Group Blog
 
 
มกราคม 2549
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
23 มกราคม 2549
 
All Blogs
 

หัวใจออกเดินทาง....ตอนแปด...สารนาถ-พาราณสี

มาเล่าต่อค่ะหลังจากที่ขี้เกียจมาหลายวัน


วันที่ 17/12/2005

พวกเราตื่นตีสามครึ่ง เพราะโปรแกรมออกเดินทางตอนตีห้า วันนี้ไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหน เพราะพวกเราจะต้อง
นั่งอยู่ในรถตลอดทั้งวัน

เราจะไปกันที่สารนาถ เมืองพาราณสี

ก่อนจะเล่าเกี่ยวกับสารนาถ ขอเล่านิดนึงถึงการเดินทางขอวันที่ 17

พวกเราออกเดินทางกันตั้งแต่พระอาทิตย์ไม่ทันขึ้น

และเหมือนเดิมคือ การสวดมนต์บนรถ เพราะการเดินทางนั้นไม่ได้ง่ายเลย เสี่ยงไปด้วยอันตรายบนท้องถนน
ไม่สามารถนับครั้งที่พวกเรากรีดร้อง เพราะคิดว่ารถต้องชนแน่ๆ

แต่นานไปนานไป เสียงกรีดก็จะเงียบลง เพราะกรีดร้องไปก็เท่านั้น
ได้แต่คอยลุ้นกันว่า พวกเราจะรอดไปถึงสารนาถกันหรือเปล่า

เอาหล่ะมาเล่าว่า พอฟ้าสางพวกเราก็จะเห็นคนอินเดีย
พากันนั่งถ่ายตามสองข้างทางแบบไม่อาย

ตามทุ่งนา ที่ไม่มีสิ่งใดปิดบังหรือตามแม่น้ำที่แห้ง พวกเราพากัน
หัวเราะ ว่าทำไมพวกเค้าไม่อายกันบ้าง

แต่ทีนี้ก็ถึงตาพวกเรา เพราะนั่งรถนานๆ ไม่มีห้องน้ำให้เข้า

จึงต้องมีการแวะข้างทางให้ลงไปทำธุระ

ครั้งแรกพวกเราทุกคนมีการอาย ไม่ค่อยมีใครลงไป นอกจากผู้ชาย

แต่หลังจากนั้น อายไม่อายไม่สนแล้วค่ะ พากันลงไปทำธุระ

บางคนเอาผ้าถุงไปด้วย

มีคนรอยืมต่อยาวเลย หลังๆทุกคนชินค่ะ พอรถจอดก็ลงไปทำธุระของใครของมัน เพราะเรื่องปวดหนักปวดเบา มันห้ามกันไม่ได้

มาอินเดียต้องทำใจค่ะ

และพวกเราก็ถึงสารนาถ ตอนเย็น พวกเราไม่ได้พักที่วัดไทยสารนาถ

เพราะติดต่อไม่ได้ มารู้ทีหลังว่า มีคนไทยตาย จึงติดต่อไม่ได้ สาเหตุที่ตายไม่ทราบได้

พวกเราจึงเข้าพักที่วัดจีน
พวกเราไปถึงวัดก็ค่ำพอดี เหมือนเดิมมีการแบ่งห้องกัน
และเหมือนเดิมพวกเราพักห้าคน ที่วัดนี้พวกเราจะพักกันสองคืน
พวกเราดีใจกันมากๆ เพราะจะได้ซักผ้า

หลังจากกินข้าวเย็นที่วัดจีน อาหารไทยนะค่ะ เพราะมีพระไทย มาทำอาหารให้ พวกเราก็รีบไปซักผ้าอาบน้ำ
และเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะพวกเรามีนัดกันตอนตีห้า
ไปแม่น้ำคงคา

