ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บบอร์ด Thailand Aquatic Pets เว็บบล็อคสำหรับ คนรักสัตว์น้ำ ( และ สัตว์ที่อยู่ในน้ำ ) ประเทศไทยจ้า
<<
สิงหาคม 2556
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
11 สิงหาคม 2556

สุมาอี้ ผู้ชนะทุกก๊ก !!!!

           พูดถึง"สามก๊ก"..บางคน"ลืม"ไปแล้วว่า สุดท้ายของการสู้รบ ใครชนะ !!!

           คำตอบของสุดยอดวรรณกรรมโลกของจีนเรื่องนี้ มีประโยคหนึ่งสรุปได้ชัดเจน นั่นคือ .."เล่า โจ ซุน ต่อสู้แย่งชิงกันไปชิงกันมา สุดท้ายสุมาได้ครองแผ่นดิน”

           ใช่แล้วครับ...สุดท้าย"สุมา" ได้ครองแผ่นดิน และชายผู้ชนะทุกก๊กก็คือ สุมาอี้ ...

           วิกิพีเดีย..เขียนถึง"สุมาอี้"..ไว้ว่า

          "สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้ (Sima Yi) (ค.ศ. 179-251) เป็นบุตรชายคนรองของสุมาฮอง ผู้ว่าการแห่งนครหลวงลั่วหยาง เป็นชาวอำเภออุน เมืองเหอเน่ย ( โห้ลาย ) มณฑลเหอหนาน มีชื่อรองว่า "ชงต๊ะ" มีลักษณะ แววตาแหลมเล็กคล้ายตาเหยี่ยว เป็นคนเฉลียวฉลาด ชำนาญตำราพิชัยสงคราม สุมาอี้เริ่มต้นจากการรับราชการตำแหน่งเล็กก่อนที่จะไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งเสนาธิการและแม่ทัพ อย่างไรก็ตาม ความสุขุมลุ่มลึกของสุมาอี้นั้น ทำให้แม้แต่โจโฉยังไม่ไว้วางใจ และเคยเตือนบุคคลรอบข้างให้ระวังสุมาอี้ เมื่อโจโฉและโจผีสิ้นลง โจยอยได้ขึ้นครองราชย์ สุมาอี้ได้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊ก และเป็นคู่ปรับคนสำคัญของขงเบ้ง.."

           ใช่แล้วครับ..หลัง"จิวยี่"เสียชีวิต คนที่ขงเบ้งต้องต่อกรและพ่ายแพ้จน"ตรอมใจตาย"ก็คือ"สุมาอี้"คนนี้แหละ

           "สงคราม"ระหว่างขงเบ้งกับสุมาอี้นั้น มีหลายครั้งหลายตอนที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ โดยครั้งหนึ่ง สุมาอี้เกือบตายเพราะแผนขงเบ้งที่หลอกกองทัพของสุมาอี้ไปใน"หุบเขาน้ำเต้า" โดยหวังจะสังหารสุมาอี้ทั้งกองทัพด้วยการคลอกไฟ พร้อมระเบิดภูเขาให้ถล่มทับทั้งหมด และทุกอย่างสำเร็จผล เมื่อสามารถลวงกองทัพสุมาอี้ไปในหุบเขาสำเร็จ แต่สุดท้าย...

           "คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต"..เพราะระหว่างที่ดินระเบิดกำลังถล่มกองทัพของสุมาอี้นั้น ก็เกิดฝนตกหนักจนดับไฟ

           สุมาอี้..จึงรอดตายเพราะสวรรค์เป็นใจ และกลับมารบจนชนะขงเบ้งถึงขั้น"จนมุม" ที่จุดยุทธศาสตร์เกต๋ง แต่กลับไม่ชนะเด็ดขาด เพราะเจอเกมลักไก่ของขงเบ้ง ที่"ขึ้นไปนั่งบนกำแพงแกล้งตีขิม พยักยิ้มให้ข้าศึกนึกฉงน" พร้อมเปิดประตูเมือง จนสุมาอี้ระแวงแล้วไม่กล้าบุกทัพเข้าไป ...ขงเบ้งจึงรอดตายในศึกนั้น

