มิถุนายน 2553

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
รักยิ่งใหญ่..ให้ตลอดชีวิต
สวัสดีล่ะ

ตัดสินใจเพิ่ม group ใหม่ คิดแล้วคิดอีกว่า จะแปะไว้ดีไหม

พอเก็บในเครื่อง ผ่านไปก็ลืมชื่อไฟล์ซะอีก

เลยแปะไว้ในนี้ก่อน วันดีคืนดีคง back up ใน external HDD อีกที...

ช่วงเดือนนี้เมื่อ 3 ปีก่อน เป็นโอกาสสุดท้ายที่เรา 2 พ่อลูกได้ใช้ด้วยกันซะด้วยสิ

...

บันทึก ระลึกถึงพ่อ.. 25 พ.ค. 2553

สวัสดีจ้า..

เมื่อคืน มีคำถามในความกังวล บนเหตุพื้นฐานความรู้สึกกลัวจะเสียตัวตนของตัวเองไป

คำถามนี้ไม่ใช่ครั้งแรก มันเวียนเข้ามา และทำให้นึกถึงความทรงจำเก่าๆ คำพูดพ่อ เมื่อหลายปีก่อน

พ่อ: ลูก... ลูกต้องสำรวมให้มากกว่านี้ ต้องสุภาพให้มากกว่านี้ ตรงนี้เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่เหนือกว่าหน้าตา พ่อเชื่อว่าลูกเป็นคนคิดดี แต่พ่อสังเกตหลายครั้งเลย บ่อยครั้งลูกก็เล่นมากเกินไป ไม่สำรวม คำพูด กริยามารยาท ไม่รุจักกาลเทศะ..

เถียง: พ่อ ถ้าน้อง..เปลี่ยนไป มันก็เหมือนเราเสแสร้งหรือเปล่า ไม่เป็นตัวเองไหมอะ เพราะอันนั้นน่ะ มันก็เหมือนเปลือกนอก

พ่อ: เราไม่ได้เสแสร้ง เราไม่ได้สูญเสียความเป็นตัวเราไป เจตนารมณ์ ความตั้งใจเรายังคงเหมือนเดิม เพียงแต่ปรับการแสดงออกเท่านั้น...
พ่อก็เคยเป็นอย่างลูกมาก่อน สนุกสนานและชอบทำให้คนรอบข้างมีความสุข แต่เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เราก็รู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเพื่อให้คนยอมรับเรา แต่คนจะยอมรับ และนับถือเราจากความดีที่เราทำ และบุคลิก ลักษณะความสำรวม สุภาพ อ่อนน้อมที่แสดงออกมา จะทำให้คนรับรู้ได้ถึงความเป็นมิตรและน่าคบหา

เถียง: ก็ได้พ่อ น้อง..จะลองทำดูนะ (แต่ในใจ) ไม่เอาอะ ฉันก็คิดดี แสดงดีอยู่แล้วนี่ ไม่เอาอะ ไม่อยากโต กลัวสร้างภาพ

คนเรานี่ก็แปลกเนอะ สิ่งไม่ดี รู้ทั้งรู้ ก็ยังจะไปยึดอยู่ได้ กะอีแค่ตัวเรา ของเรา คนสอนสิ่งดีๆให้ก็ยังปฏิเสธ...

เมื่อคืน คำถามนี้จึงกลับวนเวียนมาใหม่ กอปรกับบางประเด็น.. หรือมันถึงเวลาที่ฉันจะปรับตั้งแต่มุมมองความคิด คำพูด การกระทำ ต่อตัวเองได้แล้ว...
อีกอย่างเมื่อฉันเริ่มรู้สึกว่า บางทีฉันไม่ได้บ่นกับตัวเองเท่านั้น อาจจะมีคนแวะมาทักทาย หยิบยื่นมิตรภาพและมุมมองใหม่ๆ ให้ฉัน
ก็เอาล่ะ ขอลองปรับจากเดิมซักหน่อยละกัน... (คำตอบจึงอยู่ในตอนท้ายด้วย)

ดังนั้นลองดูก็ไม่ได้เสียหายนี่นา จากนี้คงจะนะ คงจะเกลาอะไรให้ดูสุภาพขึ้น สำรวมมากขึ้น...

เมื่อความรู้สึกนึกถึงพ่อได้แวปอย่างที่บอก เจ้าจิตใจก็เลือกจะเปิดกล่องเล็กๆ เกี่ยวกับพ่อ แล้วหยิบสิ่งของบางอย่างออกมาให้พิศดูอีกรอบ...