อดตื่นเต้นไม่ได้ และที่พวกเราเตรียมไปด้วยคือ ขวดน้ำ
เอาไปตักน้ำคงคา



18/12/2005

พวกเราตื่นแต่เช้า กลุ่มพวกเราตื่นก่อนใครๆ รีบออกไปที่รถ แต่รถไม่อยู่ คนอื่นๆเริ่มทยอยกันมา รถมาช้าไปสามสิบนาที

รถไปส่งพวกเราที่ซอยทางเข้าเพราะรถเข้าไปไม่ได้

พวกเราเดินตามกัน ระหว่างที่เดินก็มีคนมาคอย
ถามขายดอกไม้และถามให้เช่าเรือ
บางคนบอกว่าพวกเรามาผิดทาง ไม่ใช่ท่านี้ ท่าน้ำมีหลายท่านะค่ะ

พระอาจารย์บอกว่าอย่าไปสนใจเดินตามกันก็พอ

และระหว่างที่เดินต้องคอยระวังเท้าให้ดีนะค่ะ
เพราะอาจจะเหยียบขี้ได้

ไปถึงท่าน้ำยังมืดอยู่ค่ะ พระอาจารย์ไปต่อราคาค่าเรือ

ส่วนพวกเรานั่นซื้อกระทงเล็กๆ ราคาสองรูปีค่ะ กระทงนี้พวกเราจะลอยในแม่น้ำคงคา


ขอเล่าเกี่ยวกับพาราณสีหน่อยนะค่ะ

เมืองพาราณสี เป็นเมืองเก่าในอดีตเป็นมืองหลวงของแคว้นกาสี

คำว่าพาราณสี มาจาก คำว่า วรณา และอสี ซึ่งเป็นชื่อของแม่น้ำ
เพราะเมืองพาราณสีตั้งอยู่ระหว่างของแม่น้ำสองสาย

เมืองพาราณสี เป็นศูนย์กลางของศาสนาฮินดู
อีกทั้งแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของฮินดู คือแม่น้ำคงคา
ซึ่งมีความยาวเป็นอันดับสองของแม่น้ำในประเทศอินเดีย
มีความยาว 2510 กิโลเมตร รองจากแม่น้ำพรหมบุตรที่มีความบาว 5900 กิโลเมตร
ชาวฮินดูมีความเชื่ออย่างมั่นคงว่า
แม่น้ำคงคา สามารถชำระล้างบาปได้


แม่น้ำคงคายามเช้า

พวกเราขึ้นเรือจากท่าทสอัศวเมธ
และที่ท่านี้ยังไม่มีการเผาศพ ไม่รู้ทำไม

หรือเค้าไม่เผาที่ท่านี้ก็ไม่ทราบได้
พระอาจารย์บอกว่าพอเรืออกไปกลางแม่น้ำ ใครจะตักน้ำใส่ขวดก็ให้ตัก เพราะที่ท่านี้น้ำสะอาดที่สุด

พวกเราพอเรือออกไปกลางน้ำพวกเราก็พากันตัก และใครที่ซื้อกระทงมาก็พากันลอย

และเรือก็พาพวกเราล่องไปเรื่อยๆ ชมแม่น้ำคงคา
พวกเราไปกันเช้ามาก ไม่ค่อยมีคนมาอาบน้ำเลย

พระอาจารย์มานพก็ บรรยายเกี่ยวกับ โรงแรมรอความตาย
ที่พวกเรานั่งเรือผ่านว่า คนที่ใกล้ตายจะมาพักและพอตายก็เผาเลย






และก็มาถึงท่าที่เค้ากำลังเผาศพ คนพายเรือไม่ยอมพาพวกเราเข้าไปใกล้ จึงได้ภาพมาดีที่สุดแค่นี้

เพื่อนจะเห็นว่า จะมีเรือขนฟืนจอดอยู่ที่ท่า ฟืนพวกเค้าจะเอาไว้เผาศพค่ะ คนที่รวยก็จะซื้อฟืนทั้งลำเพื่อเผาศพให้ญาติ จนเป็นขี้เถ้า คนที่ไม่มีเงินมาก ซื้อฟืนน้อย ฟืนหมด เค้าก็เผาไม่หมด ก็จะเขี่ยลงน้ำไปทั้งแบบนั้น

