|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
FTA ไทย-สหรัฐ: หายนะหรือวัฒนะต่อการเข้าถึงยา
โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
หมายเหตุ
1. รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ศ.371 เศรษฐศาสตร์สุขภาพ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดทำขึ้นเมื่อ กันยายน 2549
2. วิชานี้ได้ A จ้ะ อิอิอิ
1. FTA คืออะไร
หากกล่าวโดยสรุป FTA (Free Trade Agreement) คือความตกลงร่วมกันระหว่างประเทศตั้งแต่ 2 ประเทศขึ้นไป เพื่อให้เกิดความร่วมมือทางการค้าระหว่างกันมากขึ้น อันเป็นรูปแบบการค้าแบบทวิภาคี (Bilateral Trade)
ในยุคทศวรรษ 90 จนถึงยุคหลังสหัสวรรษใหม่ (Post-Millennium Era) การค้าระหว่างประเทศ และการเงินระหว่างประเทศ (International Trade & International Finance) ทวีความสำคัญมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อันสอดคล้องระดับความเป็นโลกาภิวัตน์ (globalization) ที่เข้มข้นมากขึ้นในทุกประเทศ
การค้าหรือการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการมีการข้ามข่ายพรมแดนมากขึ้น และขยายวงกว้างไปทั่วภูมิภาค ในวงการสาธารณสุขเองก็มีตัวอย่างให้เห็น เช่น การแลกเปลี่ยนปัจจัยการผลิตด้วยการนำเข้าแพทย์หรือยาจากต่างประเทศ
ตามจริงแล้วด้วยลักษณะของโลกาภิวัตน์ที่กล่าวไป ลักษณะของการค้าควรจะเป็นในรูปแบบที่มีการเชื่อมโยงในระดับหลายประเทศ หรือข้อตกลงทางการค้าแบบภูมิภาค (RTA, Regional Trade Agreement) แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นจริงกลับกลายเป็นว่าหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น กลับเน้นยุทธศาสตร์การค้าด้วยการเจรจาทางการค้าแบบ ทวิภาคี หรือ FTA มากกว่า ซึ่งสาเหตุนั้นคงหนีไม่พ้นว่าประเทศมหาอำนาจย่อมมีอำนาจต่อรองในการทำสัญญามากกว่าประเทศคู่ค้านั่นเอง
ประเทศไทยเองก็ถูกกระแสของเศรษฐกิจสังคมโลกพัดพาเข้าสู่วงจรของ FTA เช่นกัน จนทำให้ช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ ประเด็นของ FTA เป็นที่สนใจของสังคมในระดับวงกว้าง มีรายงานวิจัยสืบเนื่องออกมาหลายฉบับ มีการถกเถียงเชิงวิชาการ ไปจนถึงการวางบทบาทต่อต้าน FTA อย่างชัดเจนของคนบางกลุ่ม
สถานการณ์ในปัจจุบันนั้น ประเทศที่ไทยได้ทำการตกลงสัญญา FTA ไปแล้วนั้นประกอบด้วย บาห์เรน (2545), จีน (2546), อินเดีย (2547), ออสเตรเลีย (2548) และนิวซีแลนด์ (2548) (จาก //www.ftadigest.com/backgroundFAQ.html#status01)
ส่วนสองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อย่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกานั้นยังไม่ได้มีการตกลงอย่างเป็นทางการ โดยไทยกับญี่ปุ่นนั้นมีความสัมพันธ์ในเชิง พันธมิตรทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด ส่วน FTA ไทย-สหรัฐนั้นยังอยู่ในการพิจารณา
หัวข้อต่อไปจะลงรายละเอียดถึง FTA ไทย-สหรัฐ อันเป็นประเด็นถกเถียงทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา
2. FTA ไทย-สหรัฐ
ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาประเทศสหรัฐอเมริกาได้เน้นใช้นโยบายทางการค้าโดยเน้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรีอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในระดับภูมิภาค และระดับทวิภาคี ยุทธศาสตร์การค้านี้มีชื่อเรียกว่า Competitive Liberalization นั่นก็คือการที่สหรัฐจะเน้นการเปิดเสรีการค้าทั้งระดับพหุภาคี ภูมิภาค และทวิภาคีไปพร้อมๆ กัน
สหรัฐอเมริกาได้ทำความตกลงการค้าเสรี FTA ไปแล้วกับจอร์แดน อิสราเอล ชิลี สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และโมร็อคโค และอยู่ในระหว่างการเจรจากลุ่ม 5 ประเทศในแอฟริกา (Southern African Customs Union: SACU) และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเช่น ไทย และเกาหลีใต้ (จาก //www.ftadigest.com/backgroundHandbookFTA02.html)
