วิวัฒนาการอัตราดอกเบี้ยอเมริกา
วิวัฒนาการอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกาช่วงปี ค.ศ.1930-1980 โดย merveillesxx
หมายเหตุ: จัดทำขึ้นเมื่อ ก.ย. 2547
ช่วงปี 1930-1960 ในปี 1930 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก (The great depression) อันเนื่องมาจากระบบการเงินตอนนั้นเป็นระบบแข่งขันโดยเสรี (Universal Banking) ทำให้ธนาคารแข่งขันกันโดยจ่ายดอกเบี้ยสูง ๆ เพื่อแย่งเงินฝาก นอกจากระดมเงินฝาก-ปล่อยสินเชื่อแล้ว ธนาคารยังเก็งกำไรในตลาดหลักทรัพย์ โดยธนาคารเอาเปรียบประชาชนเพราะแทนที่จะเอาเงินไปปล่อยสินเชื่อ กลับไปซื้อหลักทรัพย์ ดังนั้นสินทรัพย์ของธนาคารส่วนใหญ่จึงเป็นพวกพันธบัตร, หุ้นกู้
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในยุค 30s มีสัญญาณเตือนมาจากอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มพุ่งสูงขึ้น อันมาจากการที่ธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อ (เอาไปซื้อหลักทรัพย์แทน) ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจน้อยเกินไป อัตราดอกเบี้ยเลยสูงขึ้น การลงทุนลดลง รายได้ประชาชาติลดลงและอัตราว่างงานสูงขึ้น ปกติอัตราว่างงานจะประมาณ 4-5 % แต่ในช่วงนั้นสูงถึง 25 % ทีเดียว สรุป M↓ --> i ↑--> Investment↓ --> Y↓ --> อัตราว่างงาน↑
ส่วนธนาคารก็ประสบภาวะขาดทุนเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ทำให้ราคาตราสารลดลง ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในธนาคาร เกิดความตื่นตระหนกตกใจ (Panic) พากันแห่ถอนเงินจากธนาคาร จนในที่สุดมีธนาคารล้มตามไปเรื่อย ๆ (domino effect) ถึง 2,000 กว่าแห่ง
ในช่วงนั้นนักเศรษฐศาสตร์ชื่อว่า John Maynard Keynes ได้เสนอว่ารัฐบาลไม่ควรปล่อยระบบการเงินเป็นเสรี มือที่มองไม่เห็น (invisible hand) หรือกลไกตลาดตามแนวความคิดของสำนักคลาสสิกทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เคนส์เสนอว่ารัฐจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงระบบเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายการคลัง
ดังนั้นรัฐจึงมีนโยบายการคลังขึ้นมาหลายมาตรการเช่น การใช้พันธบัตรรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ, การจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝาก (FDIC Federal Deposit Insurance Corporation) เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่ประชาชนในการฝากเงิน, จัดตั้ง SEC (Security Exchange Committee คล้ายกับ กลต. (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) เพื่อการจำกัดการใช้ข้อมูลภายใน, มีการแบ่งระหว่างธนาคารออกเป็นธนาคารพาณิชย์ (Commercial Bank) กับธนาคารหลักทรัพย์ (Investment Bank - วาณิชธนกิจในไทย) และที่สำคัญมีการกำหนดมาตรการ Q (Regulation Q) คือการที่ธนาคารกลางกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อไม่ให้ธนาคารแข่งขันกันระดมเงินฝาก โดยการให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูง ๆ แล้วไปปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่สูง ทำให้ธุรกิจที่มากู้เงินจะหวังผลตอบแทนที่สูงจากกิจการ ซึ่งจะมีความเสี่ยงมาก (High Risk, High Return) การกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยจึงลดความเสี่ยงลง
