In the memory of RED (1993-2006)
โดย merveillesxx
เช้ามืดของวันที่ 14 เมษายน เวลาประมาณตีห้ากว่าๆ ขณะผมกำลังนอนเอกเขนกนั่งดูมิวสิกวิดีโอเพลง Daybreak ของ Ayumi Hamasaki แม่ก็เปิดประตูเข้ามาบอกว่า สงสัย Red จะตายแล้ว
แม่เดินลงไปโดยเปิดประตูห้องผมทิ้งไว้ คงกะจะให้ผมตามลงไป ผมนั่งนิ่งๆ ดูภาพที่เคลื่อนไหวตรงหน้าอยู่สักพักแล้วจึงตามลงไป
เมื่อเดินลงมา ผมเห็น Red นอนแข็งทื่ออยู่บนพื้น ตาของมันยังคงเปิดค้างอยู่ แม่พยายามจะปิดตาให้มัน แต่ไม่เป็นผล ผมจ้องมันอยู่สักพัก ไม่ได้พูดอะไรสักคำ แล้วก็เดินขึ้นบ้าน
ในห้องของตัวเอง ผมนอนลงบนโซฟา แล้วกดเล่นมิวสิกวิดีโอเพลง Daybreak ของ Ayumi Hamasaki อีกครั้ง จากนั้นก็ปิดไฟเข้านอน
ท่ามกลางความมืดของคืนก่อนผสมกับแสงของเช้าวันใหม่...ผมร้องไห้ แล้วก็หลับไปในที่สุด
..
เราสามคนพ่อแม่ลูกย้ายมาอยู่บ้านแถวลาดพร้าว ช่วงเดือนธันวาคม ปี 2535 บ้านหลังใหม่เป็นทาวน์เฮ้าส์เล็กๆ แต่ก็มีพื้นที่มากกว่าบ้านตึกแถวหลังก่อน บ้านใหม่ทำให้เรามีสวนเล็กๆ หน้าบ้าน ส่วนผมก็มีห้องของตัวเอง (นั่นก็คือผมนอนแยกห้องคนเดียวตั้งแต่ ป.2 ซึ่งต่างจากเพื่อนๆ คนอื่นพอสมควร)
ช่วงต้นปี 2536 พ่อบอกว่าบ้านหลังใหม่กว้างพอจะเลี้ยงหมาได้ ว่าแล้ววันหนึ่งพ่อก็ซื้อหมาพันธุ์พูเดิ้ลทอย (จะมีขนาดเล็กกว่าพูเดิ้ลธรรมดา) ตัวเมีย อายุ 2 เดือน มาจากสวนจตุจักร
เรื่องฮาก็คือ พ่อซื้อมันมาในราคาที่ถูกมาก เพราะมันมีตำหนิคือเป็นขี้เรื้อน (แต่ก็แค่นิดเดียวนะ ไม่ได้เป็นทั้งตัว) แต่แล้วคนสามารถอย่างพ่อก็ทำให้มันกลับมามีขนสวยนิ้งจนได้ (จริงๆ แล้วพ่อทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ ตั้งแต่ตัดขนหมา, ซ่อมปั๊มน้ำ, แกะสลักปูนขาว ไปจนถึงทำโจทย์เอนทรานซ์วิชาฟิสิกส์)
พ่อตั้งชื่อหมาตัวนั้นว่า Red เพราะมันมีขนสีน้ำตาลแดง (และภายหลังหมาในบ้านทุกตัวจึงมีชื่อขึ้นต้นด้วยตัว R ทั้งหมด) แต่ช่วงหลังมาสีขนของ Red ก็จางลงไปมาก นึกถึงแก้วชานมที่น้ำแข็งละลายหมดแล้ว
นั่นแหละสีขนของ Red
ด้วยความที่ไม่เคยเลี้ยงหมา ช่วงแรกๆ ผมกลัว Red มาก ถึงขนาดเวลากินข้าวก็ต้องเอาขาขึ้นมาบนเก้าอี้ ถ้า Red เดินเพ่นพ่านอยู่แถวนั้น หรือถ้าเดินลงจากห้องไปแล้วเห็นมันดักรออยู่ที่บันได ก็จะหนีขึ้นกลับมาตั้งหลักทันที
คิดไปแล้วก็ตลกดีที่ดันไปกลัวหมาตัวนิดเดียวแบบนั้น