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาสหรัฐเร่งการทำเจรจา FTA กับประเทศต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด สาเหตุประการแรกก็คือ สหรัฐต้องการเจรจา FTA ให้เสร็จสิ้นก่อนที่กฎหมาย Trade Promotion Authority (TPA หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Fast Track) อันให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการเจรจาการค้าได้โดยสะดวก จะหมดอายุลงในปี 2007
อีกประการหนึ่งก็คือ ศักยภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐนั้นลดทอนลงไปมาก ตั้งแต่ยุคหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 (Post 9/11 Era) เป็นต้นมา รัฐบาลของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช สูญเงินไปมหาศาลกับการปราบการก่อการร้าย และการส่งทหารเข้าไปอัฟกานิสถานและอิรัก งบประมาณการคลังที่ลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจของสหรัฐหดตัวอย่างมาก จนทำให้เศรษฐกิจของประเทศจีนรุ่งเรืองขึ้นมา และถือเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของสหรัฐ ดังนั้นการเร่งทำ FTA กับประเทศต่างๆ (โดยเฉพาะประเทศที่มีอำนาจต่อรองน้อยกว่า) จึงน่าจำเป็นต่อการเยียวยาเศรษฐกิจของสหรัฐเอง
สำหรับประเทศไทยนั้น รัฐบาลระบอบทักษิณาธิปไตย (2544-2549) ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สนับสนุนการทำ FTA กับประเทศต่างๆ รวมถึง FTA ไทย-สหรัฐอย่างเห็นได้ชัด จนนักวิชาการหลายคนแสดงความคิดเห็นว่าการทำ FTA ไทย-สหรัฐ อย่างเร่งรีบ รวดเร็ว และรวบรัด คงจะเป็นหนึ่งในยุทธวิธีเศรษฐกิจแบบทักษิโณมิกส์ (Thaksinomics) อันมีเป้าหมายเพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนบุคคล (Private-Interest Maximization)
รายงานวิจัยหลายชิ้นได้ศึกษาผลกระทบของ FTA ไทย-สหรัฐ เช่น ด้านเศรษฐกิจมหภาคของไทย สาขาการเกษตร อุตสาหกรรมยานยนต์ การค้าบริการ โทรคมนาคม การเงิน การค้า ฯลฯ งานวิจัยเหล่านี้ (โดยไม่นับรายงานของหน่วยรัฐที่มักเข้าข้างรัฐบาล และนำเสนอแต่ด้านบวกของ FTA) อาจมีมิติทางการศึกษาที่แตกต่างกัน แต่มักได้ผลสรุปออกมาในแนวทางเดียวกันคือ ประเทศไทยค่อนข้าง เสียเปรียบ ในข้อตกลง FTA ไทย-สหรัฐ และเสนอให้รัฐบาลชะลอการเร่งทำ FTA กับสหรัฐไว้ก่อน อีกประเด็นที่น่าคิดคำนึงก็คือ เรื่องของ การมีส่วนร่วม ของประชาชนในการทำสัญญา FTA โดยสภาพความเป็นจริงก็คือ ประชาชนส่วนใหญ่แทบจะไม่รู้เรื่องเลยว่า FTA มีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว (บางคนยังไม่รู้จักด้วยซ้ำว่า FTA คืออะไร แม้จะเป็นถึงนักศึกษาระดับอุดมศึกษาแล้วก็ตาม) รัฐบาลดำเนินการทุกอย่างโดยไม่สนใจเสียงเรียกร้องใดๆ ทั้งสิ้น และใช้นโยบายแบบประชานิยม (Populism) ให้ประชาชน (โดยเฉพาะระดับรากหญ้า) มีความภักดี (Loyalty) ต่อรัฐบาล พร้อมกับเป็นการ ปิดปาก ประชาชนไปในตัว
ทั้งที่จริงแล้วเป็นกฎสากลที่รู้โดยทั่วกันว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้น เป็นกลไลสำคัญในกระบวนการทำ FTA เพราะผู้ที่จะได้รับ ผลกระทบ จาก FTA มากที่สุดก็คือ ประชาชนนั่นเอง
ในหัวข้อต่อไปจะนำเสนอถึงผลกระทบด้าน การเข้าถึงยา ของการทำ FTA ไทย-สหรัฐ อันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุดเรื่องหนึ่งของประชาชนชาวไทย
3. ผลกระทบของ FTA ไทย-สหรัฐ ต่อการเข้าถึงยา
3.1 จาก TRIP+ สู่ US+
ข้อสังเกตโดยทั่วไปที่ค้นพบในการทำ FTA ของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะการทำกับประเทศสิงคโปร์ ชิลี ออสเตรเลีย อเมริกากลาง หรือแม้แต่ประเทศไทยก็ตาม เรามักพบว่าข้อตกลงใน FTA นั้นมีความเข้มงวดมากกว่าข้อตกลง TRIPS (Trade-Related Aspects of Intellectual Property Rights) อันเป็นข้อตกลงว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาขององค์กรการค้าโลก (WTO) จนถูกเรียกว่าเป็น TRIPS+ หรือทริปส์ผนวก
แต่ถ้าหากศึกษาลงในรายละเอียดแล้วเราจะพบว่า ข้อตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาใน FTA ของสหรัฐยังเข้มงวดกว่ากฎหมายภายในสหรัฐอีกด้วย