พวกเราอยู่ที่ท่านี้นานเป็นพิเศษ และระหว่างนั้นจะมีเรือขายของมาจอดขายของ
บ้างขายซีดี บ้างขายของที่ระลึก บ้างขายปลา
และที่นี่พวกเราได้ร่วมกับปล่อยปลา

พวกเราถวายให้พระสงฆ์ก่อน และพระสงฆ์ถวายคืนและทำการปล่อย

มีการสวดมนต์ และแผ่เมตตา ให้เจ้ากรรมนายเวรบนเรือ
และน้ำที่ใช้หยาดคือน้ำจากแม่น้ำคงคานั่นเอง

เสียดายไม่มีภาพที่กล้องเรา เพราะมัวแต่ปล่อยปลาลงน้ำ

ระหว่างที่เรือพาพวกเรากลับ ก็เจอคนไทยอีกกลุ่มนึง

พวกเราตะโกนสวัสดีและโบกมือกันใหญ่ ดีใจที่ได้เจอคนไทย

หลังจากนั้นพวกเราก็เดินกลับไปขึ้นรถ เพื่อจะไปกันต่อที่

มหาวิทยาลัยพาราณสี


เป็นมหาวิทยาลัย ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ประมาณ 2000 เอเคอร์ มีสาขาวิชาเรียนมากกว่า 24 สาขา ในแต่ละปีมีพระภิกษุชาวไทยมาศึกษาที่นี่จำนวนมาก

และพวกเรากำลังไปที่พักของพระนักศึกษา
เพื่อทานอาหารเช้าและกลางวันกันที่นี่สองมื้อ

มหาลัยที่นี่ร่มรื่นมาก พวกเราไปถึงอาหารเช้าก็พร้อม
สำหรับพวกเรา มีพระนักศึกษา ออกมาพูด บรรยายถึงสถานที่ แต่พวกเราไม่ได้ฟังกันเลย แหะๆ เพราะหิวมากๆ

พอกินอาหารเช้าเสร็จพวกเราก็เดินสำรวจด้านหน้าที่พัก
ต้นไม้ใหญ่ปกคลุม และดอกไม้นานาพันธุ์สวยงามมากๆ
อากาศ เย็น หน้าร้อนที่นี่คงไม่ร้อนเลย

ด้านหน้ามีป้ายบอกชื่อเป็นภาษาไทยด้วย

สิทธารถวิหาร

และพวกเราก็ออกเดินทางไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัย พาราณสี

โดยรถพาวนรอบๆ และพาพวกเราไปไหว้พระ วัดฮินดู ที่มีอยู่ในมหาวิทยาลัย

วัดพระศิวะค่ะ ด้านในห้ามถ่ายภาพ

ที่นี่พวกเรามีเวลาหนึ่งชั่วโมง
เรานั้นก่อนเข้าไปด้านใน เห็นมีดอกไม้และของที่เค้าจัดไว้เป็นชุด
จึงซื้อหนึ่งชุดเพื่อจะเอาไปบูชาพระศิวะ
ราคา50รูปีแพงแต่อยากทำบุญจึงไม่พูดไรมาก

ภาพนี้แอบถ่าย

เราเข้าไปด้านในคนเดียวก่อน น้องๆคนอื่นๆก็ตามเข้ามาใหว้ด้วย

เราไหว้เสร็จพราหมณ์ ก็เอาของบูชาบางส่วนคืนให้
เราก็เก็บไว้จะเอาไปฝากสามี


หลังจากนั้นเราและจ๋าก็ เดินถ่ายรูป รอบๆวัด และกลับไปที่รถ รอคนอื่นๆ

และเมื่อมากันครบรถก็พาพวกเรากลับไปที่พักพระนักศึกษาไทย
เพื่อไปทานอาหารกลางวัน

ภายในสิทธารถวิหาร
ที่นี่พวกเราได้มีการ ทอดผ้าป่า และพวกเราได้หนังสือแจกมาคนละเล่ม

