Riding on the waves: การบริหารธุรกิจวันนี้ เหมือนกับการเล่นวินเซิร์ฟโต้คลื่น ซึ่งผู้เล่นต้องทรงตัวอยู่บนกระดานโต้คลื่นให้ได้ ยิ่งวันคลื่นก็ยิ่งแรงและสูงมากขึ้นและมาจากหลายทิศทาง ธุรกิจใดที่สามารถประคองตัวอยู่บนคลื่นได้ตลอดเวลา คือ ผู้ชนะ เพราะธุรกิจจะต้องยืนอยู่ได้ ทั้งขาขึ้นและขาลง จาก รายงานประจำปี 2542 บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่นส์
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
16 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
324. จดหมาย จางวางหร่ำ : เรียน MBA หรือ จะประกอบธุรกิจ SME หรือ OTOP ควรหามาอ่าน




จดหมาย จางวางหร่ำ

เขียนโดย. นมส.
จัดพิมพ์จำหน่าย โดย สำนักพิมพ์คลังวิทยา
ราคา 20.00 บาท


หนังสือเรื่อง จดหมาย จางวางหร่ำนี้ ได้อ่านอย่างน้อยก็มากกว่า 5 ครั้ง ผมนึกแปลกประหลาดใจในภูมิปัญญาของท่านผู้แต่ง ถึงแม้ว่าท่านจะได้ "ความคิดเดิม" มาจาก "ฝรั่ง" แต่ท่านก็สามารถ "พัฒนา" กลาย เป็น "นวัตกรรม" ทางวรรณกรรมในระดับสุดยอดไร้เทียมทานจะหาหนังสืออื่นมาเทียบเคียงได้ยากสามารถนำไปประกอบการเรียนการสอนวิชาบริหารธุรกิจกละการจัดการได้ ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวของผมแล้ว วรรณกรรม ลักษณะเรื่องเช่นนี้ มีอีก 1 เรื่องที่ผมประทับใจ ก็คือ เรื่อง "จดหมายจากเมืองไทย" ที่อ่านครั้งใด ประทับใจจนน้ำตาซึมทุกคราวไป....

คัดลอกบางส่วนมาจาก
คำนำ ในคราวพิมพ์ จดเหมายเหล่านี้เป็นเล่มสมุด ใน พ.ศ. 2478

....จดหมายวางวางหร่ำเป็นหนังสือที่เจ้าของเขียนเพื่อจะลง "ทวีปัญญา" ในระยะนั้น แต่แรกตั้งใจจะใช้ "ต้นฉบับ" หนังสือฝรั่งนำมาแปลๆลงเพื่อให้แล้วทันกำหนดที่หนังสือจะออก แต่เมื่อเห็นว่า ถ้าตามอย่างฝรั่งล้วนๆ ผู้อ่านภาษาไทยจะ ไม่ "ซึม" ก็ได้ดัดข้อความให้เป็นไทยๆ ในที่สุด กลายเป็นเขียนเองแทบทั้งๆฉบับ กล่าวได้แต่ ความคิดเดิมมาจาก "ฝรั่ง"

ต่อมาอีกหลายปี เมื่อทวีปัญญาได้เลิกไปนานแล้ว ปรากฏว่าคนอ่านยังจำจดหมายจางวางหร่ำได้กันมาก บรรณาธิการ "หนังสือเสนาศึกษา" ได้ขอต่อเจ้าของให้เขียนอีก เจ้าของจึงได้เขียนอีกฉบับหนึ่ง คือ ฉบับที่ 7 ซึ่งแม้มีภาษาอังกฤษอยู่ท่อนยาว เจ้าของก็แต่งเองล้วน ตามที่จำได้ดูเหมือนจะไม่มีเค้ามาจากหนังสืออื่นเลย.

....



จดหมายจางวางหร่ำ เขียนขึ้นในปี พ.ศ. อะไรเอ่ย?

