Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
30 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
ก่อนวันที่ลมหนาวจะเข้ามา....Osaka, Japan







เอี๊ยด...โครม

แม้ว่าเสียงการจอดและเสียงปิดประตูของชินคังเซน [Shinkansen Bullet Train] จะไม่เท่ากับแอร์พอร์ทลิงค์บ้านเรา

แต่มันก็นำเราให้เดินทางมาถึงโอซาก้าได้เช่นกันครับ





และแล้ว ผมก็มีโอกาสได้มาสัมผัส กับ มหานครอย่างโอซาก้า เมืองที่ได้ชื่อว่า เป็นเมืองตั้งแต่สมัยโบราณ เมืองเศรษฐกิจ และที่สำคัญใหญ่เป็นอันดับที่สามของประเทศญี่ปุ่น

ได้เห็นบรรยากาศแบบนี้ก็เริ่มตื่นเต้นแล้วครับ เป็นมหานครจริงๆ ตึกเรียงรายกันแบบสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว





การได้มาสัมผัสกับโอซาก้า ในเวลาที่อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 6 องศา มันก็ต้องหาอะไรทำให้ร่างกายอบอุ่นกันก่อนครับ

แน่นอนว่าผมดูการ์ตูนและก็ โกโกริโกะ เกมส์กึยส์ มาเยอะ ก็เลยไม่ลังเลที่จะหาร้านแกงกะหรี่อร่อยๆ ท่าน

ก็ไม่ได้มีแผนอะไรนะครับ เดินหาไปเรื่อยๆ มาสะดุดตากับร้านคุณลุงคนนี้เห็นว่าขายแต่แกงกะหรี่อย่างเดียวก็เลยเข้าไปดู





ก็ทำให้ได้เจอกับแกงกะหรี่ในฝันครับ

แน่นอนว่า แกงกะหรี่ที่นี่ เค้าใส่ แอปเปิ้ล กล้วย ช๊อกโกแลตและโยเกิร์ตลงไปด้วย

ตามสูตรในการ์ตูนเด๊ะ ชี้โบ๊ชี้แบ๊ะ สั้งปุ๊บคุณลุงก็จัดการให้ทันทีครับ





ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆครับ อยู่ตามซอกมุม เป็นถนนอีกเส้นที่คู่ขนานกับ Nishi-Shinsaibashi รสชาติอร่อยทีเดียว ผมทานผักดองกะกระเทียมดอกที่เขาให้ทานเป็นเครื่องเคียงเกิอบหมดกระปุกกันเลย หมูเขาจะนุ่มๆ เปื่อยๆ

และก็มาติดใจกระดาษเช็ดปาก ที่ข้างโต๊ะ มันคล้ายๆ กับกระดาษแก้วบางๆ สารภาพตามตรงว่าเพิ่งเคยเห็นนะครับนี่





การมาโอซาก้า ถ้ามาไม่ถึง ย่านช็อปปิ้งอย่างชินไซบาซิ [Shinsaibashi] และ ดงทนโบริ [Dotonbori] อาจจะเรียกได้ว่ายังมาไม่ถึงโอซาก้า โดยผมเลิกเดิมดุ่มๆ สุ่มไปตามแผนที่ จนมาเจอตึกรูปแปลกๆ เหมือนเพชรนี้ ก็ใกล้ทางเข้าแล้วครับ

เพราะผมเลือกที่จะเข้าทาง ดงทนโบริ [Dotonbori] ระหว่างทางก็แวะดูชาวบ้านชาวเมืองไปเรื่อยๆ ก็สนุกดีครับ





มาถึงก็เจอกับพระที่ชอบยืนข้างทางในการ์ตูนครับ ตามข้างทางต่างๆ ชอบมีพระพุทธรูปยืนอยู่ โดยเฉพาะในอิ๊กคิวซัง ก็เลยไปหาข้อมูลดู พบว่าจริงๆแล้ว่ ท่านคือพระโพธิสัตว์ จิโซโบซัตสุ [Jiso Bosatsu]

ว่ากันว่าท่าน จิโซโบซัตสุ [Jiso Bosatsu] จะให้ความคุ้มครองช่วยเหลือ เด็ก ผู้หญิงท้อง และคนเดินทาง ดังนั้น เมื่ออิ๊กคิวซังเดินผ่านทุกที ก็ต้องทำความเคารพทุกทีนั้นเอง

