Noise219@Melbourne
ญี่ปุ่น ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง อย่าไปเชื่อคำที่เขาบอกมา

ขอเริ่มประเดิมด้วยเรื่องนี้ก็แล้วกันค่ะ สำหรับการกู้ข้อมูลในบล็อกที่หายไป

ตั้งแต่ที่ประเทศไทยมีทีวีขาวดำให้ดู ก็พอจะได้มีโอกาสแอบ ๆ ดูข่าวของประเทศญี่ปุ่นจากโทรทัศน์ของคนข้างบ้านบ้าง ที่ได้เห็นในตอนนั้นก็จะเข้าใจว่าสาว ๆ ญี่ปุ่นก็จะเดิน ดิ๊กด็อกๆ เหมือนเด็กที่ปวดฉี่แล้วฉี่ไม่ได้เพราะอายชาวบ้าน โตขึ้นมาหน่อย ก็ได้ดูหนังโกโบริ โอ้วแม่เจ้า คนญี่ปุ่นนี่หล่อโค ร ต แต่ก็โหด ฉิบ หาย

เรียนจบมาทำงาน เพื่อนหลายคนก็ไปเรียนต่อญี่ปุ่น ส่วนเรา บ่มีจี๊ ก็ต้องทำงานงกๆๆ แล้วก็ใช้วิชามารออดอ้อน เอ๊ย ขอร้องให้บริษัทจ่ายตังค์ค่าเรียน ป.โทให้ แฮ่ๆๆๆ

พอจะลืมตาอ้าปากกะเขาได้บ้าง (เริ่มจะรวย) ก็โชคดีได้มาทำงานที่ออสฯ อีก เฮ้อ แต่ไม่เคยมาเหยียบญี่ปุ่นกะเค้าสักที ทั้ง ๆ ที่โอกาสมาจ่อๆๆๆ รออยู่มานานโขแล้ว แต่เราก็ยังไม่เคยคิดว่าอยากจะมา ฮ่าๆๆ (โง่อีกแล้วตรู)

สาเหตุที่เราหลบเลี่ยง และไม่เคยคิดจะมาญี่ปุ่นตั้งแต่แรก ทั้ง ๆ ที่เป็นประเทศที่มีงานติดตั้งระบบที่เราทำอยู่มากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชียแปซิฟิก และเป็นประเทศที่บริษัทเรายอมควักกระเป๋าจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงทำงานให้สูงมาก ๆ ก็เพราะความฝังใจที่มีมาตั้งแต่เด็ก

ไม่รู้มีใครเคยได้ดูหนังเรื่อง โอชิน หรือเปล่า หนังเรื่องนั้น สร้างภาพลบ (ในใจเรา) ให้กับผู้ชายญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ดูไป ก็คิดไปว่าโอ้โห ชีวิตคนเรา อะไรมันจะบัด ซ บ บวกรันทด ได้ขนาดนั้น ยิ่งได้อ่านประวัติศาสตร์ชาติไทย สมัยสงครามโลกแล้วนะ เคยอินถึงขนาดว่า ชาตินี้ ตรูจะไม่ทำงานให้คนญี่ปุ่นเลย คอยดู (เหอะๆๆๆๆ)

ยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่บริษัท Local ที่ญี่ปุ่นจะขอให้มาทำงาน เขามักจะขอเรซูเม่ของคนที่จะไปซะก่อน นั่นคืออีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้เราไม่อยากไปญี่ปุ่น ทุกครั้งที่หัวหน้ามาถามเราว่าจะไปญี่ปุ่นไหม เราก็จะบอกว่า ไปหาคนอื่นก่อนแล้วกัน ถ้าไม่มีใครไปจริง เราถึงจะไป แต่ก็ด้วยเบี้ยเลี้ยงมหาศาล และชื่อเสียงอันกระฉ่อนของมหานครโตเกียว เพื่อน ๆ เราก็อยากจะไปกันทั้งนั้น ถึงป่านนั้น เราก็ยังยึดมั่น และเด็ดเดี่ยวกับความคิดของตัวเองอยู่ ว่าตรูไม่อยากทำงานให้คนญี่ปุ่นเว้ย

แต่ก็อย่างว่า เกลียดอะไรก็ได้เจออย่างนั้น สุดท้าย ท้ายสุดเราก็ต้องมาญี่ปุ่น

เหตุมันเกิด ตอนที่เรามาพักร้อนที่เมืองไทย อยู่ดี ๆ หัวหน้าก็ส่งเมจเสจมาให้ติดต่อกลับด่วน อยากจะคุยด้วย เราก็อุตส่าห์ดีใจ ว่าหัวหน้าคงจะทนคิดถึงไม่ไหว ที่ไหนได้ อารมณ์ค้างเลย