ผ่านไปเดือนนึง ผมก็หายกลัว Red แล้ว ทีนี้ก็ซี้กันเลย จำได้ว่าผมชอบเล่น ฝึกวิทยายุทธ กับ Red อยู่บ่อยๆ ก็ตามประสาเด็กประถมทั่วไปนั่นแหละ จนบางทีก็ทำไอ้ Red เจ็บตัวอยู่บ่อยๆ (แต่ก็ไม่ถึงขั้นขาหักหรือเลือดออกหรอกนะ) ย้อนคิดไปแล้วก็รู้สึกผิดเหมือนกัน
Red ยังเป็นหมาที่มีประโยชน์เชิงวิชาการด้วย ตอน ป.5 ผมก็ทำรายงานเรื่อง พฤติกรรมสุนัข จนอาจารย์วิทยาศาสตร์ยังเอาไปชมหน้าชั้น (รู้สึกว่าเก็บรายงานฉบับนั้นไว้ด้วย แต่ไม่รู้อยู่ไหน) ส่วน ม.2 ก็เอาไปเขียนเรียงความภาษาอังกฤษเรื่อง My Lovely Dog
ยังจำได้เลยว่าพอเขียนไปว่า her name is Red อาจารย์ดันเขียนกลับด้วยปากกาแดงมาว่า Is her name RED or DANG?
เฮ้อ มิน่าล่ะระบบการศึกษาไทยมันถึงเต่าถุยอยู่แค่นี้
นอกจากนั้น Red ยังเป็นมุกหากินประจำของผมเวลามีสอบพูดหน้าชั้นในวิชาภาษาไทย ไม่ว่าจะ ม.1 ม.2 หรือ ม.3 ผมก็พูดเรื่อง สุนัขของฉัน ยันเต จนเพื่อนบางคนก็อยู่ห้องเดียวกันบ่อยๆ ยังแซวเลยว่า ไอ้ต่อ มึงพูดเรื่องนี้อีกแล้วนะ หากินของเก่านี่หว่า
จริงๆ แล้ว Red เป็นหมาที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไรหรอก ในบรรดาหมาทั้งหมดมันเป็นตัวที่เห่าเก่งที่สุดในบ้าน แล้วก็ชอบเป็นตัว เห่านำ ด้วย มันสามารถเห่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็น พ่อขับรถเข้าบ้าน, ข้างบ้านกดออด, เสียงแม่ผัดผักบุ้ง กระทั่งผมตบยุงมันยังเห่าเลย
เอากับมันสิ
นอกจากนั้นมันยังมีนิสัยประหลาดๆ คือ หวงพัดลม
เมื่อใครก็ตามที่คิดจะกดเปิดพัดลมตั้งพื้นที่ข้างๆ โต๊ะกินข้าว มันจะเข้าไปแง่งๆๆ ใส่ทันที จนตอนหลังทุกคนในบ้านต้องแอบกดพัดลมตอนที่มันเผลอ (บ้านนี้คนต้องยอมหมา)
Red มีลูกสองตัวชื่อ Rich กับ Rose (มาจากการ คลุมถุงชน กับพ่อพันธุ์ชั้นดีจากฟาร์มเชียวนะ) แต่ผมไม่ค่อยได้เล่นกับ Rich กับ Rose เท่าไร เพราะช่วงมัธยมกลับมาจากโรงเรียนก็สุดจะเหนื่อย (โดยเฉพาะตอน ม.ปลายที่ เรียนพิเศษทุกวัน) อยากขึ้นห้องไปตากแอร์โดยไว พอพวกหมาๆ เข้ามาดุ๊กดิ๊กๆ ผมก็จะหงุดหงิดแล้วตวาดใส่มันว่า โอ๊ย! ไปไกลๆ ไม่ต้องมายุ่ง
ก็นั่นแหละ Rich กับ Rose มันก็เลยไม่ค่อยกล้ายุ่งกับผมเท่าไร หนีไปหาแม่ผมแทน จะมีก็แต่ Red เนี่ยแหละที่เข้ามาหาผมบ้าง คงเพราะเล่นกับมันตั้งแต่เด็กๆ ล่ะมั้ง
ช่วงปี 3 ที่ย้ายกลับมาเรียนท่าพระจันทร์ ผมกลับมาอยู่บ้าน (ตอนปี 1-2 เรียนที่ มธ.รังสิต ผมอยู่หอ) ก็เลยมีเวลาเล่นกับหมาๆ มากขึ้น โดยเฉพาะ Red เพราะสองปีหลังมานี้มันชอบไปนอนอยู่ตรงบันได ดังนั้นเวลาจะเดินขึ้นเดินลงก็จะได้แวะเล่นกับมันอยู่บ่อยๆ จนช่วงหลังมานี้แม่ยังบอกเลยว่า Red ติดผมมากกว่าใครๆ ในบ้าน