ภาพสมัยเด็ก เดินจูงมือพ่อไปห้องทำงาน ไปราวน์วอร์ด ไปตรวจคนไข้ เดินผ่านบริเวณไหน คนในรพ. จะคนไข้ นศพ.แพทย์เวร บุรุษพยบ. พี่ๆ น้าๆ ป้าๆ พยบ. ยกมือไหว้ทักทายพูดคุยเป็นกันเอง...พ่อตรวจคนไข้ ใจดี ใบหน้ายิ้มแย้ม

วันจันทร์_ออก OPD ตรวจผู้ป่วยนอก คนไข้ที่มา ล้วนต้องจ่อคิวรอ เพราะคิวยาวมาก บางรายรอเป็น 3-4 เดือน ก็ยอม เจาะจงขอตรวจกับหมอ...เท่านั้น
วันอังคาร_ห้องเฝือก คนไข้ก็จ่อคิวรออีก แต่ไม่มากเท่าวันจันทร์ งานต้องใช้อุปกรณ์พวกเฝือกๆ จำเป็นต้องใช้พื้นที่เฉาะ
วันพุธ_ตารางสอน นศพ.
วันพฤหัส_OR วันเข้าห้องผ่าตัด คนไข้จาก OPD ที่ถึงคิวต้องขึ้นเขียงนั่นเอง
วันศุกร์_วันว่าง แต่หลังๆ ไม่ว่าง เพราะคนไข้ล้น พ่อต้องเปิดวันตรวจเพิ่ม

ลักษณะการทำงานเท่าที่รู้ ถ้าคนไข้อาการไม่หนัก พ่อจะกำชับให้ไปออกกำลังกาย พร้อมสอนท่ากายบริหารอย่างถูกต้องให้ แต่ถ้ามันจำเป็นต้องผ่า พ่อก็เหมือนกับพ่อค้าหั่นหมูตามเขียงหมูเลย ต้องคอยหั่น เลื่อยกระดูกตรงโน้น ตรงนี้ ผ่านั่น ผ่านี่... ฉันเองก็เคยใช้บริการพ่อใส่เฝือกที่มือมาแล้วทั้ง 2 ข้าง...

ตกเย็น (ส่วนมากจะเป็นวันจันทร์) พ่อหิ้วใส่รถมาและ ถุงผลไม้บ้าง อาหารบ้าง ตระกร้าผลไม้บ้าง ขนมต่างๆ ตระกร้าแบรนด์ ซุปไก่บ้าง รังนกบ้าง กระเช้าดอกไม้ กรอบรูป รูปถ่ายวิวสวยๆ ใส่กรอบอย่างดี เขาควายสลักเป็นรูปกิ่งไม้ มีนกเกาะ รูปวาดบ้าง แจกันไม้ ของป่า ของแปลก ไม่เว้นกระทั่งพรมเปอร์เซีย มีหมด คนไข้ให้ทั้งนั้น...

ที่คนไข้เจาะจงพ่อฉันน่ะหรือ มีเหตุผลหรอก เพราะพ่อใส่ใจในการตรวจคนไข้ทุกคน ตรวจละเอียด ไม่ใช่ 15 นาที/ คน ตามสถิติจำนวนคนไข้/วัน/หมอ
เปล่าเลย พ่อเหรอ แล้วแต่อาการเลยนั่น บางคนอาการแย่หน่อย ก็สอนท่าบริหารนานหน่อย ยาไม่ค่อยให้หรอก เพราะยาพวกนี้มันกัดกระเพาะ บางคนมีอุปกรณ์ ถุงทรายต้องเอากลับไปทำที่บ้านด้วยนะเออ ฉันยังเคยต้องใช้เลย ตอนเด็กๆ

ยังไม่นับคนรู้จักที่มาหาถึงบ้าน หรือไปหาที่ทำงาน พ่อไม่เคยเกี่ยง ใส่ใจดูให้หมด ไม่ร้ายแรง ก็แนะนำบริหารกันไป หนักหน่อย ก็นัดไปตรวจจริงจัง

ไปไหนคนไหว้ เคารพนับถือพ่อจากจริงใจ ฉันสัมผัสได้จากแววตาและท่าทางของเขาที่ไม่ได้ทำเพราะเพื่อประจบคนตำแหน่งหมอ แต่ไหว้เพราะพ่อคือหมอ... ก็เท่านั้น คงเพราะบารมีตรงนี้พ่อทำไว้เยอะด้วยล่ะ ...