ผ่านไปทางนั้นอย่าลืมไหว้ท่านกันนะครับ






เดินเข้ามาก็ทำให้เห็นว่านี่คืออีกโลกหนึ่งจริงๆ ครับ สำหรับย่าน ดงทนโบริ [Dotonbori] เริ่มเห็นการตกแต่งร้านค้าแล้วครับ เรือยกกันมาเป็นลำๆ ตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด (แบบว่าแถวบ้านไม่มีนะครับ)





ยิ่งเดินเข้ามาก็ได้เห็นตึกแปลกๆ แนวทันสมัยๆ โดยเฉพาะตึกนี้ หัวใจก็ยิ่งพองโต แบบตื่นเต้น





เดินไปเรื่อยๆ ก็มาถึง ร้านที่เหมือนกันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ อีกอย่างหนึ่งด้วย นั่นคือร้านปูยักษ์ Kani Douraku ที่มีปูยักษ์ที่ขยับขาได้ ว่ากันว่าเป็นร้านดั้งเดิมที่นำปูสดๆ จากฮอกไกโด มาให้ได้ทานกัน เดิมขายกันเป็นหน้าๆ หรือว่าเฉพาะฤดูที่มีปูเท่านั้น แต่ตอนหลังมีการพัฒนามาจนสามารถขายกันได้ทั้งปี ด้วยความไม่ท้อแท้ของเจ้าของร้าน (เท่าที่เลาๆ จากโกโกริโกะ)





ร้าน Kani Douraku ผมได้แค่เดินผ่านครับ ยังไม่มีโอกาสแวะเข้าไปทาน แต่พอผ่านมา ก็เจอนี่เลบ....

เทรนด์อาหารที่กำลังอยู่ในความสนใจของคนญี่ปุ่น มีความเผ็ดร้อน มีความแปลกและแตกต่างออกไป โดยเฉพาะสาวๆญี่ปุ่น มักจะสนใจ เพราะช่วยเกี่ยวกับเรื่องของความงามด้วย แน่นอนครับว่านี่คือร้านอาหารไทยในญี่ปุ่น ตั้งอยู่กลางดงทนโบริ [Dotonbori] เลย





วิธีการดึงดูดลูกค้า...เค้าทำกันอย่างนี้ทีเดียว

พี่เค้าก็มองเรา เราก็มองไปถ่ายรูปพี่เค้าไป ผลัดกันมองกันไปมองกันมา หวังว่าคงจะไม่ก่อหวอด
(ประมาณว่า คงไม่เคยเห็นคนไทยอะดิ.. เราก็ไม่เคยเห็นญี่ปุ่นแบบนี้เหมือนกัน)





สาวๆ หน้าหนาวนี่ น่ารักกันมากมายครับ ดูสไตล์การแต่งตัวกันซะก่อน มองไปทางไหน ก็น่ารัก ....

ทำให้ลืมเหนื่อยกันเลย





ชอบเดินถนนเส้นนี้จริงๆ แต่งกันได้สะใจมาก ๆ ดูอย่างร้านขายปลาฟุกุ [Fugu] หรือว่าปลาปักเป้า ปลาที่สามารถพองลมได้ มีพิษและอาจทำให้ตายได้ แต่ที่ญี่ปุ่น มีการอบรม ออกใบเซอร์ สำหรับพ่อครัวที่สามารถแล่และปรุงเป็นอาหารโดยเฉพาะ

เมืองไทยก็มี ตามร้านหมูกะทะไง ที่ช่วงหนึ่งได้ข่าวว่าเอาเนื้อปลาปักเป้ามาให้ทานกัน

สิ่งที่เหมือนกันคือทานกันไป ยังไม่มีใครตาย(หรือว่าตายแล้วไม่เป็นข่าวก็ไม่รู้) ก็ยังถือว่าบ้านเราเจ๋งอ





เดินไปสักพัก ชักชะหิว ก็เลยเริ่มชายตามองสองข้างทางว่ามีอะไรให้ทานบ้าง

สังเกตไปสังเกตมา หรือว่า รู้ตัวอีกที เหมือนกับว่า เราอยู่ในดงของร้านที่ขายทาโกะยากิ หรือว่าหนมครกญี่ปุ่น ที่หากเป็นต้นตำหรับแล้ว หมึกยักษ์ที่นำมาใส่ ต้องเป็น หมึกยักษ์ที่ยังเป็นรุ่นเด็กๆ [Baby Octopus] เท่านั้น และต้องไม่ใช้ หมึกกล้วยแบบบ้านเราด้วยนะครับ