มาตรการเหล่านี้ส่งผลดีในระยะสั้น (Short Run) แต่หารู้ไม่ว่าในระยะยาว (Long Run) ด้วยข้อกำหนดมากมายเหล่านี้จะนำมาซึ่งความหายนะของระบบเศรษฐกิจ มารตรการต่าง ๆ จึงเข้าข่าย ความตั้งใจที่ดี แต่นำมาซึ่งผลร้าย (good intention, bad evil)
จากการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ย ทำให้หลังจากปี 1933, 1934 อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำ มีการผันผวนแปรปรวนน้อย ระบบเศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากขึ้น
แต่
อย่างที่ไม่คาดคิด อัตราดอกเบี้ยในปี 1960 กลับเริ่มจะเพิ่มสูงขึ้น
ช่วงปี 1960-1970 อัตราดอกเบี้ยในปี 1960 เริ่มจะพุ่งสูงขึ้นหลังจากที่มีเสถียรภาพมาตลอด (หลังจากช่วงปี 1930) ซึ่งมีสาเหตุ 2 ประการ ดังนี้ 1. นโยบายหาเสียงทางการเมือง: สมัยนั้นประธานาธิบดี Kenedy ประกาศนโยบายลดภาษี (Tax Out) การลดภาษีทำให้คนมีรายได้ที่ใช้จ่ายได้จริง (Disposable Income, Yd) มากขึ้น การบริโภค-การลงทุนก็จะมากขึ้น ส่งผลให้รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้น ความต้องการถือเงิน (Md Money Demand) จึงมากขึ้น สรุป Tax↓ --> Yd↑ --> Consumption↑ --> Investment↑ --> Y↑ --> Md↑
2. สงครามเวียดนาม: สหรัฐอเมริกามีค่าใช้จ่ายมากในการทำสงครามเวียดนาม (ค่าใช้จ่ายในสงครามเวียดนามเป็นเงินมากกว่าค่าใช้จ่ายในสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมกับครั้งที่ 2 เสียอีก) จากการนี้ทำให้ปริมาณเงินลดลง นั่นคือ Ms↓ (Money Supply ลดลง) จากสาเหตุสองประการในข้างต้นทำให้อัตราดอกเบี้ยในปี 1960 สูงขึ้น
แต่เดิมนั้นส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยตลาดและเพดานอัตราดอกเบี้ยจะมีค่าน้อย (เช่นว่า i ตลาด = 4%, เพดาน i = 3%) ทำให้ประชาชนไม่มีแรงจูงใจในการถอนเงินไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เนื่องจากมีความเสี่ยงที่สูงกว่า
เมื่ออัตราดอกเบี้ยตลาดพุ่งสูงขึ้นในปี 1960 ธนาคารกลางก็ยังกำหนดให้เพดานอัตราดอกเบี้ยต่ำอยู่ จึงทำให้เกิดส่วนต่างของทั้งสองมาก (เช่น i ตลาด = 8%, เพดาน i = 3%) คนเห็นว่านำเงินไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะคุ้มกว่า จึงแห่กันถอนเงินจากธนาคาร เกิดการที่เงินไหลออกจากธนาคาร (Disintermediation) ธนาคารจึงขาดสภาพคล่อง
ในภาวะนั้นธนาคารต้องใช้กลยุทธอื่น ๆ มาช่วยเช่น การแจกของชำร่วยจนเป็นที่มาของคำว่า Teddy Bear Bank (เนื่องจากแจกตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์เป็นของชำร่วย), การออกตราสารชนิดใหม่ เช่น NCD (Negotiable Certificate of Deposit บัตรเงินฝาก, ตราสารธนาคารพาณิชย์ที่ต่อรองได้), การหาแหล่งเงินทุนที่เป็นเงินกู้จากตลาด Eurodollar
จากภาวะขาดสภาพคล่องธนาคารพาณิชย์จึงรวมตัวกันขอร้องให้ธนาคารกลางยกเลิก Regulation Q ซึ่งเมื่อธนาคารกลางทำการวิจัยก็พบว่าถ้ายกเลิก จะทำให้ธนาคารหลายแห่งล้มลง โดยเฉพาะธนาคารขนาดเล็ก