ถึง Red จะแก่ที่สุดในบ้าน แต่มันก็ดูแข็งแรงที่สุด (มาจากการฝึกวิทยายุทธกับผมสมัยประถมแน่ๆ) มันยังเห่าเสียงดัง วิ่งเล่นไปมา กระโดดขึ้นลงได้เหมือนสมัยก่อน จนบางทีผมก็เปลี่ยนชื่อมันจาก เร้ด เป็น แร่ด
ผมกับแม่คิดว่ามันคงเป็นหมาตัวสุดท้ายที่ตาย เพราะ Red มีอาการแก่ตัวแค่เรื่องที่ตามันเป็นต้อขุ่นๆ ในขณะที่ Rich ฟันหลุดหมดปากแล้ว ส่วน Rose ตอนนี้ก็ขาเป๋อยู่ข้างนึง (มาจากตอนที่สมัยสาวๆ มันชอบกระโดดลงมาจากที่สูงๆ) Red เริ่มอาการไม่ดีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มันเริ่มนอนนิ่งๆ ไม่ดุ๊กดิ๊กๆ เหมือนอย่างเคย แล้วก็มีเสียงหายใจดังครืดๆ คราดๆ
พอวันอังคารแม่ก็เอาไปตรวจที่คลินิก หมอก็บอกว่าเป็น หลอดลมอักเสบ + ปอดอักเสบ โดยเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะมันแก่มากแล้ว (Red อายุประมาณ 13 ปี เทียบกับคนก็ประมาณ 72 ปี)
ผมกับแม่ก็พูดเปรยๆ เตรียมใจกันไว้ว่ามันคงจะไปแล้ว ผมคิดไว้ว่าตัวเองจะไม่เสียใจอะไรมากมาย จะไม่ร้องไห้ เพราะก่อนหน้านี้ ก็มีหมาตัวนึงคือไอ้ Rock (เป็นหมาใหญ่พันธุ์อัลเซเชี่ยน เอาไว้เฝ้าบ้าน) แก่ตายไปแล้วตัวนึงเมื่อสองปีก่อน (หลังจากนั้นก็ซื้อพันธุ์บางแก้วมาเลี้ยงตั้งชื่อว่า Rocky) คราวนั้นผมก็ใจหายนิดหน่อย ไม่ได้เสียใจอะไรมากมาย คงเพราะแทบไม่เคยเล่นกับ Rock เลย
มีอยู่เรื่องนึงที่ผมติดใจก็คือ เหตุการณ์เมื่อค่ำวันอังคาร ผมลงจากห้องมากินข้าว แล้ว Red ก็ดุ๊กดิ๊กๆ เข้ามาหา แต่มันก็ดูอาการไม่ค่อยดีเท่าไร ผมเล่นกับมันพักนึงแล้วก็หันไปกินข้าวต่อ แต่ Red กลับยืนอยู่ตรงนั้นแล้วก็จ้องผมนานมาก ผมก็ออกจะงงๆ ว่ามาจ้องตูทำไมหว่า จ้องอยู่สักพักมันก็เดินกลับไปนอนต่อ
แล้วหลังจากนั้นมันก็ไม่เคยเดินเข้ามาหาผมอีกเลย จนกระทั่งมันตาย
ผมมาคิดได้ตอนหลังว่าเคยอ่านเจอในหนังสือว่าเวลาหมารู้ตัวว่ากำลังจะตาย มันรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายมาเล่นกับเจ้านายเพื่อเป็นการขอบคุณ หลังจากนั้นมันจะ ปลีกวิเวก ไปนอนนิ่งๆ ห่างไกลจากผู้คน แล้วก็ตายอย่างสงบ
บางทีสิ่งที่ Red ทำในวันนั้น อาจจะเป็นอย่างที่หนังสือเค้าว่าไว้ก็ได้