เขาบอกว่ากำลังหาคนไปทำงานแทนเพื่อนอีกคนนึง ที่จำเป็นจะต้องกลับด้วยเหตุผลส่วนตัว (เกี่ยวกับครอบครัว) แต่คนที่อยู่ที่ออฟฟิศในตอนนี้ ไม่มีใครรู้ระบบที่เรียกว่า HA (High Availability) ที่กำลังติดตั้งอยู่ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้เลย เราได้ฟังก็ยังอึ้ง ๆ อยู่ ใจนึง ก็อยากช่วย แต่ใจนึงก็ขี้เกียจเขียนเรซูเม่ และก็ไม่อยากไปญี่ปุ่นด้วย หัวหน้าก็เหมือนจะรู้ใจ เลยบอกว่า

"ไม่ต้องเขียนเรซูเม่แล้ว"
"อ้าว ทำไมรึ" เราถาม
"ถ้าเขาไม่เอายู ไอจะส่งทุนเดไป" หัวหน้าเราบอก

ปล. ทุนเด ในที่นี้เป็นเพื่อนที่แผนกเราคนหนึ่ง ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นคนเรื่องมากที่สุด และอาจจะได้ชื่อว่าทำงานแย่ที่สุดในแผนกแล้วก็ว่าได้

หัวหน้าเห็นว่าเรายังอึ้งอยู่ ก็เลยบอกว่า

"ไอให้เวลาคิดสองชั่วโมง เดี๋ยวจะโทรมาใหม่นะ"

ว่าแล้วก็วางหูไป

พอหัวหน้าวางสายไป เราก็กดโทรศัพท์หาเพื่อนซี้ คนนี้ จะว่าเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากก็ได้ เอาเป็นว่า มีอะไรก็จะคุยกะเพื่อนคนนี้แหละ

"เฮ้ย ไอ้เก่ง หัวหน้าชั้นจะให้ไปญี่ปุ่นว่ะ ไม่อยากไปเลย เกลียดมัน" เราว่า

เพื่อนเราก็อึ้งไปนิดนึงก่อนจะตอบว่า

"แกน่ะ มันบ้า ทีไอ้ประเทศกันดาร ๆ อย่าง บังคลาเทศ เขมรงี้ ชั้นไม่เห็นแกเคยบ่นซะที จนชั้นน่ะนึกว่าแกทำงานให้ยูเอ็นแล้วนะเนี่ย" มันว่า

จำเริญๆ เถอะเพื่อนยาก โทรมาระบายเว้ย ไม่ได้โทรมาให้แกด่า ปั๊ดโธ่!!!

"ก็ชั้นไม่อยากไปญี่ปุ่นนี่หว่า แกนี่ ไม่เข้าใจหัวอกวัยรุ่นอย่างชั้นซะเลย" น๊าน ด่าเพื่อนกลับซะอีก หุๆๆๆ
"ไอ้บ้า หัวอกเหี่ยว ๆ น่ะดิ" มันว่าแล้วก็เงียบไปแป๊บนึง ก่อนจะบอกว่า
"เออ...เดือนเมษา ดอกซากุระบานนี่หว่า"

ได้ฟังแค่นั้นก็หูผึ่งขึ้นมาทันที อย่างว่าแหละ สาวงามอย่างเรา เรื่องดอกไม้นี่ ขอให้บอก ถึงไหนถึงกัน ลำบากแค่ไหนก็จะดั้นด้นไปดูให้ได้

"จริงป่ะ เออๆๆๆ ดีเลย งั้นไม่เป็นไรแระ เดี๋ยวชั้นยอมเสียสละ ไปญี่ปุ่นก็ได้ว่ะ ขอบใจเว้ยเพื่อน" ว่าแล้วก็วางหูจากเพื่อนรักไป แล้วรีบโทรบอกหัวหน้าว่าโอเค :)

พอวันที่ 24 มีนาคม 2550 เราก็ได้มาโอ้หลั่นล้าที่ญี่ปุ่น อิอิอิ กำหนดการทำงานก็คือ เก้าอาทิตย์ ด้วยเหตุที่ใคร ๆ ก็บอกว่า มาญี่ปุ่น ไม่จำเป็นอย่าขึ้นแทกซี่ เพราะนอกจะกระเป๋าจะฉีกแล้ว อาจจะมีปัญหาตอนไปขอเบิกเงินคืนได้ เราก็เลยมาด้วยกระเป๋าในน้อยของเรา น้ำหนักก็ประมาณสิบกิโลกรัม แถมด้วยกระเป๋าโนตบุ๊คอีกใบ

แต่ด้วยความที่เข้าใจผิดตั้งแต่แรก ว่างานที่จะทำส่วนใหญ่อยู่โยโกฮาม่า เราก็เลยจองที่พักไว้ที่นั่น มารู้ตัวอีกทีว่าโดนโดดเดี่ยว ก็สายไปซะแล้ว

เรามาถึงสนามบินนาริตะตอนเย็นวันที่ 24 ก็ไปซื้อตั๋วรถบัสไปโยโกฮาม่าราคา 6,300 Yen เราไปนั่งตรงแถวเกือบ ๆ จะสุดท้าย โดยมีคนอื่น ๆ นั่งอยู่แถวหน้าเกือบเต็มแล้ว แต่ที่สะดุดใจเรามากที่สุด ก็คือที่นั่งตรงแถวที่อยู่ข้างหน้าเราแถวนึงนี่แหละ

