิงหาคม 2554 8:09:58 น.  

 

ขอบคุณมากค่ะ

 

โดย: fang IP: 58.8.153.195 12 กันยายน 2556 0:06:15 น.  

 

ตื่นเตนมาก ๆ ขอบคุณนะค่ะ ชอบมากเลย

 

โดย: MAY IP: 118.172.9.103 11 มีนาคม 2557 10:51:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


EL MACHO
Location :
กรุงเทพฯ Puerto Rico

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




. . . พูดน้อย . . .

. . . ต่อยหนัก . . .
น้องกิ๊กลิง
น้องเพนกี้
น้องลิงกี้
X
X
X
Friends' blogs
[Add EL MACHO's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.