ร้านไหนดี ก็ตามสูตรเดิมครับ เลือกร้านที่คนเข้าแถวกันยาวๆ ไว้ก่อนอากาศที่ค่อนข้างหนาว กับทาโกะยากิ [Takoyaki] แบบร้อนๆ นี่มันสุดยอดไปเลย

แต่ว่ารอให้เย็นลงหน่อยดีกว่าครับ คำแรกร้องจ๊าก...ปากพองเลย ร้อนจริงๆ มันเหมือนลูกระเบิดที่เก็บซ่อนความร้อนไว้ข้างในครับ ซื้อมาให้ค่อยๆ ทานก็แล้วกันนะครับ เตือนกันไว้ก่อน





จะไม่ให้เรียกแถวนี้ว่าดงทาโกะยากิ [Takoyaki] ได้ไงในเมื่อมีร้านทาโกะยากิเต็มไปหมดแบบนี้





ผมเดินมานานเท่าไรไม่รู้ครับ แต่ว่ารู้ตัวอีกทีก็ค่ำแล้ว โห... เดินมาไกล รู้สึกว่าจะเดินเลยมาจนถึงชินไซบาชิ [Shinsaibashi] ซะด้วยซ้ำ ยิ่งค่ำๆ ก็เห็นคนเยอะมากขึ้น เข้าใจว่าเพิ่งจะเลิกงานกัน Mascot ประจำร้านก็ได้เวลาทำงาน ออกโปรโมทร้าน





ทานข้าวเย็นเสร็จก็กลับไปพักขากันสักหน่อย แล้วก็ย้อนออกมาต่อ มาชมบรรยากาศตอนกลางคืนครับ อาจจะเข้าช่วงตื่นตาตื่นใจอยู่ ก็เลยรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองไม่ค่อยจะเหนื่อยเท่าไร ออกเดินลุยไปแบบเต็มที่





ออกมาดูรอบๆ โรงแรมหน่อย ได้เห็นรูปแบบการใช้ชีวิตอีกแบบครับ

ที่เคยเห็นในการ์ตูน คุณพ่อแวะทานเหล้าก่อนกล้บบ้าน มีให้เห็นเยอะเลย แล้วร้านส่วนใหญ่ก็เป็นร้านเล็กๆ เข้าไปก็มีโต๊ะ สองสามโต๊ะ หรือว่ามีแต่บาร์อย่างเดียว





ว่าแต่ว่า เพิ่งสังเกตเสาไฟ

มันคล้ายๆ หุ่นยนต์กำลังจะชูตบาส ขอบไอเดียเขาจังเลยครับ






หามีโอกาสมาเที่ยวไม่ว่าที่ไหน แนะนำครับว่าให้ลองมาดูกลางคืนอีกสักรอบ จะได้เห็นในมุมที่ต่างออกไป

แสงสี ผู้คน ละลานตาไปหมด รู้สึกเหมือนว่าไม่ใช่ที่เดียวกับที่ได้มาเมื่อตอนกลางวันยังไงก็ไม่รู้






ผมไปหยุดอยู่ที่ร้านที่เค้าคีบตุ๊กตาอยู่พักใหญ่ เพราะมันมีวีดีโออยู่บนตู้เลยครับ สอนเทคนิคการคีบกันแบบเห็นๆ ง่ายๆ ทำได้รึเปล่าก็ไม่รู้

แล้วก็เดินกันต่อไป ย้อนมาถึงร้านปู Kani Douraku กันอีกรอบ โหกลางคืน น้องปูสีสันสดใสมากๆ





เดินไปเดินมาก็มาเจอป้ายไฟกูลิโกะ แถวชินไซบาชิ [Shinsaibashi] ผมว่ามันเหมือนกับสัญลักษณ์ของโอซาก้า Osaka นะครับแต่ตอนกลางวันรู้สึกว่าไม่เห็น ทั้งๆที่เดินมาตามเส้นทางเดิมเลย พลาดไปคงเสียใจแย่





ปิดท้ายค่ำคืนนี้ด้วย ตึกสูงๆ เมื่อเช้า พอเปิดไฟในตอนกลางคืน

โอ้ว...คุณพระคุณเจ้า กีตาร์ชัดๆ ออกแบบกันได้สุดยอดมาก





เช้าวันต่อมา กะว่าลองเดินไปอีกทางที่ไม่ใช่ย่านการค้า กะว่าจะดูบรรยากาศอีกแบบ





เดินไปทะลุถนน ซาไกซูจิ [Sakai Suji] อุทานขึ้นมาแบบไทยว่า คุณพระ [Oh my God] นั่นมันธนาคารกรุงเทพนี่