ปกติ รถบัสก็จะมีที่นั่งสองฝั่ง ซ้ายขวา มีทางเดินกั้น แต่ละแถวจะมีสองที่นั่ง ซึ่งคนที่นั่งหน้าเราก็เป็นชายญี่ปุ่นวัยกลางคน ส่วนอีกฝั่งนึง ก็เป็นผู้หญิงและเด็กอายุประมาณสองสามขวบนั่งด้วยกัน บนตักผู้หญิงมีข้าวของเครื่องใช้ของเด็กวางอยู่ เรานั่งมองอยู่สักพัก ก็รู้ว่าผู้ชายที่นั่งหน้าเราเป็นพ่อของเด็ก

พอคนเริ่มทะยอยขึ้นมาบนรถจนเต็ม ผู้หญิงคนนั้นก็ต้องเอาเด็กนั่งตัก แล้วเอาของทุกอย่างที่วางอยู่บนตักวางข้างล่าง ตอนที่รถออกจากสนามบินมุ่งหน้าไปโยโกฮาม่า เราก็เลิกสนใจคนครอบครัวนี้ (อ้าว..แล้วพูดมาซะยาวทำไมหละเนี่ย แฮ่ๆๆๆ ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็รู้) หันมาอีกที หนูน้อยก็หลับไปแล้ว

ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง รถบัสก็มาถึงโยโกฮาม่า แต่เราไม่รู้ว่าควรจะลงที่ป้ายไหน เพราะบนรถมีประกาศเป็นภาษาอังกฤษแค่รอบเดียว คือตอนที่เราขึ้นมา แล้วบังเอิญว่ายังไม่ได้ตั้งใจฟัง เราก็เลยต้องถามคนที่นั่งข้าง ๆ ซึ่งก็นับเป็นความโชคดีอย่างนึง ที่คนที่นั่งด้วยกัน พูดภาษาอังกฤษได้

"ขอโทษค่ะ รถคันนี้จะไปจอดที่โรงแรม....(บอกชื่อโรงแรม) ไหมคะ"
"น่าจะจอดนะคะ"
"ขอบคุณค่ะ"

แล้วเราก็มานั่งลุ้นต่อว่า จะลงป้ายไหนดี แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ป้ายแรกอย่างแน่นอน

พอรถมาจอดที่ป้ายแรกของเมืองโยโกฮาม่า คนเกือบทั้งรถ ก็ลงจากรถไป รวมทั้งผู้หญิงที่นั่งข้างเราด้วย ตอนนี้เองที่เราหันกลับมาสนใจครอบครัว ๆ นั้นอีกครั้ง เราเห็นผู้ชายคนนั้นเดินลงไปจากรถตัวเปล่า ส่วนผู้หญิงก็อุ้มลูกแล้วก็หอบสัมภาระปุเรง ๆ ตามลงไป โอ้..เจอโอชินตั้งแต่วันแรกเลยเหรอเนี่ย !!!

เรามัวแต่สนใจครอบครัวนี้ จนลืมเรื่องของตัวเอง พอรถใกล้จะออก ก็เห็นผู้หญิงที่นั่งข้างเราวิ่งกลับขึ้นรถมา แล้วบอกเราว่า

"เมื่อกี้ไปถามที่สถานีมา โรงแรมที่คุณจะไป เป็นป้ายสุดท้ายค่ะ อีกสองป้ายนับจากนี้" เธอบอกแล้วก็รีบวิ่งลงรถไป เราก็งง ๆ แต่ก็ทันที่จะได้บอกขอบคุณเธอคนนั้น

โห..มีน้ำใจสุดๆ ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลย ว่าจะเจอแบบนี้ตั้งแต่วันแรก

วันรุ่งขึ้น เราก็ไปเดินชมบริเวณใกล้ ๆ ที่พัก ทำนองว่าจะดูลู่ทางนั่นเอง จะว่าไปแล้ว โยโกฮามาก็เหมือนเมืองทั่ว ๆ ไปในเอเชียคือมีตึกสูง ๆ เต็มไปหมด มองไปทางไหนก็มีแต่สิ่งก่อสร้างใหญ่โต แต่ที่ญี่ปุ่นมีแตกต่างจากที่อื่นก็เห็นจะเป็นเรื่องของการออกแบบตึกนี่แหละ ที่นี่มีตึกที่ออกแบบไว้อย่างสวยงามเต็มไปหมด แต่ในความรู้สึกของคนที่เกิดและโตที่บ้านนอกอย่างเรา เราไม่ชอบเมืองที่มีตึกสูง ๆ เลย แล้วนี่ฉันจะอยู่ได้ยังไงหว่า ตั้งสองเดือน