โดยสมมติว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็น 7% ซึ่งเป็นอัตราคงที่ (fix rate) เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ระยะยาว ถ้าธนาคารกลางกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ 5% ธนาคารก็ยังดำรงอยู่ได้ เนื่องจากมีส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเพดานอัตราดอกเบี้ยน้อย (รับ 7% จ่าย 5%) แต่เมื่อธนาคารกลางยกเลิกเพดานอัตราดอกเบี้ย แล้วอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น สมมติว่าเป็น 9% นั่นคืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (รับ 7% จ่าย 9%) ซึ่งอาจทำให้ธนาคารล้มได้ ปัญหานี้เรียกว่า Mismatching คือการที่อายุการไถ่ถอนของสินทรัพย์กับหนี้สินไม่เท่ากัน
ในช่วงปี 1960-1970 อัตราดอกเบี้ยก็ยังสูงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับการเกิดปัญหาเงินเฟ้อ แต่ในปี 1970 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มเปลี่ยนแปลงแบบผันผวนและเกิดภาวะ Stagflation
ช่วงปี 1970-1980 โดยปกติแล้วรัฐบาลจะทำการแก้ปัญหาอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้น โดยการอัดฉีดเพิ่มปริมาณเงินเข้าไป เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้สูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยจะลดลง มีการลงทุน การจ้างงานเพิ่มขึ้น การว่างงานลดน้อยลง
รูป: แสดงว่าเมื่ออัดฉีดปริมาณเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยก็จะลดลง
จากรูปคือ เมื่อเพิ่มปริมาณเงินเข้าไปจะทำให้เส้น Ms1 shift มาทางขวาเป็นเส้น Ms2 เกิดดุลยภาพใหม่ที่จุด 2 อัตราดอกเบี้ยจึงลดลงจาก i1 เป็น i2 โดยจากการที่อัตราดอกเบี้ยลดลงเพราะเพิ่มปริมาณเงิน (เพิ่มสภาพคล่อง) เข้าไปนั้นเราเรียกว่า Liquidity Effect สรุป (1) Liquidity Effect: Ms↑ --> i ↓--> Investment↑ --> Y↑ --> การว่างงาน↓ --> inflation↑ (เงินเฟ้อ) --> P↑
แต่ในทางเศรษฐศาสตร์อะไรที่ไม่มี ต้นทุน ต้นทุนจากการที่อัตราดอกเบี้ยลดลง เศรษฐกิจดีขึ้น การว่างงานน้อยลงก็คือ การเกิดเงินเฟ้อ (Inflation) อันเนื่องมาจากการที่ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น ทำให้ระดับราคาสูงขึ้น
การที่เศรษฐกิจดี คนมีงานทำ แต่ก็จะเกิดเงินเฟ้อ ระดับราคาสินค้าสูงขึ้น หรือว่างงาน แต่อัตราเงินเฟ้อต่ำ นั่นคือต้องมีการแลกเปลี่ยน (trade-off) ระหว่าง การว่างงาน (Unemployment) กับ ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) ดังที่แสดงได้ไว้ใน Phillips Curve
รูป: Phillips Curve แสดงการ trade-off ระหว่างการว่างงานกับภาวะเงินเฟ้อ
แต่ในช่วงปี 1970-1980 กลับกลายเป็นว่า - การเพิ่มปริมาณเงินไม่ทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง แต่กลับสูงขึ้นและมีความผันผวนรุนแรง - เกิดภาวะ Stagflation นั่นคือการการว่างงานและเงินเฟ้อขึ้นพร้อมกัน (ซึ่งขัดกับ Phillips Curve)
ปรากฏการณ์นี้ไม่สามารถใช้ทฤษฎีของเคนส์อธิบายได้ แต่นักเศรษฐศาสตร์ชื่อว่า Milton Friedman ได้อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยนั้นไม่ได้สิ้นสุดแค่รอบเดียว อันเป็นผลของ (1) Liquidity Effect แต่มีผลด้านอื่น ๆ อีก