โห...มาเปิดกันไกลถึงที่นี่เลย





สงสัยว่าย่านนี้เป็นย่านธนาคาร และเพิ่งรู้นะครับนี่ว่า เรโซน่าโรออนเค้าก็เปิดธนาคารกะเค้าด้วย ยิ่งใหญ่จริงๆ





พอเข้าช่วงเวลาทำงาน ก็จะไม่ค่อยได้เห็นคนหนุ่มคนสาว (นอกจากพ่อค้าแม่ค้า) ตามท้องถนนทั่วไปเท่าไร ก็จะพบเห็นคุณลุงคุณป้ากันซะมากกว่า

เฮ้ย...วิ่งตัดกล้องได้ไงนี่

และอีกอย่างที่ชอบนะครับก็คือการตกแต่งหน้าบ้านหน้าร้าน ผมว่าดูดีเลย





ร้านขายดอกไม้ ดูเค้าทำกันแล้ว... ความปราณีต เรียกได้ว่าขั้นเทพครับ ว่ากันว่า ศิลปะการจัดดอกไม้ของญี่ปุ่นถือเป็นศิลปะชั้นสูงกันเลยทีเดียวครับ





เท่าที่สังเกตนะครับผมว่า มื้อเที่ยงของคนท้องถิ่นจริงๆ ส่วนหนึ่งนิยมทานเบนโตะ[Bento] กันนะครับ ยิ่งไปเทียบราคากับในร้านแล้วต่างกันลิบลับ อีกอย่างสะดวกในการพกพาและนั่งทานด้วย





ทานเที่ยงเสร็จก็กลับโรงแรมครับไปพักกันสักหน่อย แล้วก็ถามพนักงานว่าจะไปปราสาทโอซาก้าไปไงครับ มุดขึ้นมุดลง แป๊บเดียวเท่านั้น จากย่านชินไซบาชิ เราก็มาทะลุยัง Osaka Business Park เพื่อที่จะมุ่งหน้าไป ปราสาทโอซาก้า หรือว่า โอซาก้าโจ [Osaka Jo]





การเดินเท้าจากสถานี Osaka Business Park ไปยัง Osaka Jo ผมว่าใช้เวลาเดินทางมากกว่าที่นั่งรถใต้ดินมาอีกครับ ไกลมากๆ





จากรถไฟใต้ดิน ข้ามถนน ข้ามตึก ข้ามคลอง กว่าจะมาถึงโอ้ว (เริ่มมีอาการบ่น)

และได้รับการต้อนรับจากต้นซากุระมาแต่ไกล (ตอนนี้มีแต่กิ่งแบบไม่มีดอกเลย ยังไม่ถึงเวลาบานครับ)





ระหว่างทางมีคนเดินสวนทางไปมาบ้างพอสมควรทำให้ไม่รู้สึกว่าเหงาเท่าไร (ไม่เงียบมากเกินไปมากกว่า)

ข้ามคลองมาแล้ว ต้องเดินต่ออีกนะครับไม่ใช่ว่าจะถึง





เท่านั้นยังไม่พอ มันมีปีนบันไดอีกด้วย

เหอะๆๆ ปราสาทโอซาก้า...

ยิ่งเข้าใกล้ปราสาทเท่าไร ก็ยิ่งได้สัมผัสกับต้นซากุระ (ที่มีแต่กิ่ง) มากขึ้น อย่างน้อยๆ ไปบอกต่อได้ว่าได้มาดูต้นซากุระที่ญี่ปุ่นแล้วนะนั่น





งดงาม งดงาม เอาความงามของซากุระ(ต้น)มาให้ชมกันแบบเต็มๆ





ในที่สุด ผมก็ทำได้ ผมมาถึงปราสาทโอซาก้า [Osaka Jo] แล้ว

แต่อีกอย่างที่ลืมไม่ได้ คือ มาคราวนี้ เจอนักท่องเที่ยวครอบครัวชาวจีนด้วย ตอนแรกๆ เดินมาส่งเสียงดังไม่เป็นไร แต่มาหนักใจเอากะเด็กน้อยกวนๆ อายุสัก 4- 5 ขวบ ที่มาวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังผม มันสนุกมากเลย เฮ้ย เราจะเดินไปข้างหน้ามันก็วิ่งมาดัก จะไปทางอื่นก็วิ่งมาวนรอบ กว่าจะปลีกตัวออกไปได้ เกือบเสียภาพลักษณ์นักท่องเที่ยวที่ดีชาวไทยไปซะแล้ว กะว่าสักทีนะน้อง





เดินดู เดินชม เดินซึมซับกับบรรยกาศยามเย็น





พอตะวันเริ่มคล้อยๆ ก็ได้เห็นนกเป็ดน้ำมาหาอาหาร ตอนแรกนึกว่าเค้าเลี้ยงเป็ดด้วย ดูไปดูมาเฮ้ย เป็ดบินได้...