จากคำนำ จากข้อความที่ว่า ....ซึ่งแม้เกือบ 24 ปีมาแล้ว ก็พึ่งจะมีโอกาสขชี้แจงคราวนี้ จึงขออนุมานว่า จดหมายจางวางหร่ำนี้ เขียนครั้งแรกประมาณปี 2478 - 24 = พ.ศ. 2454 ณ. ปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2552 ก็แสดงว่า จดหมายจางหร่ำ จะมีอายุครบ 100 ปีพอดี เห็นว่า จดหมายจางวางหร่ำนี้ ยัง คง "ทันสมัย" และ "ใหม่" เสมอสำหรับใช้ในการศึกษา และ โดยส่วนตัวของมีความเห็นว่า น่าจะใช้เป็นกรณ๊ศึกษ สำหรับ นักศึกษา บริหารธุรกิจ หรือ การจัดการ ทั้งในระดับปริญญาตรี หรือ MBA ก็ตามที


ประโยคทอง จากจดหมายฉบับที่ 1.

...การเรียนอะไรไม่ได้นั้น สำคัญที่สุด เพราะถ้าเรียนเหลวกลับมาก็เป็นผู้ไม่มีประโยชน์สมกับที่เกิดมาเป็นคน...


...เมื่อเขา จำหน่าย "วิชา" กันในห้องเรียนก็ดี หรือ ที่ใดๆก็ดี เจ้าจงอย่ารู้กระดากกลัวใครจะว่าเป็นผู้ตะกละตระกลาม จะกอบโกยเอาได้เท่าใดจงเร่งกอบโกยเอาเถิด ในโลกเรานี้ ของดีที่ไม่มีเจ้าของหวงห้ามก็มีอยู่แต่ "วิชา" อย่างเดียว ถ้าใครมักได้จะกอบโกยเอาจนรู้เท่าสมเด็จพระสังฆราชก็ไม่มีใครรังเกียจ ของดีชนิดอื่นๆมี โสม ถือตะบองคอยป้องกันอยู่ทุกสิ่งทุกอย่าง

..คนเราบางคน รู้จัก ราคาเงิน ด้วยไม่มีเงิน...


ประโยคทอง จากจดหมายฉบับที่ 2.

... เมื่อเจ้ารู้จักสังเกตเจ้าจะสังเกตได้ว่า
คนที่ใช้จ่ายเงินทองสุรุ่ยสุร่ายนั้น โดยมากเป็นพวกที่ไม่เคยต้องเหน็ดเหนื่อยในเรื่องหาเงิน เป็นแต่คนอื่นเขาหาไว้ให้แล้วก็ใช้ไปๆ

--- ถึงข้า จะมั่งมีสักร้อยเท่ารอธสะไชลด์เมืองไทยข้าก็คงไม่ทนเป็นแน่


การกล่าวถึง พวกตระกูล"รอทไชลด์" ในเรื่อง จดหมายจางวางหร่ำ
"รอทไชล์ด" มีความสำคัญอย่างไรในยุคนั้น จึงได้มีการกล่าวไว้ในจางวางหร่ำ แทนที่จะกล่าวถึง พวก "ร็อคกี้เฟลเลอร์ หรือ มอร์แกน"

ในสมัยที่เรียน และ อ่านจดหมายจางวางหร่ำ เมื่ออ่านถึง "รอธสะไชลด์เมืองไทย" ก็ไม่เข้าใจ ครูที่สอนก็อธิบายไม่ได้ พอถึงปัจจุบัน ถึงได้ถามพี่กู "Google" จึงได้ทราบถึงความยิ่งใหญ่ของตระกูลนี้ ดังข้อความด้านล่าง