           แต่สุดท้าย ขงเบ้งก็ต้องตรอมใจตายเพราะกลยุทธ์"ไม่รบด้วย" แต่ยังสร้างหุ่นหลอกสุมาอี้จนแตกทัพ โดยเจ้าตัวยอมรับว่า"ข้าพเจ้าไม่เคยแพ้คนเป็น แต่ต้องแพ้คนตาย"

ขงเบ้ง ..คู่ปรับตลอดกาลของสุมาอี้

           น่าเสียดายที่หนัง"โจโฉแตกทัพเรือ" ไม่มีสุมาอี้ !!!

           เหตุการณ์นั้น เกิดขึ้นเมื่อ"สุมาอี้"ยอมมาเป็นขุนนางในกองทัพของ"โจโฉ"ในสถานะ"มหาอุปราช" ซึ่งเมื่อทำสงครามปราบปรามอ้วนเสี้ยวทางภาคเหนือสำเร็จจนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ควบคุมแผ่นดินภาคเหนือและกลางของประเทศได้ทั้งหมด โจโฉก็เตรียมตัวรุกลงใต้เพื่อรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว

           สุมาอี้เป็นคนเดียวที่ค้าน ในฐานะ"เสนาธิการทหาร"ของโจโฉ !!!

           "สุมาอี้"อธิบายว่า ตระกูลซุนแห่งง่อก๊ก ที่ปกครองภาคใต้นั้น มีความเข้มแข็ง และมีชัยภูมิดี ยากแก่การตีแตกได้ง่าย และที่สำคัญก็คือ กองทัพโจโฉก็เพิ่งจะปราบอ้วนเสี้ยวลงได้ ดังนั้น แม้จะอยู่ในช่วงฮึกเหิม แต่พลรบที่ได้มาจากอ้วนเสี้ยว ก็ยังไม่พร้อมที่จะทำการรบใหญ่กับพวกที่มีความเชี่ยวชาญพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำของง่อก๊กได้

           แต่โจโฉก็ตัดสินใจยกทัพไป"เซ็กเพ็ก" หรือ"ผาแดง" เพราะที่ปรึกษาเก่าๆไม่ได้ทัดทานจนพ่ายแพ้กลับมา

           โจโฉก็ระแวงคนๆนี้มาโดยตลอด !!!

           ความจริงแล้ว โจโฉระแวงสุมาอี้ก่อนร่วมงานด้วยซ้ำ เพราะในปี ค.ศ.201 ขณะที่"สุมาอี้"มีตำแหน่งเป็น"ส้างจีหยวน"ในเมืองลำหยง "โจโฉ" ซึ่งเป็นซือคง(หัวหน้ากองโยธาธิการ) ของพระเจ้าเ...้ยนเต้ ได้ทำหนังสือมาเรียนเชิญสุมาอี้ ที่มีสายรายงานว่ามีสติปัญญา เดินทางไปเมืองฮูโต๋ เพื่อเลื่อนเป็นขุนนางใหญ่

           แต่สุมาอี้ปฏิเสธ ...อ้างว่า"ป่วย" โดยบอกนายทหารของโจโฉไปว่า "บัดนี้ข้อแลกระดูกเราผิดประหลาดไป แต่จะลุกเดินให้จำเริญใจเป็นที่สบายก็ไม่ได้ ซึ่งจะให้ไปเป็นขุนนางอยู่เมืองหลวงนั้นเห็นขัดสนนัก.." 

           โจโฉได้รับแจ้งก็โกรธและคิดว่าสุมาอี้ไม่ยินดีร่วมงานด้วย จึงให้มือสังหารเข้าไปลอบฆ่าสุมาอี้ และเมื่อนักฆ่าปีนเข้าไปในบ้านสุมาอี้ ก็ย่องเข้าไปห้องนอนสุมาอี้ แล้วแทงดาบใส่สุมาอี้ ขณะที่สุมาอี้ที่เชื่อว่าโจโฉไม่พอใจและคงให้ทหารมาทำจะสังหารตัวเพื่อดูว่าป่วยจริงหรือไม่ก็นอนเฉย มือสังหารจึงกลับไปรายงานโจโฉ

