Noise219@Melbourne
วิศวะ ฮาแฮ ตอนที่ 2 : เมื่อคนขี้เกียจอย่างฉัน ต้องอ่านหนังสือสอบ (ต่อ)

นี่เป็นรูปของ Victoria Habour เวลามองลงไปจากชั้น 7 ของออฟฟิศที่เราทำงานอยู่ค่ะ

Photobucket


มาต่อกันที่เรื่องสัมภาษณ์ จากตอนที่หนึ่งนะคะ

การฝึกหน้ากระจก ทำให้เราพูดผิดมากขึ้น (เอ๊ะยังไง) และต้องเริ่มใหม่บ่อยมากขึ้น แต่นั่นคือเฉพาะในช่วงแรก ๆ เท่านั้น คงเป็นเพราะว่าเรายังหาตัวเองไม่ค่อยเจอ ว่าควรจะทำหน้า หรือแสดงท่าทางแบบไหนเวลาที่พูด บางครั้ง อาจจะตกใจเล็กน้อยกับสีหน้าของตัวเอง (เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ) แต่พอฝึกไปสักพัก จะเริ่มปรับตัวได้ และชิน

และแล้ว วันเผาจริง เอ้ย วันสอบจริง ๆ ก็มาถึง เราได้คิวสอบเป็นคนแรกของวันนั้น เราตื่นแต่เช้า แต่งตัวแบบว่า ดูดีที่สุดในชีวิต (หลังจากที่ใช้เวลาเลือกชุดมาเป็นอาทิตย์) เราใส่กางเกงผ้าสีดำรีดเรียบ ดูดี รองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำ (แบบผู้หญิง) เสื้อข้างในสีดำสนิท ทับด้วยเสื้อสูทรสีเหลืองนวลที่ดูดีมั่ก ๆ (ทั้งตัวก็ของเก่าเก็บเอามาปัดฝุ่นทั้งนั้น เนี่ยดูดีสุดแล้ว)

อย่าเพิ่งงง ว่ามาพูดเรื่องแต่งตัวทำไม ก็การสอบครั้งนี้ ไม่ใช่สอบเฉพาะส่วนที่เป็น Business process และ consultant เท่านั้น มันรวมไปถึงลักษณะการนำเสนอตัวเองต่อคนแปลกหน้า (เอ๊ย ต่อลูกค้า ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งคนแปลกหน้าและคนคุ้นเคย) ดังนั้น จึงต้องทำให้เกิดความประทับใจในบุคลิกตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ หรือที่เรียกว่า First impression

ข้างฝ่ายหัวหน้าเราก็ใช่ย่อย ใส่ชุดสูทรมาเต็มที่ หล่อซะมะมี นึก ๆ อยู่ในใจ จะแต่งมาเสริมหรือข่มตรูกันแน่วะเนี่ย

ก่อนจะเข้าห้อง หัวหน้าใหญ่เรียกไปซ้อมใหญ่อีกรอบ เพื่อความชัวร์ หัวหน้าเราก็แอบมากระซิบว่า เวลาอยู่ในห้องสอบ อย่าหันมามองเขา ถ้าไม่จำเป็น (อ้าว)

9.00AM เดินเข้าไปในห้องสอบ กรรมการสอบทั้งสามท่านนั่งกันพร้อมเพรียง เรากับหัวหน้าเดินเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับกรรมการ

ขอเสริมนิดหน่อย ที่หัวหน้าเราต้องเข้าไปด้วย เพื่อที่ว่า เวลาที่เรามีปัญหา เช่นนึกไม่ออก เหนื่อย หรือว่าเกร็ง หัวหน้าเราจะสามารถขอเวลานอกเพื่อให้เราออกมาพักได้ แต่ไม่สามารถพูดอะไรที่เป็นการช่วยเราในห้องนั้นได้ เวลาที่ใช้ในการสอบจริง ๆ คือสามชั่วโมง แต่มีไม่น้อยที่ใช้มากกว่าห้าชั่วโมง ซึ่งก็มีทั้งผ่าน และไม่ผ่าน

การสอบ เริ่มด้วยการแนะนำตัวเองของเรา ซึ่งเขาให้เวลาห้านาที พูดถึงตัวเอง ประสบการณ์ และงานที่เกี่ยวข้อง ว่าทำไม เราจึงคิดว่าเราเหมาะที่จะผ่านการสอบในครั้งนี้ เราตื่นเต้นเล็กน้อยในช่วงแรก ๆ เพราะเป็นการพูดภาษาอังกฤษยาว ๆ คนเดียวเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ก็ผ่านพ้นไปด้วยดีสำหรับห้านาทีที่แสนจะยาวนาน

ต่อด้วยการพรีเซนต์งานที่เราเคยทำมา เขาบอกว่าจะพรีเซนต์กี่โปรเจคก็ได้ ขอให้แสดงให้เขาเห็นว่าเรามีคุณสมบัติครบทุกข้อที่ตั้งไว้ เราเลือกที่จะพรีเซนต์สามโปรเจค

โปรเจคแรก แสดงให้เขาเห็นว่า เราผ่านการทำงานในกระบวนการที่ถูกต้องครบถ้วนในส่วนที่เป็น Business process บางส่วน รวมถึงประสบการณ์ในการติดต่อกับบริษัทภายนอกที่เป็น supplier หรือ 3rd party product