ในความเป็นจริงนั้นเราล้วนทราบดีว่าเป้าหมายหนึ่งในการทำ FTA ของสหรัฐก็คือ พยายามทำให้กฎหมายของประเทศตนกลายเป็นมาตรฐานสากล (International Standard) หรือหลักปฏิบัติที่ประเทศคู่ค้า FTA ควรยึดตาม โดยเฉพาะในด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ในระดับนี้ก็อาจมองได้แล้วว่าสหรัฐค่อนข้างเอาเปรียบประเทศคู่ค้า แต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นว่าสหรัฐกำลังจะผลักดันให้ประเทศคู่ค้ามีกฎหมายที่เข้มงวดกว่าสหรัฐ ซึ่งเราอาจเรียกได้ว่า US+
หากประเทศไทยทำการเซ็นสัญญา FTA กับประเทศสหรัฐจริง อุตสาหกรรมยาและผลิตภัณฑ์ยาก็คงตกอยู่ในกรอบของ US+ เช่นกัน
กฏหมายด้านผลิตภัณฑ์ยาของสหรัฐเองนั้นจะถูกออกแบบให้มีการต่อรองกันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ภายในประเทศ ทั้งกลุ่มผู้ผลิตยาและกลุ่มผู้บริโภค ทำให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน แต่กลไกถ่วงดุลเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำเข้ามาในกรอบของ FTA เลย เพราะผู้บริโภคต่างประเทศไม่มีอำนาจต่อรองกับรัฐบาลสหรัฐ หรือแม้กระทั่งรัฐบาลของตนเอง
ตัวอยางของบทบัญญัติแบบ US+ ในความตกลง FTA มีดังนี้ (จาก //www.ftadigest.com/researchTDRInesacIP.html)
1) การยืดอายุสิทธิบัตร ในกรณีที่องคกรอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) อนุมัติยาวางตลาดล่าชาเกินสมควร ตามกฎหมายสหรัฐจะมีการยืดอายุสิทธิบัตรออกไปเพื่อชดเชยให้เจ้าของสิทธิบัตร โดยกำหนดเวลาชดเชยเปนผลรวมของครึ่งหนึ่งของระยะเวลาขอทดสอบกับระยะเวลาตรวจอนุมัติ แตการชดเชยทั้งหมดต้องไมเกิน 5 ป และอายุคุ้มครองสิทธิบัตรโดยรวมนับตั้งแต่ยาวางตลาดต้องไม่เกิน 14 ป ในขณะที่ FTA ที่สหรัฐทํากับประเทศอื่นๆ นั้น ไม่มีเพดานกําหนดการยืดอายุสิทธิบัตรไว ซึ่งหมายความว่าใหความคุ้มครองมากไปกว่ากฎหมายของสหรัฐเอง การยืดระยะเวลาการผูกขาดเช่นนี้ จะยิ่งทำให้การนำยาชื่อสามัญที่ราคาไม่แพงมาใช้ต้องล่าช้าออกไปอีก
2) การใช้สิทธิบัตรผลิตข้อมูล ตามกฎหมายสหรัฐ ผูผลิตยาชื่อสามัญ (generic drug) สามารถใชสิทธิบัตรของผู้ผลิตยาต้นแบบ (original drug) ในการผลิตข้อมูลทดสอบเพื่อขออนุญาตวางตลาด และใช้ความรู้ในสิทธิบัตรในการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวกับยาที่อาจจะยื่นขออนุญาตวางตลาดได้ แม้ว่าในที่สุดอาจไม่ได้ขออนุญาตวางตลาดจริงก็ตาม
แต FTA กําหนดไว้ว่าผู้ผลิตยาชื่อสามัญจะสามารถใชสิทธิบัตรยาผลิตข้อมูลทดสอบได้เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตวางตลาดเท่านั้น ซึ่งเป็นการเพิ่มสิทธิของเจ้าของสิทธิบัตรมากกว่ากฎหมายสหรัฐและตัดสิทธิในการวิจัยพัฒนาของผู้อื่น
3) การขัดขวางการขอวางตลาด ในสหรัฐมีสิทธิบัตรยาที่ถูกเพิกถอนไปจํานวนมาก เพราะพบภายหลังว่าไม่มีความใหม หรือไม่แตกต่างจากยาเดิมมากพอ ในระหว่างการไตสวนเพื่อเพิกถอนนั้น ผู้ผลิตยาชื่อสามัญสามารถขออนุญาต FDA เพื่อวางตลาดยาชื่อสามัญของตนเองได้ก่อนสิทธิบัตรจะหมดอายุ
แตความตกลง FTA กําหนดว่าในขณะที่สิทธิบัตรยังมีอายุอยูห้ามใหหน่วยงานรัฐ เช่น อย. อนุญาตให้ยาสามัญวางตลาด ซึ่งแปลว่าหากภายหลังสิทธิบัตรนั้นถูกเพิกถอนไป ผู้ผลิตยาชื่อสามัญก็ต้องเสียโอกาสในช่วงไต่สวนซึ่งอาจนานหลายปีไปฟรีๆ เพราะนํายาออกวางตลาดไม่ได
4) การหามบังคับถายทอดความลับทางการคา ในกรณีที่มีโรคระบาดและเกิดขาดแคลนยา รัฐอาจบังคับเจาของสิทธิบัตรยินยอมใหผูอื่นใชสิทธิบัตรนั้นผลิตยาได ซึ่งเรียกกันวา การบังคับใชสิทธิ (compulsory license) ในสหรัฐ รัฐบาลมีอํานาจในการบังคับการถายทอดความลับทางการคาที่จําเปนในการผลิตควบคูไปดวย
แต FTA หามบังคับถายทอดความลับทางการคาไวโดยเด็ดขาด ซึ่งทําใหแมบังคับใชสิทธิบัตรได ผูอื่นก็ไมสามารถผลิตยาไดอยูดี
5) การหามนําเขาซอน รัฐสภาสหรัฐไดมีความพยายามหลายครั้งในการออกกฎหมายใหสามารถนําเขาซอนยาจากตางประเทศได การนําเขาซอน (parallel import) คือการนําเขายาที่มีสิทธิบัตรมาจากประเทศอื่น เชน คนในสหรัฐมักตองการนําเขายาตนแบบที่จําหนายในแคนาดาเพราะมีราคาถูกกว่า จึงเปนไปไดวา ในอนาคตสหรัฐอาจยินยอมใหมีการนําเขาซอนยาจากตางประเทศ
แต FTA ใหสิทธิแกเจาของสิทธิบัตรในการหามการนําเขาซอนโดยไมไดรับอนุญาต ที่นาตลกก็คือ USTR (Office of the United States Trade Representative - สํานักงานผูแทนการคาของสหรัฐ) บอกวา ภายหลังหากรัฐสภาสหรัฐอนุญาตใหนําเขาซอนได ก็ไมถือวาขัดกับ FTA