น่าขำจะตาย บ่อยไปที่ฉันเดินกับพ่อ เจอคนยกมือไหว้ตามทาง พ่อยิ้มให้ รับไหว้ตอบทุกที แล้วถามพ่อว่า ใครหรอพ่อ พ่อยิ้มเหยๆ บอกไม่รุเหมือนกัน สงสัยคนไข้มั้ง เออ พ่อตรู น่ารักจริงๆ

นี่ล่ะ ความสุขของพ่อฉัน พ่อไม่ได้ต้องการทรัพย์สินเงินทอง ฐานะร่ำรวย ฉันไม่เหมือนลูกหมอคนอื่นๆ ที่มีทรัพย์สินเยอะแยะอะไร พ่อมีหนี้สินด้วยซ้ำ แลกอิสรภาพ และเพราะพ่อซื้อรถผ่อนด้วย ใครจะเชื่อว่าหมอต้องซื้อรถผ่อน แต่ก็นั่นล่ะ พ่อฉัน...

พ่อไม่เคยสอนฉันให้สะสมทรัพย์สินภายนอก มันเอาติดตัวไปไม่ได้ พ่อสอนให้เพิ่มพูนสะสมความดี เพราะความดี กุศลกรรมเท่านั้น ที่เราจะสามารถเอาติดตัวไปได้ และพาเราไปเจอคนดีๆ สิ่งดีๆ แม้กระทั่งตาย ก็นำจิตไปสู่ภพภูมิดีๆ ดังนั้นทุกครั้งที่ไหว้ หรือสวัสดีพ่อ พ่อมักบอก คิดดี พูดดี ทำดี นะลูก...ของพ่อ

แรกๆ พ่อไม่เปิดคลินิคด้วยซ้ำ เพราะพ่อบอกว่า เวลาให้ครอบครัวจะน้อยลง พ่ออยากใช้เวลากับครอบครัว แต่หลังๆ เพราะพายุใหญ่มันพัดอะไรๆเสียหายไปเยอะ พ่อไปเป็นมือปืนรับจ้างรพ.เอกชน ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ บ่นๆให้ฟังบ้างประปราย..แต่ก็ไม่วาย ยิ้มเจื่อนๆ รับชะตากรรมไป

พ่อชอบฟังเพลงช้า อารมณ์ครึ้มๆ จะร้องเพลงเพราะๆให้ฟัง เด็กๆ ก็แปะโน๊ตง่ายๆ อย่างเพลงครวญ ให้ฉันเล่นอิเลคโทน โน๊ตยังอยู่ที่เครื่องเลย..
ช่วงมรสุมจะไม่ได้ยินพ่อร้องเพลงให้ฟังเลย แล้วหน้าก็จะเหมือนคนอมทุกข์ ..ฉันล่ะสงสารพ่อจัง

ความก้าวหน้าทางวิชาการหรอ พ่อไม่เคยสนใจ
โน่น ไปสอนนศ.ภาคพละศึกษาอยู่อีกวิทยาเขตโน่น ไปเย้วๆ กับพวกเด็กพละ
บางครั้งก็ไปออกทริปเดินป่าบ้าง ขึ้นเขาบ้าง ไปกางเต็นท์นอน แล้วแต่จังหวะโอกาส ฉันติดสอยห้อยตามไปด้วยบ่อยๆ...จนถึงตอนนี้ อัฐิพ่อบางส่วนยังอยู่บนเขาเลย ลุงหมุ-พี่เล็ก คนไข้พ่อ ขอพาพ่อไปอยู่ด้วย..

ยามว่างของพ่อ วันหยุดน่ะหรอ
โน่นไปและ ปั่นจักรยานไปกับเดอะแก๊งค์บ้าง วิ่งบ้าง พ่อชอบวิ่ง ชอบออกกำลังกาย ถึงกับเป็นประธานชมรมวิ่งประจำอำเภอคนแรกเลยนะเออ...
พ่อเป็นคนนำเต้นแอโรบิคด้วยล่ะ ตอนนั้นยังเด็กมาก ไปสนามกีฬาพ่อขึ้นเต้นแอฯบนเวที ก็เพราะพ่อมีความรู้ด้าน กระดูก กล้ามเนื้อและการจัดเรียงกล้ามเนื้ออย่างดีไง เลยถ่ายทอดและนำเต้นได้ถูกต้อง ปลอดภัย (แอบแซว) ถ้าตอนนั้น รู้สาแล้วนะ จะขอไม่ให้พ่อไปนำเต้นแอฯเลย กลัวคนมองพ่อเป็นตุ๊ด +55...
กลุ่มสุดท้ายที่พ่อเป็นผู้นำกลุ่มคือ กลุ่มรำตะบอง ปัจจุบันกลุ่มนี้ยังรวมตัวและมีกิจกรรมต่อเนื่องอยู่ ภายใต้ชื่อที่พ่อคิดค้น และเป็นประธานชมรมคนแรกอีกเหมือนเคย...