หลังจากทอดผ้าป่าเสร็จก็ถึงเวลาทานข้าว มีส้มตำด้วย
อร่อยมากๆ

และก่อนจากที่นี่
พวกเราได้ถ่ายภาพหมู่ร่วมกันเป็นที่ระลึก



และหลังจากนั้นพวกเราย้อนกลับไปที่สารนาถ
เพื่อไปที่ เจาคันธีสถูป

เจาคันธีสถูป เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงพบกับปัจวัคคีย์
เป็นครั้งแรกหลังจาก ปัจจวัคคีย์หนีมาอยู่ ณ ป่า อิสิปตนมฤคทายวัน

โดยทิ่งให้พระองค์ทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่แต่ลำพัง
เพียงพระองค์เดียวที่อุรุเวลาเสนานิคม บริเวณภูเขาดงคสิริในปัจจุบัน

เจาคันธีสถูปนี้อยู่ห่างจากป่าอิสิปตนมฤคทายวันประมาณ 1 กิโลเมตร

พวกเราพากันเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อจะขึ้นไปถึงยอดสถูป

เดินตามกันไปจนถึงชั้นสอง และจะมีประตูที่คนเฝ้าเปิดให้
พวกเราขึ้นไป

ทางแคบมากๆ พวกเราขึ้นไปถึงยอด ขาสั่นเลยเพราะสูงมาก

เราแทบไม่กล้ามองลงไป กลัวมากๆว่าเกิดมีใครไม่ระวัง
ต้องพลัดตกลงไปแน่ๆ

พวกเราได้สวดมนต์ไหว้พระและถ่ายภาพกัน จากเจาคันธีสถูปสามารถมองเห็น

ธัมเมกขสถูปอยู่ไม่ไกลเลย

และต่อจากนั้นพวกเราจะไปที่พิพิธภันฑ์
ที่นี่มีพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาที่สมบรูณ์และสวยงามที่สุดในด้านพุทธศิลป์
สวยงามมากๆ พวกเราได้ไปกราบ เราอดที่จะสลดใจไม่ได้ว่า พระพุทธรูปไม่น่าจะมาอยู่ที่พิพิธพันธ์เลย น่าจะอยู่ในที่ที่สามารถกราบไหว้บูชา

และที่นี่ยังมีหัวสิงห์พระเจ้าอโศก



ขวามือจากพิพิธภันฑ์ ไปไม่ไกล คือที่ตั้งของ ธัมเมกขสถูป

ค่าเข้าชม ร้อยนึงถ้าจำไม่ผิด

ธัมเมกขสถูป เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมกัณฑ์แรก คือธัมมจักกัปปวัตนสูตร

เนื้อความในเบื้องต้นนั้นได้กล่าวถึงการปฏิบัติตนว่าไม่ควรยึดความสุดโต่งสองทาง
คือ

๑. ไม่ควรทำตนให้หมกหมุ่นอยู่ในเรืองของกามคุณ
ใช้ชีวิตสิ้นเปลืองแบบไม่มีประโยชน์อะไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการติดสุข
หมกหมุ่นในเรื่องของกามคุณ ๕

๒. ไม่ควรทรมานตนเอง และจริงจังกับสิ่งที่ไม่จีรังจนเกินไป

จนชีวิตได้รับแต่ทุขเวทนา หาความสุขและความสำเร็จไม่ได้
เป็นการทำตนให้เหนื่อยหน่ายเปล่าและลำบากเปล่า

ทั้งสองประการนี้พระพุทธองค์ต้องการที่จะชี้ให้ปัจจวัคคีย์เห็นว่า
สิ่งที่พระองค์ได้ปฏิบัติมาแล้วและไม่ใช่หนทางแห่งความสำเร็จ