ความเขมงวดของกฎหมายสิทธิบัตร และขอจํากัดในการขออนุญาตวางตลาดยาชื่อสามัญตามกรอบ FTA จะทําใหในอนาคต ยาในประเทศไทยจะมีราคาแพง เพราะจะไมสามารถบังคับใชสิทธิ นําเขาซอน หรือผลิตยาชื่อสามัญเขามาแขงขันกับยาตนตํารับไดอีก
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ถึงกับเขียนทิ้งท้ายไว้ในงานวิจัย ไทยกําลังจะมีกฎหมายสิทธิบัตรยาที่เขมกวากฎหมายสหรัฐ ว่า ลําพังการคุมครองทรัพยสินทางปญญาใหเกินกวาความตกลง TRIPS ซึ่งเปนมาตรฐานโลก ก็เปนเรื่องยากที่จะรับไดอยูแลว จึงชัดเจนอยางยิ่งวา ไมมีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้นที่ประเทศกําลังพัฒนาอยางไทย ซึ่งเปนผูบริโภคยา และมีผูติดเชื้อ HIV จํานวนมาก จะตองมีกฎหมายสิทธิบัตรเขมงวดกวาสหรัฐ ซึ่งเปนประเทศผูผลิตยา
3.2 วิเคราะห์กรณี US+ ในมิติของเศรษฐศาสตร์สุขภาพ
ยา (สิ่งที่มีสรรพคุณรักษาโรคได้) นั้นถือเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งของบริการสุขภาพ แต่ตลาดยานั้นมักเบี่ยงเบนไปจากตลาดแข่งขันสมบูรณ์เนื่องจาก
1. ต้นทุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่สูง 2. บริษัทยาขนาดใหญ่เท่านั้นจึงทำ R&D ได้ และนำมาซึ่งการผูกขาดตลาดยา 3. ยา วิตามิน อาหารเสริม มีกระบวนการผลิตที่ร่วมกัน ทำให้โครงสร้างตลาดไม่ชัดเจน 4. ยาส่งผลให้เกิดผลกระทบภายนอก (externalities) 5. ผู้ผลิตยามีจำนวนน้อย 6. การคุ้มครองสิทธิบัตร (Patent)
จากข้างต้นเราจึงเห็นได้ว่าลักษณะโดยธรรมชาติของตลาดยาก็เอนเอียงไปสู่ตลาดผูกขาดอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าหาก FTA ไทย-สหรัฐ เกิดขึ้นจริง ภายใต้กรอบของ US+ ที่กล่าวไว้ในข้อ 3.1 จะทำให้ตลาดยามีแนวโน้มเป็นตลาดผูกขาดมากขึ้น โดยเฉพาะจากปัจจัยเรื่องของสิทธิบัตร
กุญแจสำคัญในการลดราคายานั้นอยู่ที่การทำให้เกิดการแข่งขันในหมู่ผู้ผลิตหลายราย โดยวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการลดราคา และขยายการเข้าถึงยาคือ การส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันจากการผลิตยาชื่อสามัญ
โดยปกติสิทธิบัตรนั้นจะทำให้ผู้ผลิตมีอำนาจผูกขาดเหนือการผลิตและราคายาอยู่แล้ว แต่กรอบ US+ ไม่ได้ส่งผลแค่ในด้านการขยายอายุสิทธิบัตรเท่านั้น แต่ยังเป็นอุปสรรคต่อการผลิตยาชื่อสามัญอีกด้วย นั่นก็คือ การผลักดันตลาดยาให้เข้าสู่ตลาดผูกขาดชนิดเกือบเต็มตัว อันจะมานำมาซึ่งราคายาที่สูงขึ้น จนทำให้ประชาชนมีความสามารถเข้าถึงยาได้น้อยลง
ในกรณีของ FTA ก็เป็นการยากที่รัฐจะใช้มาตรการต่างๆ เข้าไปแทรกแซงตลาด เพราะอาจดูเป็นการละเมิดสัญญา FTA จนส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ ยิ่งเป็นการทำให้สัญญากับประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐแล้ว การถูก ลงโทษทางเศรษฐกิจ ย่อมถือเป็นฝันร้ายสำหรับประเทศ
นอกจากจะไม่สามารถทำการแทรกแซงได้แล้ว รัฐบาลไทยยังต้องตั้งหน่วยงานหรือองค์กรขึ้นมาเป็น ตำรวจสิทธิบัตร (Police Patent) ในการตรวจสอบดูแลไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิบัตรตามที่ตกลงไว้ FTA ในกรอบของ US+ อีกด้วย กิจกรรมในส่วนนี้ย่อมเกิดเป็นต้นทุนการตรวจสอบ (monitoring cost) อันเป็นเม็ดเงินจำนวนไม่ใช่น้อย อันเป็นที่น่าเสียดาย เพราะคงจะดีกว่าถ้านำเงินตรงนี้ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาในประเทศ
3.3 กรณีศึกษา: FTA กับเคราะห์กรรมของผู้ติดเอดส์
โรคเอดส์ หรือโรค HIV นั้นยังถือเป็นประเด็นสำคัญสำหรับประเทศไทย เพราะนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดในประเทศไทยมา มีประชาชนทั้งชาย หญิง และเด็กได้รับเชื้อจำนวนมากกว่า 1 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อเอดส์แล้วมากกว่า 5 แสนคน จึงมีความพยายามพัฒนาการรักษาและป้องกันโรคเอดส์เรื่อยมา และมีการตั้ง โครงการเขาถึงยาตานไวรัสสําหรับผูติดเชื้อฯ แหงชาติ (National Access to Antiretroviral Program for People Living with HIV/AIDS หรือเรียกยอๆวา NAPHA-โครงการนภา)