แล้วหมออย่างนี้จะอยู่ในสังคมส่วนใหญ่ที่แตกต่างอย่างมีความสุขได้อย่างไรล่ะ ?

ความขัดแย้งนี้ก่อตัวขึ้นในใจพ่อมาช้านาน กัดกินจนเป็นรากลึก เผาใจพ่อพอสมควร..

ฉันว่า ด้วยเพราะความเครียดนี่แหละ ตัวดีพรากพ่อไปก่อนวัยอันควร แต่หลายเรื่องหรอก ไม่ใช่แค่เรื่องงานอย่างเดว..

คนอย่างพ่อ ไม่เคยกดดันใคร รองรับความกดดันจากคนอื่น แล้วไม่ส่งต่อไม่ว่ากับคนข้างกาย คนใกล้ตัว หรือส่งกลับคืนคนยื่นความเครียดนั้นมา ก็ไม่เลย พ่อเก็บเป็นความเครียดคนเดว ฉันว่า พ่อดำเนินชีวิตพลาดไปอย่างหนึ่ง คือ พ่อทำตัวเหมือนขวดน้ำอัดลม อัดแก๊สสะสมเอาไว้ๆ...วันนึงมันก็เลยย้อนทำร้ายร่างกายพ่อเองนี่ล่ะ พ่อน่าจะทำให้เหมือนตดนะ ปล่อยออกไปซะบ้าง..กลิ่นตุๆ สารพิษไม่ดีๆ ก็ควรขับมันออกไป...

งานศพพ่อ...

คนไข้หลายคนเดินมาบอกฉันว่า พ่อเหมือนคนที่ให้ชีวิตใหม่แก่เขา เหมือนช่วยให้เขาตายแล้วเกิดใหม่ เพราะบางคนทนความเจ็บปวดมานานหลายปี ก่อนจะมาให้พ่อรักษา บ้างก็มาช่วยงานอย่างตั้งใจ และตั้งใจเพื่อตอบแทนพ่อ...
คนไข้หลายคนเจาะจงเดินมาพบฉัน เอาซองมายื่นให้ และบอกถ้อยความประทับใจที่เขามีต่อพ่อ ฉันล่ะไม่อยากจะเป็นคนถือตังแบบนั้นเท่าไหร่ (คนบทบาทหน้าที่หลักนี้ ไม่ใช่ฉัน เขามีตำแหน่งอย่างเป็นทางการของเขา) เพราะทรัพย์สินภายนอกพวกนี้จะนำมาซึ่งปัญหาภายหลัง ...และก็จริงๆ แต่ช่างมันเถอะ ไม่อยากนึกถึงให้เสียอารมณ์

บุคลากรโรงบาล ทำสารพัดน้ำสมุนไพรขาย คนนี้คุ้นเคยกับพ่อ ก็ทำอร่อยๆ มาให้ในงานพ่ออีก

อาจารย์แพทย์ท่านนึงเดินมา ยื่นซองให้ฉันแบบเจาะจง พร้อมคุยแนะนำตัวว่า ผมเป็นลูกศิษย์อาจารย์... ผมอยากบอกว่า ให้คุณภูมิใจในตัวพ่อ เพราะพ่อของคุณคืออาจารย์หมอที่เป็นผู้ให้อย่างแท้จริง คือต้นแบบให้นศพ.หลายๆคน รวมทั้งผมด้วย...
อาจารย์แพทย์อาวุโสอีกคน ลูกศิษย์พ่อตั้งแต่ฉันยังประถม เดินเอาพระมาให้ คงเหมือนเขาจะตอบแทนพ่อล่ะมั้ง ไม่รุจะทำยังไง ให้ลูกเขาแทนละกัน

แล้วฉันจะไม่ภูมิใจได้อย่างไร มันมาก ถึงมากที่สุด ผู้ชายต้นแบบ คนเดวที่รักเคารพและศรัทธา คนเดวที่ให้กอดอบอุ่น ปลอดภัยทุกครั้ง และสอนทุกสิ่ง ให้ฉันอย่างตั้งใจ บริสุทธิ์ใจ หมายมั่นว่า ลูกเขาต้องเป็นคนดี เขาคือคนสร้างทุกอย่างให้เป็นฉันในวันนี้...