ตอนที่เข้านอนผมคิดถึงเรื่องนี้ ก็เลยทำให้ผิดสัญญากับตัวเอง ผมว่าจะไม่ร้องไห้ แต่สุดท้ายก็ร้องจนได้ แต่ผมรู้สึกว่าการร้องไห้ในครั้งนี้มันแตกต่างจากครั้งอื่นๆ มันอาจจะเกิดจาก การสูญเสีย เหมือนกับเวลาถูกผู้หญิงทิ้ง แต่นั่นจะเป็นการร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนมนุษย์ที่ไม่เคยหลาบจำ แต่สำหรับ Red ผมจะร้องไห้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น น้ำตาในครั้งนี้จะมีความหมายถึง การจากลากันด้วยดี เหมือนกับที่ Red มายืนจ้องผมวันนั้น
สิ่งที่หลงเหลืออยู่ตอนนี้คงเป็นความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างที่ หายไป มากกว่า
Red อยู่กับผมมานานถึง 13 ปี มันเป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานเป็นอันดับต้นๆ ของชีวิต มันอยู่กับผมมาตั้งแต่ ป.3 จนถึง ปี 3 ความคิดหรือวิธีการมองโลกของผมเปลี่ยนไปมากแล้ว แต่ Red ไม่เคยเปลี่ยน มันยังคงวิ่งเข้ามาหาผมทุกครั้งเมื่อผมเดินเข้าบ้าน
ผมตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะบันทึกความทรงจำที่ผมมีต่อ Red เอาไว้ ระยะหลังมานี้ผมรู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองเลือนไปอย่างน่าใจหาย (อาจจะเหมือนสีขนของ Red) มันเป็นเรื่องน่ากลัวที่จะลืมความทรงจำที่บริสุทธิ์และไม่มีส่วนใดเลยที่ทำร้ายเราเลย
เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นชอบเก็บไว้แต่เรื่องราวที่ทิ่มแทงหัวใจตัวเอง
ตอนนี้ร่างของ Red ถูกฝังอยู่ในสวนของบ้านถัดไปสองหลัง (เรามีทาวน์เฮ้าส์เหลืออีกสองหลัง ขายไม่ออกเพราะเจอพิษฟองสบู่แตก) ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้จากไปไหนไกลนัก
จะว่าไปแล้วมันก็บังเอิญดีที่ผมรู้ว่า Red ตายตอนที่กำลังดูมิวสิกวิดีโอเพลง Daybreak ของ Ayumi Hamasaki เพราะท่อนฮุคของเพลงนี้ร้องว่า
No matter how far apart we are, we're still under the same sky
Create Date : 15 เมษายน 2549 |
|
30 comments |
Last Update : 15 เมษายน 2549 1:16:37 น. |
Counter : 2162 Pageviews. |
|
|
|
ครั้งแรกที่ร้องไห้เพราะหมาก็ตอนเรียน ป.6 หมาตัวนั้นของผมตาย เพราะโดนรถยนตร์ของพ่อทับ
และเมื่อ สามปีก่อน หมาตัวที่ผมรักมากที่สุดตัวหนึ่งพึ่งตายไป แต่มันตายตอนที่ผมไม่อยู่บ้าน ผมรู้ข่าวเพราะแม่โทรมาบอก ... คราวนี้ไม่ร้องไห้ แต่ก็ใจหาย เพราะเลี้ยงมันมาตั้งแต่มันเป็นลูกหมาตัวเล็กๆ แม้ว่าผมจะห่างบ้านไปนานแค่ไหน ถ้าผมกลับไป มันจะวิ่งเข้ามาหา ยืนสองขา เอาขาหน้าเกาะขาผมไว้แน่น ...
เมื่อต้องรับรู้ว่ามันจากไป ผมมีอิจฉามันเหมือนกัน ถ้าผมมีวงจรชีวิตสั้นๆ เหมือนหมาก็คงดี ...