ในระยะแรกเริ่มของการรักษาโรคเอดส์นั้น ผู้ติดเชื้อจะได้รับการรักษาด้วยยาประเภท ยาสูตรที่หนึ่ง (First-line) โดยยาประเภทนี้ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาก่อนที่ประเทศไทยจะนำระบบการคุ้มครองสิทธิบัตรยามาใช้ในปี 2542 ดังนั้นยาเหล่านี้จึงไม่สามารถจดสิทธิบัตรในประเทศไทยได้
แต่ทว่าเชื้อไวรัสนั้นมักจะดื้อยาเมื่อใช้ยาไปได้ระยะหนึ่ง ทำให้การรักษาด้วยยาสูตรที่หนึ่งไม่ได้ผลอีกต่อไป และพัฒนาการรักษาด้วยการหันไปใช้ยา ยาสูตรที่สอง (Second-line) แทน อุปสรรคที่เกิดขึ้นก็คือ ยาสูตรที่สองนั้นมีราคาแพงกว่ายาสูตรที่หนึ่งมาก และกฏหมายเรื่องสิทธิบัตรมีผลครอบคลุมกับยาสูตรที่สอง
การที่ยาติดสิทธิบัตรนั้นจะยิ่งทำให้ยามีราคาแพงขึ้น ตัวอย่างเช่น ยา Efavirenz ของบริษัทเมิร์ค (Merck) จะมีราคาสูงเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 40 บาทเป็น 75 บาท ซึ่งราคาที่ทวีสูงขึ้นนี้จะทำให้ผู้ติดเชื้อเข้าถึงยาได้น้อยลง และกระทรวงสาธารณสุขจะต้องมีงบประมาณใช้จ่ายมากขึ้น (จาก //www.ftawatch.org/download/file.php?id=80)
แน่นอนว่าการทำให้ FTA ไทย-สหรัฐจะยิ่งซ้ำเติมผู้ติดเชื้อเอดส์เข้าไปอีก เพราะกรอบ US+ จะทำให้อายุสิทธิบัตรยาขยายเพิ่มออกไป ผลที่ตามมาก็คือราคาจะยิ่งแพงขึ้นอีก ซึ่งสวนทางกับการที่ผู้ติดเชื้อมีความต้องการยาสูตรที่สอง และยาสูตรที่สามมากขึ้นทุกวัน เพราะเชื้อไวรัสมีอาการดื้อยามากขึ้น
ในแง่นี้ FTA จึงเป็นการดับความหวังที่มีอยู่น้อยนิดของผู้ติดเชื้อเอดส์โดยแท้ เหล่าผู้ติดเชื้อที่นอกจากต้องรับเคราะห์กรรมจากเชื้อเอดส์แล้ว ยังต้องมารับกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อจากเรื่องของ FTA และประเด็นนี้ยังอาจทำให้เราตีความได้ว่า ข้อตกลง FTA นั้นสนับสนุนแนวความคิดที่ว่า คนรวยเท่านั้นที่อยู่รอด เพราะมีเพียงผู้ร่ำรวยเท่านั้นที่จะสามารถซื้อยาสูตรที่สองหรือยาชนิดใหม่ๆ ที่มีราคาแพงได้
4. บทเรียนของ FTA เกาหลีใต้-สหรัฐ
ก่อนที่จะพิจารณาว่าประเทศไทยสมควรทำ FTA ไทย-สหรัฐ หรือไม่นั้น หากเราลองละสายตาจากปัญหาความขัดแย้งในประเทศ และมองออกไปข้างนอกโดยไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เราก็จะพบว่าประเทศเกาหลีใต้ก็มีสถานการณ์ไม่ต่างจากบ้านเรานัก
ช่วงทั้งปี 2549 สถานการณ์บ้านเมืองของเกาหลีใต้ไม่ค่อยสู้ดีนักในสายตาชาวต่างประเทศ เพราะมีกลุ่มคนจำนวนมากที่ไม่พอใจนโยบายการทำ FTA กับสหรัฐของรัฐบาลเกาหลีใต้ เหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัญหาระดับชาติ เพราะประชาชนนับแสนเดินประท้วงเพื่อเจตนารมณ์ต่อต้านการทำ FTA เกาหลีใต้-สหรัฐ (ดูภาพการประท้วงได้ที่ //www.ftawatch.org/autopage1/show_page.php?t=40&s_id=4&d_id=4)
ความรุนแรงมาถึงขั้นสูงสุดเมื่อชาวนาคนหนึ่งถึงกับฆ่าตัวตายประท้วง FTA เพราะการทำ FTA จะส่งผลกระทบในภาคเกษตรคือ เกาหลีใต้จะมีอัตราพึ่งพิงการนำเข้าอาหารจากสหรัฐมากขึ้น ทำให้ข้าวมีความสำคัญลดลง และชาวนาก็จะสูญพันธุ์
ผู้นำประเทศของไทยและเกาหลีใต้มีวิสัยทัศน์เรื่องการทำ FTA กับสหรัฐไม่ต่างกันนัก ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยืนยันการทำ FTA ไทย-สหรัฐ จนถึงวินาทีสุดท้าย ประธานาธิบดี Roh Moo-hyun ของเกาหลีใต้ก็ยืนยันว่าเป็นตายอย่างไรก็ต้องทำ FTA เกาหลีใต้-สหรัฐให้ได้ เขายังกล่าวอีกด้วยว่า ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าไม่มีประเทศใดที่ปิดประเทศแล้วเจริญ แต่การเปิดประเทศอาจนำไปสู่ความเจริญหรือล่มสลายก็ได้ เกาหลีต้องเรียนรู้การเปิดประเทศและใช้เป็นเครื่องมือที่นำไปสู่ความเจริญ (จาก //www.ftadigest.com/newsAnalysis213.html)
ประเทศเกาหลีใต้เองก็ได้รับผลกระทบจากการทำ FTA กับสหรัฐในด้านยาและสาธารณสุขคล้ายกับประเทศไทยในเรื่องการขยายระยะเวลาสิทธิบัตรยา การปรับกฎระเบียบด้านสุขภาพต่างๆ ให้มีระดับเทียบเท่ากับกฎหมายของสหรัฐ (หรือความจริงแล้วอาจจะเข้มข้นกว่า) แม้ข้อเจรจาเหล่านี้จะยังไม่สามารถตกลงกันได้ในการประชุม FTA รอบที่ 3 ที่กรุงซีแอตเติล แต่อย่างน้อยสุดผลในเชิงรูปธรรมของ FTA เกาหลีใต้-สหรัฐ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว เมื่อเกาหลีใต้สั่งยกเลิกการห้ามนำเข้าเนื้อวัวจากสหรัฐ (8 กันยายน 2549) ทั้งที่ประชาชนยังคลางแคลงใจเรื่องเชื้อวัวบ้าอยู่ก็ตาม