ยิ่งเย็นมากขึ้นเท่าไร อากาศก็ยิ่งเย็นมากขึ้นเท่านั้น

ร้านหนมครก [Takoyaki] ก็ยิ่งขายดี





พระอาทิตย์ตกที่นี่ ไม่มีคำบรรยายอีกแล้ว





มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

ดื่มด่ำ





กับบรรยากาศดีๆ





เหมาะสำหรับการทอดอารมณ์ยิ่งนัก...





เดินออกมาก็ยังได้มีโอกาสสัมผัสกับดอกบ๊วยที่กำลังออกดอกเต็มต้น





รู้สึกว่าได้ใจจริงๆ

ดอกบ๊วยแบบใกล้ๆ





ถ้ามีโอกาสสักครั้ง ผมแนะนำให้มาเที่ยวปราสาทโอซาก้าแบบให้ค่ำคาปราสาทกันไปเลย ... สุดยอดเหนือคำบรรยาย





เย็นย่ำกับแสงไฟ

ทำให้แม่น้ำกลับมีชีวิตใหม่ขึ้นมา





ถนนตอนกลางคืนก็ราวกับว่า เปิดมุมมองใหม่





ให้เราได้ซึมซับกับบรรยากาศใหม่ๆ ที่มีแสงไฟละลานตา





ก่อนจะจากลา เมืองโอซาก้า ที่อุณหภูมิ 4 องศา กันเพียงเท่านี้









Create Date : 30 สิงหาคม 2554
Last Update : 30 สิงหาคม 2554 9:46:17 น. 7 comments
Counter : 941 Pageviews.

 
มาชมด้วยคนนะคะ ขอบคุณค่ะ


โดย: พี IP: 110.169.243.90 วันที่: 30 สิงหาคม 2554 เวลา:12:04:57 น.  

 
Orkut Scraps - Hello And Hi

Orkut Scraps


ภาพสวยจังเลยค่ะ


โดย: kochpon วันที่: 30 สิงหาคม 2554 เวลา:15:38:16 น.  

 
มาชมโอซาก้าด้วยคนค่ะ ภาพสวย ได้สัมผัสโอซาก้าหลากหลายมุมมองค่ะ


โดย: เอื้องใบไผ่ วันที่: 30 สิงหาคม 2554 เวลา:22:30:50 น.  

 
ถ้าจะสอบถามเรื่องที่ไปขอวีซ่าอเมริกามาหน่อยได้มั้ยค่ะ พอดีจะไปขออะค่ะแต่กลัวๆ กลัวไม่ผ่านอะค่ะ


โดย: Pineple IP: 182.53.62.239 วันที่: 19 กันยายน 2554 เวลา:20:04:49 น.  

 
สอบถามได้เลยครับ สำหรับ B2 วีซ่า ตั้งหลักว่า เตรียมความพร้อมเรื่องเอกสารรับรองการทำงาน และ ข้อมูลที่กรอกใน DS 160 ให้ดีครับ เพราะว่า ตอนสัมภาษณ์ เจ้าหน้าที่เค้าจะถามจากตัว DS 160 เป็นหลักครับ

หลักฐานการเงิน หรือหลักฐานอื่นไม่ขอดูเลยทีเดียวครับ


โดย: Matterhorn วันที่: 26 กันยายน 2554 เวลา:16:17:58 น.  

 
โอซาก้าในฝัน ขอบคุณคะที่พาชมเหมือนไปด้วยตัวเองเลยค่ะ


โดย: แม่เอ้ของเด็กหญิงหยก (MiNiHoMe_by_NoNgYoK ) วันที่: 6 ตุลาคม 2554 เวลา:8:58:39 น.  

 
เข้ามาชมครับ


โดย: OXYGEN2 วันที่: 1 มีนาคม 2558 เวลา:22:52:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Matterhorn
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Smallest Small Normal Large Largest
Friends' blogs
[Add Matterhorn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.