           อย่างน้อยนั่นทำให้โจโฉลดความระแวงลงไป..บ้าง ...แต่สุมาอี้ก็เพิ่มความระวังตัวมากขึ้น

           กระทั่งปี ค.ศ.208 ทั้งสองผู้ยิ่งใหญ่จึงได้ร่วมงานกัน

           ในปีนั้น โจโฉเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น"ไจเสี่ยง" หรือผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน จึงให้มีโองการไปให้สุมาอี้เข้ามาเป็นที่ขุนนางเหวินเซียะหยวน ที่เมืองฮูโต๋ โดยคราวนี้ โจโฉสั่งความคนใช้ว่าเมื่อไปยื่นหนังสือให้สุมาอี้แล้ว หากเจ้าตัวบิดพลิ้วไม่ยอมมา ก็ให้จับตัวเอามาจงได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย

           คราวนี้สุมาอี้เป็น"นกรู้" เชื่อว่าการเชิญตัวครั้งนี้ หากไม่ไปแบบ"คนเป็น"ก็ต้องไปแบบ"คนตาย" เพราะคราวนี้ โจโฉมีอำนาจใหญ่ในพระนครหลวง หากปฏิเสธจนโจโฉโกรธขึ้นมา ก็มีอำนาจสั่งตัดศีรษะในข้อหาขัดพระบรมราชโองการ สุมาอี้จึงออกจากเมืองโห้ลาย ไปเมืองฮูโต๋ รับราชการในตำแหน่ง"หวงเหมินซื่อหลาง"

           แม้จะมาอยู่ใกล้ตัว แต่โจโฉก็ระแวงสุมาอี้ตลอด ถึงขั้นสุมาอี้ต้องแกล้งป่วยเพื่อให้โจโฉวางใจ ถึงขั้นแกล้งยอมกินฉี่กินอึของตัวเองเพื่อแสดงว่า"บ้าจริง" จนโจโฉยอมเชื่อ แต่ก่อนตาย โจโฉก็ยังสั่งโจผี บุตรชายที่สืบทอดอำนาจว่า"อย่าให้สุมาอี้คุมทหาร"

           เมื่อโจโฉตาย ก็ถึงโอกาสที่สุมาอี้รอคอย...ไม่ว่าจะนานกี่ปี

           โจโฉตายในปี ค.ศ.220 "โจผี" บุตรชายคนโตขึ้นสืบทอดอำนาจต่อ และสถาปนาตัวเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์วุยฮั่น ชีวิตของ"สุมาอี้" ดูเหมือนจะดีขึ้น เพราะเขาสนิทสนมกับโจผี ในฐานะที่ปรึกษาคนสนิทมาก่อน จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในคณะเสนาบดีที่คอยดูแลบ้านเมือง

           แต่โจผีครองราชย์ไม่ถึง 10 ปีก็สิ้นพระชนม์ "โจยอย" ก็สืบราชบัลลังค์ต่อ แต่เนื่องจากเป็นฮ่องเต้ที่ลุ่มหลงในสุราและนารี และปกครองบ้านเมืองแบบโหดเหี้ยม จนมีขุนนางและประชาชนเริ่มต่อต้านตระกูลโจ และเมื่อโจยอยประชวร ก่อนตายก็ได้ฝากฝัง"โจฮอง" บุตรชายอายุ 9 ขวบให้สุมาอี้ดูแล พร้อม"โจซอง" บุตรชายของ"โจจิ๋น" อดีตแม่ทัพใหญ่ พระญาติใกล้ชิดที่เหลืออยู่ให้คอยดูแลควบคู่กัน แต่"โจซอง" ระแวงว่า"สุมาอี้"จะทำการใหญ่ จึงลิดรอนอำนาจด้วยการเลื่อนยศเขาให้ไปเป็นราชครู ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงแต่ไร้อำนาจทางทหาร

           "สุมาอี้"รู้ตัว และ"ยอมรับ"พร้อมให้ลูกชาย 2 คนคือสุมาสูและสุมาเจียว ลาออกจากราชการฝ่ายทหารไปร่วมกันพัฒนาบ้านเมือง และกลายเป็นขวัญใจประชาชน พร้อมซ่องสุมกำลังคนไว้อย่างลับๆโดย"โจซอง"ไม่รู้เรื่อง

อนุสาวรีย์สุมาอี้ที่เมือง ganzhou

           "สุมาอี้"รอคอยนานถึง 8 ปีจึงลงมือ !!!