ในความคล้ายกันเรื่องสถานการณ์ FTA ของไทยและเกาหลีใต้ก็ยังมีความแตกต่างอยู่ เห็นได้ชัดที่สุดคือ ความตื่นตัวในเรื่อง FTA ถึงแม้ทั้งสองประเทศจะมีการชุมนุมเหมือนกัน แต่สำหรับประเทศไทยนั้นไม่ใช่การชุมนุมต่อต้าน FTA เหมือนเกาหลีใต้ แต่เป็นการชุมนุมของคนที่ต้องการขับไล่รัฐบาล กับกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาล จึงเห็นได้ว่าการรวมกลุ่มของประชาชนเกาหลีใต้มีลักษณะของความสามัคคีและการจากการตระหนักถึงประเด็นด้านสังคมเศรษฐกิจ ในขณะที่การรวมกลุ่มของประชาชนไทยเป็นเรื่องความขัดแย้งในความคิดทางการเมืองและนำมาซึ่งความแตกแยก กล่าวให้เห็นชัดเจนขึ้นคือ ในสมองของคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้มีคำว่า FTA อยู่ในหัว มีเพียงคำว่า ทักษิณออกไป หรือ ทักษิณสู้ๆ
แม้แต่ในวงการภาพยนตร์เกาหลีใต้เอง ยังมีการทำหนังเรื่อง The Host (อสูรนรกกลายพันธุ์ เข้าฉายในบ้านเราเมื่อ 7 กันยายน 2549) ที่ฉากหน้าเป็นหนังสัตว์ประหลาดอาละวาดฆ่าคน แต่แท้จริงมันมีนัยยะเป็นหนังต่อต้าน FTA เกาหลีใต้-สหรัฐ (และหนังเรื่องนี้โจมตีสหรัฐแทบทุกฉากทุกวินาที) ด้วยเหตุที่ว่าวงการภาพยนตร์เองก็ได้รับผลกระทบจาก FTA ไปแล้ว นั่นคือ การลดโควตาฉายหนังเกาหลี เพื่อให้หนังฮอลลีวู้ดมีพื้นที่ฉายมากขึ้น ในขณะที่ภาพยนตร์ไทยนั้นก็ยังเต็มไปด้วยหนังแบบ โกยเถอะโยม, ศพ, ผีอยากกลับมาเกิดใหม่, ผีคนเป็น และหนังสารพัดผีอีกมากมาย จึงเห็นได้ว่าบ้านเราขาดแคลนสิ่งที่เรียกว่า สื่อประเทืองปัญญา (Intellectual Media) เราจึงเป็นประเทศที่ผู้คนยินดีกับการ ฉีกรัฐธรรมนูญเพื่อโค่นล้มคนๆ เดียว และสนุกสนานกับการถ่ายรูปคู่กับรถถัง
เกาหลีใต้เป็นประเทศที่ฟื้นตัวได้รวดเร็วมากหลังจากเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 นับจากนั้นเกาหลีใต้มีความแข็งแกร่งทั้งในด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม และดูเหมือนว่าการต่อสู้กับ FTA ของเกาหลีใต้จะคืบหน้าไปกว่าบ้านเรามากนัก ดังนั้นจึงสมควรยิ่งที่เราจะนำเอา FTA เกาหลีใต้-สหรัฐ มาเป็น บทเรียน ต่อ FTA ไทย-สหรัฐ
5. ความคืบหน้าของ FTA ไทย-สหรัฐ
ในการเจรจา FTA ไทย-สหรัฐรอบที่ 6 (จัดขึ้นเมื่อ 9-13 มกราคม 2549 ณ จังหวัดเชียงใหม่) มีรายงานสรุปออกมาว่า มีการเจรจาครอบคลุมทุกหัวขอการเจรจาและมีความคืบหน้าเปนที่นาพอใจของทั้งสองฝาย แมวาจะมีการยื่นขอเรียกรองในประเด็นที่ออนไหวสําหรับประเทศไทย ไทยยังมิไดตอบรับขอเรียกรองแตตองหารือกันตอไปเพื่อใหไดขอสรุปที่เปนผลประโยชนตอทั้งสองฝาย และ สําหรับเรื่องสิทธิบัตร สหรัฐฯ ไดยื่นขอเสนอในเรื่องยาและเคมีสินคาเกษตรใหไทยใหความคุมครองแกขอมูลการทดสอบยาเปนเวลา 5 ป และเคมีภัณฑทางการเกษตรเปนเวลา 10 ป โดย ในระหวางนี้จะไมสามารถวางจําหนายในตลาดได ซึ่งไทยไดย้ำกับสหรัฐฯ วา ประเด็นเรื่องยาเปนประเด็นออนไหวอยางมากและไมสามารถยอมรับได (จาก //www.ftamonitoring.org/Data3/2006%20Jan/20060117/ftaus_round6.pdf)
จากรายงานข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า สถานะของ FTA ไทย-สหรัฐยังคงอยู่ในภาวะ อยู่ในระหว่างการเจรจาต่อไป ทั้งนี้สหรัฐก็ยังคงยืนยันข้อเรียกร้องต่างๆ แก่ประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องสิทธิบัตรที่สอดคล้องกับกรอบ US+ ที่กล่าวถึงในหัวข้อที่ 3 และแม้ไทยจะดูมีท่าทีของการยืนหยัดเพื่อสิทธิประโยชน์ของตนแล้ว แต่ไม่ว่ามองจากมุมไหนอำนาจต่อรองของเราก็น้อยกว่าอยู่ดี
กระนั้นก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังยืนยันการสนับสนุน FTA ไทย-สหรัฐ จนถึงวินาทีสุดท้าย (แม้ขณะนั้นอยู่ในตำแหน่ง รักษาการนายกรัฐมนตรี) โดยกลาวในการประชุมรวมกับภาคธุรกิจอเมริกันจาก US Chamber of Commerce และ US-ASEAN Business Council ที่นิวยอรก วาจะสานตอนโยบายเศรษฐกิจระหวางประเทศ โดยเฉพาะเขตการคาเสรี (FTA) ไทย-สหรัฐใหเปนรูปธรรมไดหลังการเลือกตั้งของไทย (จาก //www.ftamonitoring.org/Data3/2006%20Sep/20060921/Us%20news210906.pdf) แม้ว่าจะมีเสียงจากนักวิชาการหลายสำนักคัดค้าน และขอให้ชะลอการทำ FTA ไทย-สหรัฐ ไว้ก่อนก็ตาม