ความเป็นมาของธัมเมกขสถูป ตามที่นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ทางศาสนา ได้วินิจฉัยเอาไว้ว่า เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงประทับนั่งแสดงธรรมและเป็นเครื่องหมายแสดงการเสด็จมาอุบัติของพระพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งแปลว่า ที่ตั้งแห่งธรรม หรือ ธรรมเป็นใหญ่


เอาหล่ะเล่าต่อดีกว่า

ย่างแรกที่เราก้าวเท้าเข้าไป

เราเราถามตัวเราเองแบบงงว่าที่นี่คือสวนสาธารณะ หรือสถานที่สำคัญทางศาสนากันแน่
คนอินเดียต่างพากันมาปิคนิค และทิ้งเศษขยะเกลื่อนไปหมด บ้างก็กำลังตีไม้แบดกันข้าง ธัมมราชิกสถูป พอเดินจะไปที่กุฏิพระพุทธเจ้า ก็มีหนุ่มสาวนั่งพรอดรักกันเป็นคู่ๆ

เรานั้นอึ้งมาก คิดในใจทำไมสถานที่สำคัญ คนเหล่านี้ไม่มีความเคารพในสถานที่เลย สลดใจจริงๆ

พวกเราไปรวมกันที่มูลคันธีกุฎี กุฎีหลังแรกของพระพุทธองค์ และสวดมนต์
เสร็จแล้วพระอาจารย์มานพ บอกให้พวกเราทำความสะอาด
รอบๆกุฏี

พวกเราทุกคนพร้อมใจกันเก็บเศษขยะเศษก้านธูป

และหลังจากนั้นได้เดินไปดู เสาหินพระเจ้าอโศก ที่เหลือแต่เสา


ต่อจากนั้นพวกเราก็เดินตามพระอาจารย์มานพไปไหว้
สถานที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดพระยสะ

และไปต่อกันที่ ธัมเมกขสถูป
ที่นี่พวกเราทุกคนมาพร้อมกันและสวดมนต์ บท ธัมจักกัปวัตตนสูตร
และเดินประทักษิณสามรอบ

และพวกเราก็เก็บขยะรอบๆ

ด้านหลังธัมเมกขสถูป มีสวนกวาง

กวางน่ารักมาก เรากำลังถ่ายภาพ แบ็ตหมด

ไม่ต้องสงสัยทำไมเรามีภาพของธัมเมกขสถูปน้อย เพราะถ่านหมด ถ่านสำรองอยู่บนรถ




พวกเราเดินกลับทางด้านหลัง และย้อนกลับมาออกทางด้านหน้าทางออกเพื่อไปกันต่อที่ วิหารที่สวยงาม

เรานั้นแวบไปเอาถ่านที่รถ
จากวัดจีนที่พวกเราพักไม่ไกล รถจึงขอกลับไปก่อน

จากถนนด้านซ้ายประตูทางออกของธัมเมกขสถูป
พวกเราเดินตามพระอาจารย์มานพไป ที่วิหาร ที่วยงาม มาทราบทีหลังคือ


มูลคันธกุฎีวิหาร อนาคาริกธรรมปาละ บรรจงสร้างอย่างสวยงาม
รวบรวมศรัทธาชาวพุทธสร้างเมื่อ พ.ศ. 2474 ใต้ฐานพระพุทธรูปปางสารนาถ มีพระบรมสาริกธาตุ ที่รัฐบาลอินเดียมอบให้ และเก็บรักษาไว้ในนี้ จะนำออกมาให้ประชาชนนมัสการทุกปี