           กระนั้นก็ตาม แม้จะถอนตัวจาก"วัง"ไปทำงานเป็น"ข้าราชการพลเรือน"นานถึง 8 ปี แต่ในปี ค.ศ. 249 โจซอง ก็ได้ส่งคนของตนไปตรวจสภาพของสุมาอี้ ซึ่งเจ้าตัวรู้ว่าคนของโจซองมาเยี่ยมที่บ้าน ก็แกล้งทำเป็นป่วยหนัก จนสามารถหลอกให้โจซองตายใจ และมั่นใจว่าหมดเสี้ยนหนาม โจซองจึงยกกองทัพออกไปล่าสัตว์นอกเมือง พร้อมทูลเชิญฮ่องเต้โจฮองไปด้วย

           เมื่อทราบเรื่อง สุมาอี้จึงสบช่อง ยกกองทัพของตนที่ซ่องสุมไว้ประมาณ 3 พันคนลงมือทันที โดยให้"กุยห้วย" แม่ทัพคนสนิทที่เคยนำทัพสู้กับขงเบ้งที่กิสาน นำกำลังพลเข้าควบคุมสถานที่สำคัญในเมืองหลวง โดยได้รับความร่วมมือจากนายทหารคนเก่าแก่ที่เคยร่วมงานกัน และเมื่อควบคุมจุดสำคัญในเมืองหลวงได้หมด สุมาอี้ก็นำกำลังไปดักพวกโจซองไว้ที่หน้าเมือง แล้วให้สุมาสูและสุมาเจียว บุตรชายเข้าไปอัญเชิญประกาศกล่าวโทษโจซองจากไทเฮาถึงในตำหนัก เพื่อความชอบธรรมในการลงมือครั้งนี้

           โจซองทราบเรื่อง เตรียมนำทัพเข้าสู้กับสุมาอี้ แต่สุมาอี้ส่งทูตเจรจาว่าต้องการยึดอำนาจการทหารคืนเท่านั้น หากโจซองยอมมอบตัวก็จะให้อยู่ต่อไปอย่างสุขสบาย แต่นั่นเป็นคำลวง เพราะสุมาอี้รู้ว่า หากจะตัดรากต้องถอนโคน จึงสั่งประหารญาติตระกูลโจ 7 ชั่วโคตร 

           การยึดอำนาจครั้งนี้ ประชาชนไม่ได้ต่อต้านสุมาอี้ เพราะที่ผ่านมา ชาวบ้านถูกโจซองใช้อำนาจผ่านฮ่องเต้กดขี่ต่อประชาชน

           2 ปีต่อมา คือปี ค.ศ.251 สุมาอี้ก็ล้มป่วยและถึงแก่กรรมในวัย 72 ปี ก่อนที่สุมาเอี๋ยน หลานชายสุมาอี้ ได้ล้มล้างราชวงศ์วุยของตระกลโจ และขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์จิ้น นามว่า"พระเจ้าจิ้นหวู่ตี้" ในปี ค.ศ.265 

           และแผ่นดินจีนที่แตกเป็นสามก๊ก ก็ถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวในปี ค.ศ. 280 ในปกครองของฮ่องเต้จากตระกูล"สุมา"


 เครดิต : //board.postjung.com/697886.html




Create Date : 11 สิงหาคม 2556
Last Update : 11 สิงหาคม 2556 9:23:21 น. 0 comments
Counter : 1941 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เหมียวกุ่ย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




ยินดีต้อนรับพี่ๆน้องๆทุกท่านเข้าเยี่ยมชม เว็บบล็อคแห่งนี้ หวังว่าทุกท่านจะมีความสุขในการชมบล็อคของกระผมนะครับ










View My Stats
New Comments
[Add เหมียวกุ่ย's blog to your web]