ยังไม่ทันได้ไปไหนไกล เพื่อนก็โทรมา ก็ไม่ใช่ใครอื่น คือสมิดกะพอลโล่นั่นเอง ตอนที่เขาโทรมานี่แหละ ถึงได้รู้ว่ามีเราหลงมาพักอยู่โยโกฮามาคนเดียว คนอื่น ๆ เค้าพักอยู่ที่โตเกียวกันหมดเลย

เรื่องของเรื่องก็คือ ออฟฟิศของบริษัทที่เราทำงานอยู่ที่โยโกฮามา แต่งานที่ทำ หลัก ๆ แล้วจะต้องไปทำที่ไซด์ลูกค้าที่อยู่ที่โตเกียว เพื่อนสองคนนี้ก็ช่างแสนดี เห็นว่าเราเพิ่งมาเหนื่อย ๆ ก็เลยจะพาไปกินข้าว พาไปชมเมือง แต่อะไรก็ไม่อะไรหรอก เค้าให้เรานั่งรถไฟไปโตเกียวเองนี่แหละ ฮึ่ม.. แล้วตรูจะหลงมั๊ยหละเนี่ย

เมื่อมาถึงแล้ว เอาไงก็เอากันวะ ปากก็มี เงินก็มีอยู่นิดหน่อย คงไม่มาอดตายอยู่ญี่ปุ่นนี้หละมั้ง ก็เลยยอมนั่งรถไฟไปโตเกียวเพื่อไปกินโดยเฉพาะ อิอิอิ

ระบบขนส่งมวลชนที่นี่ก็ดีมากพอสมควร แต่อาจจะงง และสับสนนิดหน่อย เพราะป้ายบอกทางและบอกข้อมูลส่วนใหญ่ก็จะเป็นภาษาญี่ปุ่น โดยจะมีภาษาอังกฤษตัวเล็ก ๆ แอบอยู่ข้าง ๆ

เวลาที่เราจะทำอะไรที่เราไม่คุ้นเคย หรือเมื่อต้องทำเป็นครั้งแรก ก็ไม่วายจะรู้สึกตื่นเต้น และกลัวนิด ๆ แต่วันนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะความมีน้ำใจของคนญี่ปุ่น ซึ่งแม้ว่าจะพูดภาษาอังกฤษกันได้ไม่ดีนัก แต่ก็พยายามที่จะช่วยเต็มที่

ที่เราสังเกตเห็นในวันแรกของการนั่งรถไฟที่นี่เลยก็คือ คนที่นี่จะยืนต่อคิวรออยู่ ไม่ว่าคิวจะสั้นหรือจะยาว เขาก็จะต่อคิว แต่พอประตูเปิดและผู้โดยสารที่จะลงจากรถลงหมดเท่านั้นแหละ คนที่ยืนต่อคิวอยู่ แทบจะรีบวิ่งเข้าไปในรถ แล้วแย่งกันนั่ง ยังกะเล่นเก้าอี้ดนตรีเลยก็ว่าได้ งานนี้ไม่มีเพศไม่มีวัยค่ะ ใครถึงก่อน ได้ก่อน และที่เรารู้สึกว่าแปลกไปกว่านั้นก็คือ คนที่รีบวิ่งไปนั่งก่อนนั้น บางที ก็ไปแค่สถานีเดียวเท่านั้น เออ..ไม่รู้จะไปนั่งให้เสียเวลาทำไมหละเนี่ย

พอนั่งเสร็จ ก็จะมีอยู่แค่สองสามกิจกรรม คือ หลับ เล่นเกมส์ หรืออ่านหนังสือ(ส่วนน้อย) เราเลยอนุมานเอา ว่าคนญี่ปุ่น คงจะใช้เวลาเกือบทั้งหมดอยู่กับกิจกรรมของตัวเอง ถ้าไม่จำเป็น คงจะไม่เสวนากับคนอื่นเท่าไหร่

เกมส์ที่เล่น ส่วนใหญ่ก็เป็นเกมส์บนมือถือ และมือถือที่ใช้ เกือบทั้งหมด ก็จะเป็นแบบฝาพับปิดเปิด น้อยครั้ง ที่จะเห็นมือถือแบบอื่นๆ

ไม่ว่าจะผู้หญิง ผู้ชาย มือถือของ(แทบจะทุกคน)จะมีตุ๊กตุ่นตุ๊กตาห้อยกรุ๊งกริ๊ง ๆ อยู่ (เค้าเรียกอะไรอ่ะ ไม่เคยใช้) และไม่ได้ห้อยกันแค่อันสองอันด้วย บางคนห้อยเยอะมาก ๆ เกินห้าอันอ่ะ แม่เจ้า ร้านขายของพวกนี้ รวยเละแหงๆ

วันแรก ๆ ของการทำงาน เราก็เข้าออฟฟิศที่โยโกฮามา เพราะยังมีงานที่ต้องทำที่นี่บางส่วนให้เสร็จ หลังจากนั้นก็ต้องไปโตเกียวทุกวัน ด้วยความขยันและความฉลาดของเรา วันแรกที่จะต้องไปทำงานที่ออฟฟิศที่โตเกียวก็ไปถึงเกือบเที่ยง ตบท้ายด้วย จ่ายค่ารถไฟไปเกือบพันห้าร้อยเยน (ประมาณสี่ร้อยกว่าบาท) ฮ่ะๆๆๆๆ