ฝาผนังรอบในวิหารเป็นภาพ

ที่นำแบบมาจากจิตรกรรมอันดับหนึ่งของโลก คือถ้ำอชันตา
ศิลปินญี่ปุ่นเป็นผู้วาด ที่นี่มีต้นโพธิ์ ลังกา ที่พระธิดาของพระเจ้าอโศกนำจากพุทธคยาไปปลูกที่เกาะลังกา
และท่านอนาคารกธรรมปาละได้นำหน่อมาจากศรีลังกามาปลูกที่สารนาถ ที่วิหารแห่งนี้

พระอาจารย์มานพ รู้จักเจ้าอาวาสที่วัดนี้ดี พระอาจารย์มานพได้ขอร้อง ว่าพวกเราอยากจะนมัสการพระธาตุ
พวกเราโชคดีมากๆ
เพราะท่านเจ้าอาวาส ได้บอกให้พวกเราทุกคนค่อยเข้าแถวเดินวนไปด้านหลังพระพุทธรูปปางสารนาถ

พวกเราทุกคนโชคดีมากๆ ท่านถือพระบรมสาริกธาตุ ที่ปีละหนึ่งครั้ง
ถึงจะเอาออกมาให้คนนมัสการ
พวกเราค่อยๆคลานเข้าไป ท่านก็วางพระบรมสาริกธาตุ บนศรีษะพวกเราทุกคน
ตอนนั้นพระอาจารย์มานพบอกใครจะอธิษฐานอะไร
ก็อธิษฐาน

พวกเราทุกคนคิดว่าเป็นบุญเหลือเกิน

และหลังจากนั้นพวกเราได้กราบพระพุทธรูป และร่วมทำบุญ

ความโชคดียังไม่หมด พวกเราไปไหว้ต้นโพธิ์ลังกา
คนดูแลที่นั่นได้ให้พวกเราเข้าไปกราบต้นโพธิ์ และมีใบโพธิ์
ที่หล่นลงมามากมายที่เค้าได้กวาดไว้ตรงต้นโพธิ์
เค้าได้มอบให้อาจารย์มานพแจกพวกเราทุกคนคนละหลายใบ

พวกเราจึงได้ใบโพธิ์ มาบูชาที่บ้าน

และถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับพระอาจารย์ ด้านหน้าต้นโพธิ์


และก็พากันเดินกลับวัด ก่อนกลับเราแวะไปเอารองเท้าที่ฝาก
ควักเงินออกมาจ่าย กลับมาที่วัดนับเงิน เงินหายไปสามร้อย คงตกตอนที่ควักออกมา เพราะตอนนั้นยังเห็นมีอยู่

คืนนั้นพวกเราแอบแวบออกไปชอปปิ้งกัน มีรถจากร้านขายผ้ามารับ
พวกเราไปกันสิบกว่าคน หมดไปคนละหลายพัน

ส่วนเราหมดไปสี่ร้อย น้อยกว่าเพื่อน

กว่าจะกลับไปถึงวัดก็ปาเข้าไปห้าทุ่มแล้ว
ดีที่ประตูวัดยังเปิดรอพวกเรา

และวันรุ่งขึ้นพวกเราจะไปกันต่อที่กุสินารา

ไว้จะมาเล่าต่อนะค่ะ เขียนคำผิดหรือเล่าผิดไปต้องขออภัยด้วย




 

Create Date : 23 มกราคม 2549
10 comments
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2549 12:49:24 น.
Counter : 5132 Pageviews.

 

มาตามชมต่อค่ะ ชอบภาพแม่น้ำคงคายามเช้า แล้วก็ภาพเผาศพค่ะ ได้เห็นวถีชีวิตชาวอินเดียจริงๆ

 

โดย: jeab&michelle 24 มกราคม 2549 17:46:36 น.  

 

มาชมเช่นกันครับ...ยังไม่เคยไปพาราณสี-สารนาถเลยครับ ได้ชม blog นี่แล้วต้องถือว่าเป้นบุญครับ...โชคดีมากๆเลยนะครับที่ได้นมัสการพระบรมธาตุแบบชิดเหนือศีรษะขนาดนั้น อนุโมทนาบุญด้วยคนนะครับ...