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็เกิดขึ้น เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้ทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณโดยเบ็ดเสร็จ ส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลายสภาพเป็น อดีตนายกรัฐมนตรี โดยทันที และการเมืองไทยก็เข้าสู่ภาวะสุญญากาศ
ในขณะนี้ยังไม่มีความแน่ชัดว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะมาแทนรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ถูกยกเลิกไปจะเป็นเช่นไร อย่างไรก็ตามมีอยู่ 3 ประการที่ทาง คปค. ยืนยันที่จะดำเนินการต่อจากรัฐบาลทักษิณ
ประการแรกคือ การส่งนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย เข้าชิงตำแหน่งประธานองค์กรสหประชาชาติ (UN) ตามเดิม
ประการที่สองคือ ยังคงดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดที่แล้วอย่างน้อย 3 ข้อ คือ โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้าน และ SML
ประการสุดท้ายคือ ยังคงดำเนินการทำสัญญา FTA กับประเทศต่างๆ ต่อไป (การตอบคำถามแก่สื่อมวลชนของ คปค. ที่ออกอากาศผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเมื่อ 20 กันยายน 2549)
แม้การยืนยันจะเดินหน้าทำ FTA ต่อไปของ คปค. จะเป็นเพียงการชี้แจงโดยปากเปล่า (oral statement) แต่ก็มีนัยยะให้ขบคิดอยู่เหมือนกันว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่ คปค. ยังคงยืนยันการทำ FTA เพราะลำพังแค่การทำรัฐประหารก็ทำให้ประเทศไทยเสียภาพพจน์มากโขอยู่แล้ว ดังนั้นถ้ายังจะปฏิเสธการทำ FTA อีกคงเป็นการฆ่าตัวตายซ้ำสองเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์สังคมเศรษฐกิจของไทยในตอนนี้ ยังคงอยู่ห่างไกลจากคำว่า แน่นอน อยู่มาก ประเด็นเรื่อง FTA จึงเป็นเรื่องที่เราต้องจับตามองอย่างระไวระวังต่อไป
6. บทสรุปและข้อเสนอแนะ
FTA นั้นส่งผลดีหรือผลเสียอย่างไรต่ออุตสาหกรรมยานั้นอาจเป็นคำถามที่ยังตอบได้ยาก เพราะ FTA ไทย-สหรัฐยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่ถ้าลดระดับคำถามให้อยู่วงแคบขึ้นโดยการพิจารณา การเข้าถึงยา เราอาจจะค้นหาคำตอบได้ชัดเจนขึ้น
คำถามที่รายงานฉบับนี้ได้ตั้งไว้ว่า FTA ไทย-สหรัฐนั้นจะถือว่าเป็นเส้นทางแห่งความ หายนะ หรือ วัฒนะ ต่อการเข้าถึงยาของประชาชนไทย สามารถหาคำตอบได้จากหลักการขั้นพื้นฐานที่สุดของสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ นั่นคือการเปรียบเทียบผลได้-ต้นทุน (Cost-Benefit Analysis)
รายงานวิจัยทุกชิ้นล้วนเลือกข้างเป็นฝ่ายทุกขทรรศน์ (Pessimistic) ต่อ FTA ไทย-สหรัฐ โดยผลสรุปคือ FTA ไทย-สหรัฐ จะส่งผลเสียต่อการเข้าถึงยาของประชาชนไทย ด้วยกรอบของ US+ ที่พ่วงมาใน FTA ที่ทำให้ไทยมีกฎหมายเรื่องสิทธิบัตรยาเข้มข้นกว่ากฎหมายของสหรัฐเอง
ไม่มีรายงานวิจัยชิ้นไหนพูดถึงด้านบวกของ FTA ต่ออุตสาหกรรมยา ซึ่งที่จริงแล้วอาจจะมี แต่เพราะด้านลบชัดเจนและรุนแรงกว่ามาก จึงอาจกล่าวได้ว่า การทำ FTA กับสหรัฐนั้นจะก่อต้นทุนมหาศาลให้กับประเทศไทย เพราะนี่คือเส้นทางแห่งความหายนะโดยแท้
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลยังคงยืนยันจะทำ FTA ไทย-สหรัฐต่อไป รายงานฉบับนี้มีข้อเสนอแนะว่าควรพิจารณาไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน และควรให้ประชาชนรับรู้และมีส่วนร่วมมากกว่าที่ผ่านมา
อนึ่ง ข้อเสนอแนะในที่นี้คงต้องเสนอไปยังทางคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอีกต่อไปแล้ว
เราเพียงได้แต่หวังว่า รัฐบาล และ รัฐธรรมนูญ จากคณะปฏิรูป จะส่งผลดีต่อประเทศชาติในทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมถึงประเด็น FTA ด้วย
หวังว่าสิ่งที่ได้มา จะคุ้มค่ากับการฉีกรัฐธรรมนูญ และการนำประเทศเข้าสู่ระบอบเผด็จการอีกครั้ง
บรรณานุกรม
สมชาย สุขสิริเสรีกุล. อุตสาหกรรมยา. เศรษฐศาสตร์สุขภาพ. คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ธันวาคม 2548.