…หลังการพ่ายแพ้ของนโปเลียนในสงครามวอเตอร์ลู นับจากนั้นมาประเทศอังกฤษที่หมดคู่แข่งรายสำคัญลงไปแล้ว ก็ได้ผงาดขึ้นมาเป็นศูนย์กลางอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกในเวลาต่อมา…แต่ภายใต้ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของประเทศอังกฤษ ที่ได้รับการยอมรับกันในฐานะ "จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน" กลับเป็นความยิ่งใหญ่ที่อาจจะมีอยู่แต่เพียงเปลือกนอกเท่านั้น…? เพราะลึกลงไปภายในความยิ่งใหญ่ของความเป็นประเทศอังกฤษ… อย่างน้อยก็ยังมีชาวยิวรายหนึ่งอย่าง "นาธาน รอทไชลด์" ลูกชายคนที่สามของไมเยอร์ ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าของธนาคารแห่งกรุงลอนดอน หรือ "แบงค์ ออฟ อิงแลนด์" และหุ้นส่วนรายสำคัญของบริษัทอินเดียตะวันออก ดูจะไม่ได้รู้สึกประทับใจ ตื่นเต้น หรือยอมรับกับความยิ่งใหญ่ในลักษณะที่ว่านี้กันซักเท่าไหร่นัก

ดังคำพูดที่เขาเคยกล่าวเอาไว้และยังคงมีหลักฐานบันทึกมาจนทุกวันนี้ว่า…

"ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจนักว่า ใคร? ที่จะขึ้นมาเป็นพระจักรพรรดิของจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินแห่งนี้ เพราะผู้ที่สามารถควบคุมจักรวรรดิแห่งนี้ได้นั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือผู้ควบคุมระบบการเงินของประเทศนี้…ซึ่งจริงๆแล้วผู้ที่ควบคุมระบบที่ว่า…ก็คือข้าพเจ้าเอง…"

นี่คือ ส่วนหนึ่งของเรื่องราวของ ตระกูล รอทไชลด์" เจ้าของธนาคารแห่งกรุงลอนดอน หรือ "แบงค์ ออฟ อิงแลนด์" และ หุ้นส่วนรายสำคัญของบริษัทอินเดียตะวันออก บริษัทที่เป็นเจ้าอาณานิคม ตั้งแต่ อาระเบีย อินเดีย พม่า มาเลเชีย เป็นต้น

อ่านเรื่องราวของ รอทไชล์ แล้ว ก็ควรศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับ "การล้มละลายของธนาคารแบริ่ง" ด้วยน่าจะดี และ ดีขึ้นมาอีกนิดก็อ่านตำนานของ ....ลองทายดูว่า น่าจะเป็นใครเอ่ย.

...ผู้ชายที่ไม่กล้าทำอะไรผิดกว่าผู้อื่นนี้ เป็นคนใจเหมือนผู้หญิงที่ฝักใฝ่ใจ "แฟชชั่น" จะกระดิกตัวหน่อยก็กลัวผิดแฟชชั่น ซึ่งกลัวยิ่งกว่า อุบาสิกา กลัว ศีลขาด ... ซึ่ง ทาษแฟชชั่น เหล่านี้ พระราชบัญญัติเลิกทาษ ก็ช่วยไม่ได้


ประโยคทอง จากจดหมายฉบับที่ 3.

... มนุษย์เราบางคนเล่าเรียนมีความรู้เป็นอันมากจากสมุดตำรา บางคนมีความรู้ด้วยเรียนจากความคุ้นเคยแลความสังเกต


เรื่อง การประกอบธุรกิจน้ำปลาใน จดหมายจางวางหร่ำ และ เรื่องราวของ น้ำปลาทิพรส มีความเกี่ยวข้อง หรือ ประจวบเหมาะ "เวลา" อย่างไร ?
การทำการส่งเสริมการขายการตลาด "น้ำปลา" ของ เจ้าจ๋อง

"น้ำปลาโอชารศ มาทแม้นมดหมดเมืองมา
ลองลิ้มชิมน้ำปลา จักดูดดื่มลืมน้ำตาล"