ขอบคุณมากๆครับ

 

โดย: หนุ่มเมืองกรุง IP: 58.8.128.21 24 มกราคม 2549 22:53:16 น.  

 

ขออนุโมทนาบุญกับคุณอุ๋ยด้วยนะคะ
นี่เรารู้สึกเหมือนไปไหว้พระมากับคุณอุ๋ยเลยนะคะ สาธุ...ค่ะ
ภาพแม่น้ำคงคาสวยจับใจเลยค่ะ
คุณอุ๋ยเล่าได้ละเอียดและได้ไปมากกว่าการเดินทางแบบที่เราไปกันปกติ อ่านแล้วประทับใจจริงๆค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ
ปล. ดีใจที่คุณอุ๋ยดีขึ้นแล้วค่ะ พักผ่อนเยอะๆนะค๊า

 

โดย: จันทร์สวย 25 มกราคม 2549 12:23:20 น.  

 

สวัสดีครับ มาเยี่ยมแบบกระปิดกระปอย

 

โดย: เงือกลม 25 มกราคม 2549 15:59:48 น.  

 

อนุโมทนาด้วยคนนะค่ะคุณอุ๋ย อ่านบล็อกนี้แล้วเหมือน
ได้ไปทำบุญด้วยจังเลยค่ะ ...

อ่านตอนถ่ายทุกข์ถ่ายเบาเข้าใจเหมือนกันค่ะว่าไม่ใช่จะ
อยู่ๆ ทำได้ เพราะเราไม่เคยแต่พอถ้าต้องเจอเหตุการณ์
แบบนี้ที่ไม่มีห้องน้ำอะไรก็ต้องทำให้ได้นะค่ะ ถือว่าเป็น
การเดินทางที่ได้ประสบการณ์จริงๆ

 

โดย: JewNid 31 มกราคม 2549 18:12:18 น.  

 

อยากไปที่สุด ไว้จะปรึกษาพี่เรื่องการไปอินเดียนะคะ

 

โดย: โสมรัศมี 31 มกราคม 2549 18:47:01 น.  

 



กวางดูน่ารักมากครับ

 

โดย: แฮม IP: 125.27.130.137 27 มกราคม 2550 15:27:22 น.  

 

อ่านแล้วขนลุกเลยค่ะ ตอนที่พระเจ้าอาวาสเอาพระบรมสารีริกธาตุวางบนหัวทุกคนประทับใจจริง คณะที่ไปถือว่าเป็นบุญจริงๆนะคะเหมือนได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่อ่านเรื่องทัวร์มาไม่เคยประทับใจที่ไหนเหมือนที่คุณอุ๋ยเขียนเล่ามา เหมือนไปด้วยตัวเองอิ่มด้วยศัทธาขอบคุณนะคะที่เขียนเรื่องดีๆมาเล่ากันฟัง

 

โดย: เลลานี IP: 207.200.116.195 14 กุมภาพันธ์ 2550 10:27:31 น.  

 

อยากได้ที่อยู่สิทธารถวิหารจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ หรือ อีเมลทีสามรถติดพระนักศึกษาที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยพาราณสี ไม่ทราบคุณกานต์รวี พอจะมีให้ไหมครับ ถ้ามีกรุณาส่งมาที่ tanapol@sskru.ac.th จักขอบคุณยิ่ง

 

โดย: ธนพล IP: 202.29.57.3 28 มีนาคม 2550 20:54:19 น.  

 

สนุกดี อยากไปเที่ยวม่าง

 

โดย: job IP: 210.213.20.58 23 พฤศจิกายน 2550 11:48:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


อยู่ไกลบ้าน
Location :
agra India

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







ชีวิตคือการเดินทาง ...................................

ข้อความและรูปภาพ

ขอสงวน ห้ามนำไปเผยแพร่



Friends' blogs
[Add อยู่ไกลบ้าน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.