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกซากุระบาน เดินไปทางไหน ก็มีแต่ต้นซากุระที่เขาปลูกไว้สองข้างทางที่พร้อมใจกันออกดอกชูช่อล่อใจสาวงามอย่างเราเต็มไปหมด เอ้อ..ค่อยมีอะไรน่าสนใจ พอที่จะให้อยู่ได้นานหน่อย หุๆๆๆ

ไหน ๆ ก็พูดเรื่องต่อคิวแล้ว ก็เอาให้รู้กันไปเลยว่าคนญี่ปุ่นนี่ ทำอะไรก็ต้องเข้าคิวกันกันทั้งนั้น

เพื่อนที่ชื่อพอลโล่บอกเราว่า คนที่นี่ ไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อที่จะต้องต่อคิว ไม่ว่าจะเรื่องเดินทาง เรื่องกิน เข้าห้องน้ำ หรืออะไรอีกร้อยแปด คงจะเป็นเพราะที่นี่ มีคนมากกว่าทรัพยากรนั่นเอง

มีอยู่วันนึง เราต้องการจะแลกเงินเยนที่เคาเตอร์ของโรงแรม เราเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ว่างอยู่ ก็เลยเดินเข้าไปบอกจะแลกเงิน เขาก็บอกว่า

"ขอโทษครับ ช่วยไปยืนรอที่คิวด้วยครับ"

ตอนแรกเราก็ตกใจว่า ตายแล้ว นี่เราตาถั่วมองไม่เห็นว่าเขาเข้าคิวเหรอเนี่ย อายจัง

แต่พอมองไปตามที่เขาชี้ให้เราไปรอที่คิว ก็ก็งงเป็นไก่ตาแตก ตรูคงจะตาบอดหรือไม่คนที่ยืนอยู่มันคงจะล่องหนได้อ่ะ ไม่เห็นมีใครสักคน แต่เราก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เดินต้อย ๆ ไปยืนรอตรงนั้น

พอไปถึง ก็เห็นพนักงานคนเดิมพยักหน้า

"เชิญครับ"

อ้าว ไอ้เวง แล้วจะให้ตรูเดินมาให้เสียเวลาทำไมฟ่ะ ฮ่วย

จะว่าเป็นระเบียบเรียบร้อยมีแบบแผน มีวินัยก็ใช่ จะว่าคนญี่ปุ่นตึงไป ก็ใช่อีกนั่นแหละ วันนึง เรานั่งรถไฟจากสถานีต้นทางที่โยโกฮาม่าจะไปโตเกียว ตอนที่เราขึ้น ยังมีที่นั่งเยอะ แต่พอผ่านไปอีกป้ายนึง คนก็ขึ้นมาเต็มรถ คนที่ขึ้นทีหลังก็ต้องยืนไป ตรงที่เรานั่ง ก็มีผู้ชายคนนึงยืนอยู่ แต่ถัดไปไม่ไกล ก็มีเด็กหกเจ็ดขวบยืนอยู่กับผู้ปกครอง ดูจากท่าทางเด็กแล้ว แกอยากจะนั่งเต็มแก่ อาจจะเดินมาจนเมื่อย

ไอ้ครั้นจะลุกขึ้นแล้วเดินไปบอกให้เด็กมานั่ง ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นคงจะนั่งอย่างไม่ต้องสงสัย เราก็เลยแสดงท่าทางเพื่อบอกกับเด็กและผู้ปกครองว่า เรายินดีลุกให้นั่งนะ ถ้าเขาต้องการ เด็กแสดงอาการดีใจและทำท่าจะเดินมานั่ง แต่ผู้ปกครองดึงไว้ พร้อมกับบอกขอบคุณเรา ก่อนที่จะหันไปคุยอะไรกับเด็กเราก็ไม่รู้ เด็กคนนี้แกก็งอแงนิดหน่อย แต่ก็ยอมยืนอยู่ตรงนั้น

ว่ากันว่า ระบบรถไฟของที่นี่ ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ก็คงจะจริง

เริ่มกันตั้งแต่เครื่องขายตั๋ว มีตั๋วมากมาย หลายอย่างให้เลือกซื้อเลือกหา (ประหนึ่งว่าจะเลือกซื้อของเลย ว่างั้น อิอิอิ) เสียอย่างเดียว มีแต่ภาษาญี่ปุ่นซะเป็นส่วนใหญ่ มีทั้งตั๋วเที่ยวเดียว ตั๋วไปกลับ ตั๋วแบบจ่ายก่อนผ่อนที่หลัง (Prepaid)