จางวางหร่ำ ได้เขียนขึ้นประมาณ พ.ศ. 2454 แต่ น้ำปลาทิพรส นั้น คุณ ไล่เจี๊ยง ได้เริ่มทดลองผลิต และ ผลิตน้ำปลาแห่งแรกในปประเทศไทยในปี พ.ศ.2456 ดังนั้นผมจึงอนุมานเอาเองว่า จางวางหร่ำอาจจะเป็นแรงบันดาลใจ หรือ อาจจะเป็นคลื่นเสริม สำหรับน้ำปลาทิพรสด้วยไหมเอ่ย (ใครมีความรู้ ช่วยแสดงความคิดเห็นด้วย จะขอบคุณ) อ่านเรื่องราวของทิพรส ประกอบด้วยนะครับ



...ปี พ.ศ. 2456 นายไล่เจี๊ยง ได้เริ่มทดลองผลิตน้ำปลาเป็นครั้งแรก ....
ประวัติและตำนาน ท่านสามารถเข้าสู่ website ของ ทิพยรส ได้

Click://www.tiparos.com/tcorporate.htm

ประโยคทอง จากจดหมายฉบับที่ 4.

..เวลาที่ว่างอยู่เปล่าๆ เดือนครึ่งนั้น ถ้าคนเจ็บก็พอทำให้หาย ถ้าคนขี้เกียจก็คงทำให้ขี้เกียจหนักขึ้น

คนบางคนไม่ชอบมีเวลาว่าง มันต้องทำงานอยู่เสมอจึงจะมีความสุข..

คนที่มีน้ำใจปลอดโปร่งอาจคิดอันใดคิดได้ง่ายนั้น คือ คนที่ "กวาดการงาน" ออกจากมันสมองทุกๆวันเวลาที่เลิกออฟฟิศ เหมือนกับกวาดใบไม้ให้เตียนจากลานโบถ แลไม่ไม่ยอมให้การงานเข้าครอบงำความคิดอีกก่อนเช้าวันรุ่งขึ้น...

สุภาษิตว่า คนใดชอบอวดว่างานทำมาก "คนนั้น ไม่ใคร่มีงานทำ หรือ ไม่ใช่ เย็นตะละแมน"

คนพวกหนึ่ง คือ "มักมาอย่างไทย ไปอย่างฝรั่ง"


เมื่อข้ายังหนุ่มๆ ถ้าข้าไม่มีงานเมื่อใด ข้าหาอะไรได้ ไม่ว่าตำแหน่งนักการ หรือ เสมียน หรือ อะไร ข้าคงรับทำไว้ก่อน แล้วใช้ตำแหน่งต่ำเป็นเหยื่อตกตำแหน่งสูงต่อไป เช่น ถ้าหาอะไรไม่ได้ดีกว่าไส้เดือนก็ควรใส่ไส้เดือนลงกะลาเข้าไว้ทีหนึ่ง ด้วยไส้เดือนเป็นเหยื่อกุ้ง กุ้งเป็นเหยื่อปลากราย ปลาสลาด แล ปลาดุกปลาช่อนต่างๆ ดังนี้ เจ้าสามารถจะได้ปลาตัวใหญ่ขึ้นไปทุกที ในที่สุด ปลาฉลาด จะเป็นเหยื่อปลาวาฬบ้างกระมัง ถ้าไม่ได้ก็ควรจะได้

และ ขอนำประโยคนี้ สำหรับสอนตัวของผมเอง คนอื่นไม่เกี่ยวข้อง
"ความ รีๆ รอๆ เป็นโจรผู้ลักเวลา"

เฮ้อ ท่านหาซื้อมาอ่านเถอะ อ่านเล่มนี้ เท่ากับเรียน MBA 1 เทอมเลยนะครับ





Create Date : 16 กรกฎาคม 2551
Last Update : 3 ธันวาคม 2556 20:26:11 น. 0 comments
Counter : 5521 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Merchant Dream
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Happiness Lies in the job of achivement and the thrill of "CREATIVE EFFORT"

ความสุขซุกซ่อนอยู่ในความสำเร็จ ในหน้าที่การงาน และ ความรู้สึกว่า ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่แล้ว.
New Comments
Friends' blogs
[Add Merchant Dream's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.