โปรเจคที่สอง แสดงให้เห็นว่าเรามีประสบการณ์ในการทำงานกับลูกค้าที่เอาใจยาก และทำงานร่วมกับคนจากหลากหลายที่ (อาจจะหลากหลายองค์กร หรือหลากหลายแหล่งที่มา) รวมไปถึงงานที่ทำก็เป็นงานที่เรียกได้ว่ามีความยากอยู่ในระดับสูงและกว้างขวาง หลากหลาย ( Complexity and Broadness : เขาจะมีข้อกำหนดไว้ ว่างานแบบไหน มีความยากง่ายอยู่ระดับเท่าไหร่ กว้างมากน้อยแค่ไหน)

โปรเจคที่สาม แสดงให้เขาเเห็นว่า เราเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ มีหัวคิดที่จะช่วยส่งเสริมให้บริษัทเจริญก้าวหน้า (รวมถึงขายของได้มากขึ้นด้วยนั่นแหละ) โปรเจคนี้ ยังแสดงให้เขาเห็นว่า เราผ่านการทำงานในกระบวนการที่ถูกต้องครบถ้วนในส่วนที่เป็น Business process ในส่วนที่ไม่ได้อยู่ในโปรเจคแรกอีกด้วย

ในระหว่างการพรีเซนต์ กรรมการทั้งสามท่านอาจจะมีคำถามมาถามเราด้วย หลักการพรีเซนต์อีกอย่างนึงก็คือ เราต้องคิดไว้เสมอว่า คนที่เราพรีเซนต์ให้ดู ไม่ใช่คนที่รู้เรื่องเทคนิค การพรีเซนต์จึงไม่ควรเน้นไปทางเทคนิคมากนัก เอาที่จำเป็นจริง ๆ ก็พอ เราพรีเซนต์สามโปรเจคแบบรวดเดียวจบ (เพิ่งมารู้ตัวว่าหัวหน้าเราก็อยู่ในห้องนั้นด้วยก็ตอนที่เสร็จแล้วนี่แหละ )

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ เราต้องวางแผนการนำเสนอมาอย่างดี ต้องยกความดีส่วนหนึ่งให้กับหัวหน้าที่ให้คำแนะนำ

10.30AM จบการพรีเซนต์ทั้งสามโปรเจค กรรมการก็ให้เราออกมานอกห้อง เพื่อที่เขาจะได้ปรึกษากัน ก่อนที่จะเรียกเข้าไปสอบในช่วงที่สอง คือการถามตอบ

เดินออกมาจากห้อง หัวหน้าพูดว่า "โอ๊ะ เธอทำได้ดีกว่าที่ฉันคิดมากเลยนะเนี่ย ตอนซ้อมไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย"

11.00AM เราถูกเรียกเข้าไปสอบในช่วงที่สองอีกครั้งนึง คราวนี้เป็นการถามตอบในหัวข้อต่าง ๆ นัยย์ว่าเป็นการย้ำให้เกิดความแน่ใจ ว่าคุณสมบัติของเราครบหรือไม่

11.40AM จบการถามตอบ กรรมการให้เราออกมารอฟังผลในอีกครึ่งชั่วโมงถัดไป อาจจะเป็นช่วงที่ตื่นเต้นที่สุดก็ว่าได้

ช่วงนี้แหละ เราเดินไปเจอหัวหน้าใหญ่ เราก็ฟอร์ม ร้องให้กระซิกๆ แต่ไม่มีน้ำตาซักเม็ด หัวหน้าใหญ่ถามว่าร้องทำไม เราก็เลยบอกว่า "เสียใจ ที่โดนหัวหน้าว่า เพราะไม่คิดว่าเราจะทำได้ดีขนาดนี้ ตอนซ้อมห่วยมาก (คือเราเล่นคำนิดหน่อย) "

หัวหน้าเราก็เลยต้องรีบปฎิเสธพันลวัน ว่า ไม่ใช่แบบน๊านนนนนนนน เรากะหัวหน้าใหญ่หัวเราะก๊ากกกก

12.15PM เราถูกเรียกตัวเข้าไปอีกครั้ง หัวหน้ากรรมการประกาศผลสอบ แล้วก็มอบเกียรติบัตรให้ ตอนนั้นเราก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเกิดอาการช็อคเล็ก ๆ มารู้ตัวอีกที ก็ตอนที่เดินกลับมาถึงโต๊ะทำงานแล้วนี่แหละ คนโน้นก็เดินมากอด คนนี้ก็เดินมากอด กอดจนฉันจะท้องแล้วนะเนี่ย ฮ่วย

สิ่งนึง ที่เราประทับใจกับการสอบครั้งนี้คือ การที่เพื่อน ๆ ร่วมชะตากรรมมานั่งคอยลุ้นให้กำลังเพื่อน ๆ ทุกคนสอบผ่านไปได้นี่แหละ

เสียดาย ที่มีเพื่อนคนนึง ไม่ผ่านการสอบเป็น senoir แต่ก็ยังได้ experience มาปลอบใจ (มีสอบ senoir ทั้งหมด 3 คน experience 6 คน สุดท้ายก็คือ ได้ senoir ทั้งหมด 2 คน experience 7 คน)


ปิดท้าย เมื่อผลสอบผ่านไปด้วยดี ก็มีการฉลองตามมาอีกมากมาย เอวัง

Photobucket



Create Date : 03 มิถุนายน 2551
Last Update : 22 มิถุนายน 2551 1:54:52 น. 0 comments
Counter : 326 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

NoiseN
Location :
Melbourne Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Noise219 นะคะเพื่อน ๆ มาในบล็อกใหม่เพราะของเดิมโดนไวรัสค่ะ

ขอบคุณป้ามด คุณ N_BEE810 และคุณเนยสีฟ้า สำหรับของแต่งบล็อกสวย ๆ นะคะ

^-^ ^_^ ^_^ ^_^

I love Melbourne Long Live the King
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
3 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add NoiseN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.