แถมตั๋วเบบ Prepaid นี้ มีชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร ของคนซื้อให้ด้วย โดยสามารถระบุรายละเอียดได้เองตอนที่ซื้อจากเครื่อง อันนี้มีประโยชน์มาก เพราะถ้าตั๋วหาย โอกาสได้คืนมีสูง เพราะคนญี่ปุ่น เป็นอีกชาตินึงที่ได้ชื่อว่ามีความซื่อสัตย์มาก

ทุกสถานี มีห้องน้ำไว้บริการ ห้องน้ำก็ทันสมัยใช้ได้ (ไว้จะพูดถึงเรื่องห้องน้ำอีกที) เรียกว่า ปวดที่ไหน ก็แวะเข้าห้องน้ำแล้วค่อยไปต่อ อันนี้เป็นอะไรที่เห็นแล้ว ทำให้เราอดนึกตำหนิรัฐบาลไทยไม่ได้ ที่สร้างรถไฟฟ้าที่ทันสมัยโค ร ต ๆ แต่ไม่มีห้องน้ำให้เข้าเลย เซ็งเป็ดเจง ๆ

มาว่ากันต่อดีกว่า ออกนอกเรื่องมากไปกว่านี้เดี๋ยวจะโดนยึดอมยิ้ม แฮ่ๆๆๆ

ต่อด้วยรถไฟที่ให้บริการระหว่างเมือง มีทั้งแบบหวานเย็น (Local) แบบเหมือนจะด่วน (Express) แบบก็ด่วนแหละ (Commuter Express) และแบบด่วน (Limited Express)

ใครจะไปที่ไหน ชอบแบบไหนก็เลือกซื้อเลือกหาเอ๊ย เลือกขึ้นกันได้ เพราะเขาจะมีตารางบอกอยู่แล้วว่ารถแบบไหน วิ่งไปจอดที่สถานีอะไร

ตามสถานีรถไฟ และที่อื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป จะมีตู้ให้กดเครื่องดื่มและขนม มีทั้งชา กาแฟ (ซึ่งก็มีทั้งร้อนและเย็น แบบกระป๋อง และเป็นถ้วย) น้ำผลไม้ น้ำอัดลม น้ำเปล่า ฯลฯ เลือกกดเลือกซื้อได้ตามใจ ไม่ต้องห่วงเรื่องราคา เพราะว่าเท่ากันหมดทุกที่ แถมราคาก็ไม่ได้ต่างจากเวลาที่เราไปซื้อจากร้านค้าด้วย

มาถึงญี่ปุ่นแล้ว ถ้าไม่ลองนั่งรถไฟในชั่วโมงเร่งด่วนนี่ คงจะไม่ครบรสซะเท่าไหร่ ความรู้สึกเป็นแบบไหน ก็ลองนึกถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์บ้านเรา เวลาที่คนเกือบทั้งเมืองอยากจะกลับบ้าน แล้วก็ต้องกลับให้ได้ ก็เป็นแบบนั้นแหละค่ะ ดีขึ้นมาหน่อย ก็ตรงที่ไม่ต้องมาห้อยโหนเป็นทาซานเหมือนรถไฟที่บ้านเรา

แต่ข้างในรถไฟนี่ หึๆๆๆ ไม่ต้องมีคำบรรยายใด ๆ ค่ะ แน่นยิ่งกว่าปลากระป๋องที่เขาอัดมันเข้าไปซะอีก

แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องแข็งแรงหน่อยนะคะ ไม่งั้นก็อาจจะเป็นลมเป็นแล้งไปได้ ถ้าไม่อยากลอง และมีเวลา ต้องลองไปยืนดูเวลาที่เขาจะขึ้นรถไฟค่ะ โอ้ มันส์ไม่แพ้กัน เรายืนรอรถอยู่ กะว่าจะขึ้นกะเค้าด้วย แต่เห็นว่ามันแน่นแล้ว เราก็เลยถอยออกมา แต่ปรากฎว่า คนที่ยืนต่อคิวอยู่หลังเราอ่ะ เค้าก็อัดๆๆ เข้าไปได้อีกหลายคนน่ะค่ะ พอประตูปิด คนที่อยู่นอกสุด หน้าก็แนบกระจกเหมือนจิ้งจกตากแห้งเลยอ่า

นี่ถ้าใครเผลอตดมาซะคนนี่ คงจะได้ตายหมู่กันทั้งโบกี้แหง ๆ เอิ๊กๆๆๆ

แต่สาว ๆ แส้ ๆ ไม่ต้องกังวลมากไปนะคะ เพราะในช่วงชั่วโมงเร่งด่วยทั้งตอนเช้าและตอนเย็น เขาจะจัดโบกี้พิเศษไว้ให้ สำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะค่ะ จะมีสัญลักษณ์บอกที่ชาลชลา และก็ในรถไฟด้วยค่ะ ตู้นี้ พิเศษเฉพาะสำหรับคุณผู้หญิงจริง ๆ ค่ะ (แต่ก็มีผู้ชายบางคน แกล้งโง่ หลงเข้ามาเหมือนกัน อิอิอิ)