"สสว.-ทีดีอาร์ไอ"เปิดผลศึกษาFTA อุตฯยา-พันธุ์พืช-ไอพีกระทบหนัก //www.thaifta.com/ThaiFTA/Home/FTAbyCountry/tabid/53/ctl/Details/mid/531/ItemID/520/Default.aspx
สิทธิบัตรยา-เปิดเสรีการเงิน ปมขัดแย้ง FTA ไทย-สหรัฐ //www.thaifta.com/ThaiFTA/Home/FTAbyCountry/tabid/53/ctl/Details/mid/531/ItemID/518/Default.aspx
WHOอุ้มสหรัฐปล้นไทยงามหน้า รับใบสั่งปลดผู้แทนค้านเอฟทีเอ แฉเบื้องหลังเขียนบทความเตือนมะกันเอาเปรียบขายยาแพงเอ็นจีโอแถลงการณ์รุมประณาม-สธ. //www.thaifta.com/ThaiFTA/Home/FTAbyCountry/tabid/53/ctl/Details/mid/531/ItemID/415/Default.aspx
บทสรุปรายงานการศึกษาเรื่องผลกระทบจากการทำความตกลงการค้าเสรีไทย-สหรัฐ โดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) //www.thaifta.com/thaifta/Portals/0/File/fta_us_study.doc
ลำดับที่ 5: ไทยกำลังจะมีกฎหมายสิทธิบัตรยาที่เข้มกว่ากฎหมายสหรัฐ?!? //www.ftadigest.com/researchTDRInesacIP.html
FTAสหรัฐ-เกาหลีใต้ บทเรียนFTAไทย-สหรัฐ //www.ftadigest.com/newsAnalysis213.html
ข้อตกลงเขตการค้าเสรีของสหรัฐฯส่อเค้าคุกคามการเข้าถึงยาของประเทศไทย //www.ftawatch.org/download/file.php?id=80
(ไม่เอา) เอฟทีเอเกาหลีใต้-สหรัฐฯ: การต่อสู้ของคนหน้าตาธรรมดาและไม่ธรรมดา //www.ftawatch.org/autopage1/show_page.php?t=40&s_id=4&d_id=4
"ทักษิณ" ยันเดินหน้า FTA ไทย-สหรัฐ (21 กันยายน 2549) //www.ftamonitoring.org/Data3/2006%20Sep/20060921/Us%20news210906.pdf
ผลกระทบกรณีที่การเจรจา FTA ไทย-สหรัฐฯ ชะงักงัน: หมวดสินค้า //www.ftamonitoring.org/FTA%20RelatedTopics/FTArelated15.asp
ความคืบหน้าการเจรจา FTA ไทย-สหรัฐฯ รอบที่ 6 โดย กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ //www.ftamonitoring.org/Data3/2006%20Jan/20060117/ftaus_round6.pdf
Create Date : 18 มกราคม 2550 |
|
12 comments |
Last Update : 18 มกราคม 2550 18:48:59 น. |
Counter : 2212 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: STAR ALONE (STAR ALONE ) 18 มกราคม 2550 19:11:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: Plin, :-p 10 กุมภาพันธ์ 2550 20:52:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: เต่านา IP: 202.173.221.34 29 มีนาคม 2550 14:11:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: เด็กบางเขน IP: 158.108.130.185 28 มิถุนายน 2550 14:44:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: B*Witch IP: 161.200.255.162 28 มกราคม 2551 15:52:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: แต้ IP: 125.27.35.245 28 มีนาคม 2551 13:57:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: คิดไม่ออกง่า IP: 202.12.73.19 17 สิงหาคม 2551 18:08:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: เดี่ยวหาดใหญ่ IP: 117.47.180.126 2 กุมภาพันธ์ 2552 21:54:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: FTA น่ะจิ๊บจ๊อย IP: 58.8.103.229 11 สิงหาคม 2553 22:25:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: นายช่างแก่ IP: 61.90.78.250 6 ตุลาคม 2556 17:52:30 น. |
|
|
|
|
|
|
|
FTA's website
//www.thaifta.com
//www.ftawatch.org
//www.ftamonitoring.org
//www.ftadigest.com