ถึงวันนี้จะไม่ได้เป็นหมอเหมือนพ่อ แต่รอน้องนะพ่อนะ คอยดูแลคุ้มครองด้วยล่ะค่ะ...

มีความสุขจัง ได้นึกถึงพ่อ ดูท่ากล่องความทรงจำนี้จะไม่เล็กซะแล้วสิ มันบรรจุเรื่องราวเยอะแยะเหลือเกิน...

แล้วสิ่งที่ฉันตอบแทนพ่อคืออะไร..

เหอๆๆ ใครตำแหน่งใหญ่โตในที่ทำงานเก่า ซึ่งรู้จักทั้งฉันและพ่อ เคยเรียกฉันไปเตือนส่วนตัวตั้งแต่เมื่อครั้งพ่อยังเริ่มป่วยใหม่ๆ ว่า อย่าทิ้งโอกาส เวลาช่วงนี้ที่จะได้อยู่กับพ่อ เพราะเขามัวแต่มุ่งงาน เขาพลาดโอกาสจะได้ดูแลบุพการีมาก่อน...

แต่ฉันเลือกเอาการศึกษาในเวลาที่เหมาะสม..ถ้าย้อนเวลาได้ และทำนายอนาคตออก ฉันคงยอมเป็นพนักงานบริษัทกกระจ๊อกๆ เพื่อได้ใกล้เขาให้นานกว่านี้แน่...

แต่เพราะประมาท และคิดว่า พ่อสู้ไหว พ่อเข้มแข็ง พ่อไม่จากเราไปง่ายๆหรอก และพ่อคงรอวันฉันเรียนจบ...คนรักษาพ่อ ก็พวกเพื่อนๆ ลูกศิษย์เขา ทำเต็มที่ เต็มฝีมือทั้งนั้น... นี่ล่ะ ความประมาทแท้จริง

พ่อเคยบอกว่า พ่อไม่ได้หวังสิ่งใดจากฉัน ขอเพียงเป็นคนดี และเป็นที่พึ่งให้น้อง เลี้ยงน้องให้ดีๆ เท่่านั้น...

เช้าวันสุดท้ายของชีวิตพ่อ ทันทีที่รถทัวร์ลง ฉันแจ้นไปหาพวงมาลัยดอกมะลิ เดินขึ้นตึกคนไข้ มุ่งหน้าไปห้องที่พ่อนอนอยู่ รู้สึกเหมือนเวลาเราเหลือน้อยเต็มที

ใครบางคนบอกว่า พ่อรอลูก....อยู่
คนรู้จักพ่อหลายคน มาเพื่อดูใจพ่อ...
ฉันเปิดประตูเข้าไป เสียงเทปเพลงสวดมนต์บรรเลงจังหวะเศร้าสร้อย
ภาพพ่อที่นอนอยู่บนเตียง มันบาดลึกในความรู้สึกจริงๆ
เห็นพ่อในร่างกายที่ใกล้สลายเช่นนั้น มันสะท้อนตัวทุกข์ชัดเจน
ฉันรู้ได้โดยสำนึกว่า พ่อรอฉันอยู่ และพ่อคงฝืนได้อีกไม่นาน
เพียงจิตใจพ่อเท่านั้นที่ยังคงรับรู้ และเฝ้ารอ...

บรรจงวางพวงมาลัยบนมือพ่อ ขออโหสิกรรมกับสิ่งที่ได้เคยล่วงเกินกันไป
และขอให้พ่อหมดห่วง จากนี้ น้อง..จะดูแลน้องเอง
ขอให้พ่อไปสู่ภพภูมิที่ดี ชาติหน้ามีจริงก็ขอเกิดมาร่วมบุญกันอีกอย่างนี้จะกี่ชาติก็ตาม...

มือพ่ออีกข้างกำพระไว้แน่น

ฉันไม่กล้ากอดร่างพ่อ กลัวเขาจะมีห่วง จับมือเขาไว้แทน

เสียงหายใจแผ่วลงๆ แผงโชว์การเต้นของหัวใจค่อยๆอ่อน กราฟเขียวๆ ค่อยๆลดลงๆ

การต้องเห็นคนที่เรารักค่อยๆ จากไปต่อหน้า
มันเจ็บในหัวใจเกินบรรยายจริงๆ แต่ก็สุดจะทนยื้อความทรมานให้เขาเช่นกัน

.......