ชั่วโมงเร่งด่วนนี่ ยังไม่นับว่าเป็นสุดยอดของประสบการณ์การขึ้นรถไฟที่โตเกียวค่ะ ต้องนี่เลยค่ะ รถไฟเที่ยวเที่ยงคืนสิบห้า เที่ยวสุดท้ายของวัน ที่บอกว่าตอนชั่วโมงเร่งด่วนนี่อัดกันเป็นปลากระป๋องแล้ว เที่ยวสุดท้ายนี่เหนือคำบรรยายใด ๆ ค่ะ เรางี้เห็นภาพตอนสมัยเป็นเด็ก ที่ดูหนังเรื่องก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ตอนที่แม่เค้าพยายามอัดข้าวเหนียวเข้าไปในก่องข้าวอันน้อยนิดนั่นเลย ต้องมาลองถึงจะรู้

คนที่ขึ้นทีหลังนี่ เค้าจะมีวิธีขึ้นไม่เหมือนที่ไหน ถ้าเห็นว่าข้างในเต็มแล้ว วิธีที่จะขึ้นได้ก็คือ หันหลังเข้า แล้วเอาเท้ายันพื้น ใช้หลังดันคนนอกสุดเข้าไป คนข้างในก็จะขยับนิดนึง คราวนี้ก็มีที่ว่างให้วางเท้าค่ะ เสร็จแล้ว ถ้ามีคนอื่น ๆ จะเข้าอีก เขาก็จะใช้วิธีเดียวกันนี้แหละเข้าไป

ว่ากันจริง ๆ แล้ว ถ้าเป็นที่ประเทศอื่น คนที่ขึ้นทีหลังแล้วใช้วิธีแบบนี้ มีสิทธิ์โดนถีบออกมา หรือไม่ก็โดนคนข้างในดันกลับออกมานอกรถได้ แต่คนที่นี่ เขาจะไม่มีใครทำอย่างนั้นเลย ดูเหมือนว่า ทุกคนจะยอมรับชะตากรรม เอ๊ย ยอมรับสภาพกันหมด


ช่วงนี้เป็นฤดูฝน อากาศที่นี่ก็เลยค่อนข้างแปรปรวน บางวันร้อนตับแตก แต่พอวันไหนฝนตก ก็หนาวจนอะไร ๆ ก็หดไปหมดเลย เฮ้อ ยิ่งสั้น ๆ อยู่

วันไหนที่ทำงาน กว่าจะเลิกงานก็สองสามทุ่มเป็นอย่างเร็ว ช่วงที่อยู่ที่โยโกฮาม่าก็ไม่เคยคิดจะซื้อร่มกันฝน เพราะขี้เกียจถือ อีกอย่าง ช่วงที่ต่อรถก็เดินออกข้างนอกแค่นิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น เลยไม่มีปัญหาอะไร

พอย้ายมาอยู่โตเกียว จากที่ต้องรีบกลับ ก็มีเวลาเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในเมือง หาอะไรอร่อย ๆ กิน พอฝนตก คราวนี้ก็เลยต้องลากเหล่าเพื่อน ๆ ผู้ชายที่ไปด้วยกันไปซื้อร่ม

เราเลือกได้ร่มอันนึง ใหญ่ และแข็งแรงพอสมควร ราคาก็ 600Yen ส่วนสมิด และเพื่อนที่ไปด้วย ซื้อร่มอันเล็ก ที่พับใส่กระเป๋าได้ มาคนละอัน แต่พูดก็พูดเถอะ เป็นผู้ชายแท้ ๆ ซื้อร่มสีหวานจ๋อยเลยอ่า

ตอนซื้อมันก็ไม่ได้กางออกดู พอจะออกมาข้างนอก แล้วเขากางร่มดูเท่านั้นแหละ เราก็ขำกลิ้ง แล้วก็บอกมันว่า

"เฮ้ย แกเหมือนเกย์มั้กๆ เลยหวะ"

สมิดก็มองเราแปลก ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองร่มตัวเอง คือถ้ามีระบายอยู่ที่ขอบ มันก็ร่มคุณนายดี ๆ นี่เองหละ

"ยืนนิ่ง ๆ เดี๋ยวจะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก" เราบอก
"เฮ้ย ไม่เอ๊า" สมิดร้อง แล้วก็รีบพับร่มเก็บใส่กระเป๋าไป

โดยทั่ว ๆ ไป ถ้าเป็นมื้อกลางวัน พวกเราก็จะไปกินข้าวกับคนโลคอล เขากินอะไร เราก็กินแบบนั้น สนน ราคา ก็อยู่ประมาณ 600-800Yen ซึ่งส่วนใหญ่ เขาก็จะกินกันอยู่ไม่กี่อย่าง เช่น เบนโต่ะ ข้าวราดแกงสาระพัด (ของญี่ปุ่น ดูภายนอกคล้ายแกงอินเดีย แต่รสชาติต่างกัน) และก็สาระพัดก๋วยเตี๋ยว คนที่นี่ (ที่เราทำงานด้วย) ไม่ชอบอาหารจีนค่ะ แถว ๆ ที่เราอยู่ ร้านอาหารจีนมีหลายร้านเหมือนกัน แต่ชวนไปกินทีไร ไม่ไปสักที