จากการที่รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นจะทำให้คนมีความต้องการถือเงินมากขึ้น นั่นคือ Md จะมากขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เป็นผลลำดับที่สองเรียกว่า Income Effect สรุป (2) Income Effect: Y↑ --> Md↑ --> i↑
และจากการที่เกิดเงินเฟ้อ ระดับราคาสินค้าสูงขึ้น จึงทำให้คนมีความต้องการถือเงินมากขึ้นเช่นกัน Md จะมากขึ้นทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เป็นผลลำดับที่สามเรียกว่า Price Effect สรุป (3) Price Effect: P↑ --> Md↑ --> i↑ นั่นเป็นที่มาว่าทำไมการที่เพิ่มปริมาณเงินแล้ว อัตราดอกเบี้ยไม่ลดลงแต่กลับสูงขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วธนาคารที่ต้องพยายามรักษาเพดานอัตราดอกเบี้ยไว้ ก็จะทำการอัดฉีดเงินเข้าไปอีก เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยลดลง (จากผล (1)) แต่ต่อไปอัตราดอกเบี้ยก็จะขึ้นสูงอีก (จากผล (2) และ (3)) เป็นที่มาของการที่อัตราดอกเบี้ยมีความผันผวนขึ้น ๆ ลงๆ
คนจะเริ่มคาดการณ์ได้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะขึ้น-ลง คือในระยะสั้นเมื่อธนาคารกลางอัดฉีดเงินเข้ามา อัตราดอกเบี้ยจะลดลง แต่ในระยะยาวจากปริมาณเงินที่มากขึ้น ๆ จะทำให้เกิดเงินเฟ้อ นั่นคือ อัตราเงินเฟ้อที่คาด (Expected Inflation = E) จะเพิ่มขึ้น
จาก Fisher Equation: r = i - E หรือ i = r + E ในระยาวเราคาดว่า r (real rate) จะคงที่ ดังนั้นถ้า E ↑ --> i↑ เป็นผลลำดับที่สี่เรียกว่า Expected Inflation Effect สรุป (4) Expected Inflation Effect: E ↑ --> i↑ ซึ่งจากสถิติ Expected Inflation กับอัตราดอกเบี้ยนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน
นั่นคือ (1) ทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง (2) + (3) + (4) จะทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ถ้า (2) + (3) + (4) > (1) อาจจะทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นมากกว่าระดับเดิม ดังนั้นในระยะยาว อัตราดอกเบี้ยจึงมีแนวโน้มสูงขึ้น ๆ
จาก (2) + (3) + (4) ทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น การลงทุนจะน้อยลง รายได้ประชาชาติลดลง เศรษฐกิจถดถอย การว่างงานจึงมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจที่อัดฉีดเข้า จึงเป็นที่มาของภาวะ Stagflation นั่นคือในระยะยาวไม่มีการ trade-off ของการว่างงานกับอัตราเงินเฟ้อ สรุป Stagflation: i ↑↑--> Investment↓ --> Y ↓--> การว่างงาน↑ --> M↑ --> เงนเฟ้อ↑
ฟรีดแมนกล่าวว่าปรากฏการณ์ในปี 1970 เกิดจากการที่ธนาคารควบคุมการอัดฉีดเงินไม่ดีพอ เป็นนโยบายที่เลวร้ายที่จะไปควบคุมอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Target) ที่จริงแล้วควรที่จะไปควบคุมอัตราการเพิ่มของปริมาณมากกว่า (Monetary Aggregate Target) คือการรักษาปริมาณเงินที่จะเพิ่มขึ้นในระยะยาว กลไกตลาด (Market System) จะทำงาน โดยอัตราดอกเบี้ยจะแกว่งตัวในระยะสั้น แล้วในที่สุดจะคงที่ในระยะยาว ดังนั้นในปี 1979 ระบบเศรษฐกิจอเมริกาจึงเปลี่ยนมาใช้ Monetary Aggregate Target
แต่ฟรีดแมนยังกล่าวอีกว่านโยบายนี้สำเร็จได้ยาก อันมาจากปัญหาทางด้าน การเมือง ที่เรียกว่า Political Business Cycle คือวัฎจักรธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการเมือง กล่าวคือรัฐบาลดำรงอยู่ในวาระ 4 ปีจึงมองปัญหาในระยะสั้น ถ้าปล่อยดอกเบี้ยแกว่งตัว ช่วงที่อัตราดอกเบี้ยขึ้นสูง เศรษฐกิจแย่ลง การว่างงานเพิ่มขึ้น ประชาชนเดือดร้อน จะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล รัฐต้องเรียกความเชื่อถือคืน โดยจะอัดฉีดเงินเข้าไปอีกเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยลดลง นั่นทำให้วิธีของฟรีดแมนไม่ได้ผล
ผลกระทบต่อประเทศไทย การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงระยะเวลาที่สาม ระหว่าง พ.ศ.2516 2521 (ค.ศ. 1973-1978) ได้รับผลกระทบการที่อัตราดอกเบี้ยของอเมริกาสูงขึ้น โดยจำต้องปรับอัตราดอกเบี้ยในประเทศให้สูงขึ้นตามตลาดในต่างประเทศเพื่อป้องกันเงินทุนไหลออกนอกประเทศ และเป็นการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อในประเทศไปในตัว โดยปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานจาก 8% เป็น 10% ในปี พ.ศ.2516 แต่ยังไม่เพียงพอที่จะต้านทานภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงได้ จึงเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานเป็น 11% และกำหนดเพดานดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์สูงขึ้นอีก 1% ทุกชนิด
ช่วงหลังจากปี 1980 สหรัฐอเมริกาต้องรื้อระบบการเงินใหม่ทั้งหมด จากการอัดฉีดเงินมาตั้งแต่ปี 1960 ที่ทำให้เศรษฐกิจบวม มีการออกกฎหมายต่าง ๆ ที่ถือเป็นการปฏิรูปการเงินอีกครั้ง จากที่ให้รัฐเข้าควบคุมก็กลับสู่ระบบเสรีอีกครั้ง เช่น ยกเลิกเพดานอัตราดอกเบี้ย (ยกเลิก Regulation Q ซึ่งธนาคารล้มไป 203 แห่ง ธนาคารที่มีปัญหาอีก 1575 แห่ง ตามที่เคยคาดไว้), สถาบันการเงินมีอำนาจมากขึ้น, ธนาคารทำประกันหลักทรัพย์ได้ (เริ่มทำธุรกรรมข้ามกันได้)
ระบบการเงินเสรีนี้เองทำให้อเมริกาเป็นมหาอำนาจของโลกทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง
จนเหตุการณ์เมื่อ 11 กันยายน 2001 ที่ทำให้อเมริกาต้องสั่นคลอน และตรวจสอบการเป็น มหาอำนาจ ของตัวเองครั้งใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าอเมริกาจะยังทะนงตัวในฐานะ ตำรวจโลก และยังฝันหวานกับ อเมริกันดรีม ต่อไป
เอกสารอ้างอิง 1. The Economics of Money, Banking and Financial Markets: Frederic S. Mishkin 2. เศรษฐศาสตร์การเงินและการธนาคาร: วเรศ อุปปาติก 3. เอกสารประกอบคำบรรยายวิชาหลักเศรษฐศาสตร์ 2 (ศ.212): คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 4. //www.federalreserve.gov 5. //www.mises.org/fullstory.aspx?control=1181 6. //www.myeconlab.com/mishkin 7. //www.sparknotes.com/economics/macro/measuring2/section3.rhtml
Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2548 |
|
1 comments |
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2548 16:27:44 น. |
Counter : 5465 Pageviews. |
|
|
|