ร้านอาหารต่างชาติที่เห็นขายเยอะที่สุด (ถ้าไม่นับอาหารจีน) ก็เป็นอาหารอิตาเลี่ยนค่ะ คนญี่ปุ่นจะนิยมชมชอบอาหารอิตาเลี่ยนมากเหมือนกัน

แต่ที่ขัดอกขัดใจเรามากที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องเวลาเปิดร้านของคนที่นี่นั่นแหละค่ะ ปกติ เวลาที่เราทำงานเพลิน ๆ ก็จะกินข้าวไม่ค่อยเป็นเวลา แต่ที่นี่ ถ้าไม่กินก่อนบ่ายสอง ก็ต้องรอไปจนถึงห้าโมงเย็นน่ะค่ะ ร้านถึงจะเปิดอีกที มื้อเย็นก็จะเปิดถึงสี่ทุ่มเป็นส่วนใหญ่ แงงงงงคิดถึงเมืองไทยเว้ย

แต่ก็ใช่ว่านอกเวลานั้นจะหาอะไรกินไม่ได้เลย ก็พอหากินได้ค่ะ แต่ก็ต้องใช้ความพยายามมากหน่อย อิอิอิ

ตอนหลัง ๆ เราเลยต้องซื้อกล้วยเป็นหวี ๆ ไปตุนไว้ ทำงานไป ก็กินกล้วยไปพลาง ๆ เผื่อพลาด หาอะไรกินไม่ได้ก็กินกล้วยนี่แหละ กินจนสมิดมันว่า

"เธอนี่เป็นลิงหรือไง เห็นกินแต่กล้วยทั้งวัน"

แหม่... อิฉันก็ไม่ได้อยากจะกินสักเท่าไหร่หละค่ะ แต่ว่ามันเป็นอาหารกันตายนะ

"เฮ้ย ก็ซื้อมาไว้เผื่อ ๆ ไง (just in case)" ว่างั้น
"เผื่อบ้าอะไร ไอเห็นยูกินวันละเกือบสิบลูก"

ก่อนจะไปเรื่องกินต่อ ก็มีรูปน่าดู ๆ ที่ถ่ายที่สถานีรถไฟมาให้ชมกันเล่น ๆ ค่ะ

นี่เป็นป้ายที่บอกข้อมูลว่ารถด่วนกะหวานเย็นจอดสถานีไหนบ้าง สีแดงรถด่วน สีฟ้าหวานเย็นค่ะ อ้อ ตัวเลขที่เห็นในช่องสี่เหลี่ยมนั้น เป็นเวลาที่จะใช้นับจากสถานีต้นทางนะคะ หน่วยเป็นนาที





อ้อ ไหน ๆ ก็โชว์รูปเส้นทางรถไฟแล้ว ก็บอกข้อมูลอีกนิดค่ะ ว่ารถไฟที่นี่ (sub way) จะมีแถบสีตรงตามกับที่บอกในรูปค่ะ พอรถไฟมา ดูที่แถบสีข้างๆ รถได้เลย ไม่พลาดค่ะ ไม่ต้องกลัวมองไม่เห็นด้วยนะคะ เพราะแถบสีใหญ่มาก อิอิ

อันนี้เส้นทางรถไฟค่ะ



ต่อด้วยห้องน้ำค่ะ มีปุ่มให้กดเพียบ (แต่เราว่า หัวฉีดน้ำแบบที่บ้านเราใช้ ใช้ง่ายกว่านะคะ)



ขอปิดท้ายตอนแรกด้วยรูปของเมืองโยโกฮามานะคะ เพราะเป็นเมืองที่เราชอบมากที่สุดสำหรับทริปนี้ที่ญี่ปุ่น

ยามค่ำคืน ถ่ายจากโรงแรม Pan Pacific













ซากุระบานที่โยโกฮามา ในช่วงต้นเดือนเมษายน















พบกันใหม่ ในตอนหน้าค่ะ


Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 26 กรกฎาคม 2551 11:50:36 น. 2 comments
Counter : 739 Pageviews.

 
อยากไปถึงญี่ปุ่นเร็วๆ จังเลยค่ะ


โดย: mamminnie วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:18:39:53 น.  

 
เห็นแล้วอยากกลับไปอีกครั้ง...คิดถึงประเทศนี้จัง


โดย: ning IP: 114.128.181.88 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:37:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

NoiseN
Location :
Melbourne Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Noise219 นะคะเพื่อน ๆ มาในบล็อกใหม่เพราะของเดิมโดนไวรัสค่ะ

ขอบคุณป้ามด คุณ N_BEE810 และคุณเนยสีฟ้า สำหรับของแต่งบล็อกสวย ๆ นะคะ

^-^ ^_^ ^_^ ^_^

I love Melbourne Long Live the King
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
17 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add NoiseN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.