พ่อจากฉันไป 29 ตุลาคม 2550 10.04 น.

ปี 2550 จึงเป็นปีที่ชีวิตฉันผ่านมรสุมหนักที่สุด...

ฉันได้ถามพยบ.ว่า พอจะมีส่วนไหนของร่างกายพ่อที่จะยังทำประโยชน์ได้ไหม
พ่อเป็นอาจารย์ใหญ่ได้หรือเปล่า เพราะพ่อเป็นอาจารย์มาทั้งชีวิตแล้ว
แต่เพราะพยาธิสภาพของผู้ป่วยโรคมะเร็ง ไม่สามารถจะเป็นอาจารย์ใหญ่ได้
สิ่งที่ให้ได้เพียงแค่กระจกตาเท่านั้น.. กราบขอพ่อแล้วรีบประสานฝ่ายจักษุ ให้มาเก็บกระจกตาไปก่อนที่เซลล์จะเสื่อมสลายไปหมดก่อน
พยบ.ที่เอากระจกตาไป เข้ามาขอบคุณและจัดทำเกียรติบัตรมาให้
ฉันบอกเขาไปว่า พ่อคงดีใจที่ยังได้ให้ประโยชน์กับคนข้างหลัง..เพราะพ่อเป็นผู้ให้มาตลอดทั้งชีวิต

ฉันได้เช็ดตัว แต่งตัวให้พ่อเป็นครั้งสุดท้าย...

ภาพที่เห็นมันสะท้อนตัวทุกข์และสัจธรรมได้หลายอย่าง

คนเรามีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา
มีพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เป็นธรรมดา
ร่างกาย คือ กองทุกข์แท้จริง...

ใครบางคน ยื่นพระในมือพ่อให้ฉันรักษาไว้...

จบฉากความสัมพันธ์เราต่อกันแต่เพียงเท่านั้น ..
ขอบคุณสำหรับการดูแลพ่ออย่างดีมาตลอด...คุณยังคงเป็นผู้มีพระคุณกับฉันเสมอ.. ทว่าสิ้นพ่อ ชีวิตฉันคงแคร์คุณแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว...

มาถึงวันนี้ชีวิตฉันไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว หัวใจฉันสลายไปแล้ว
พ่อคือทุกสิ่งทุกอย่างที่สำคัญที่สุดของฉัน...นาฬิกาความสุขเรือนนี้หยุดเดินแล้ว

เหลือเพียงภาระ หน้าที่ที่พ่อได้ฝากไว้นั้น

วันนี้ลูกสาวคนเล็กของพ่อ ไปไกลมาก ตั้งตนในศีลธรรมที่ดี ด้วยพื้นฐานจิตใจดี คิดดี พูดดี ทำดี
และกำลังดำเนินรอยตามที่พ่อได้ทำมาก่อน อย่างที่พ่อภูมิใจเลยค่ะ...

ถ้าพ่อได้เห็นรอยทางที่น้องเดินตามพ่อนั้น พ่อคงภูมิใจมากๆ ^^

สิ่งเดวที่ฉันทำเพื่อพ่อได้ คือ ทุกวันที่ฉันสมาทานศีล
บุญเดวที่ฉันจะสะสม อุทิศส่งต่อให้พ่อได้..
พ่อจึงเป็นคนแรกที่ฉันอุทิศส่วนกุศลให้ในทุกคืน...

มันสะท้อนใจนะ..
เวลาที่พ่อยังอยู่ ฉันไม่ได้ใช้เวลาตรงนั้นให้เต็มที่กับเขา...
ฉันละเลยความทุกข์ ความเจ็บปวดของพ่อ
มัวแต่อยู่บนกองความสุขลอยๆ ลมๆ แล้งๆ ของตัวเอง..
ทั้งที่พ่อเคยแสดงออกเป็นนัยๆแล้วว่า ต้องการอยู่ใกล้ๆ แต่พ่อไม่พูดตรงๆ..พ่อขึ้นมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ เป็นช่วงชีวิตสุดท้ายที่เราได้ใช้ด้วยกัน...
มันไม่คุ้มหรอกนะ เวลาอันน้อยนิดแต่เราไม่รุว่ามันสั้นลงๆ...

เพราะงั้นฉันจึงต้องมาย้อนเสียใจและเสียดายที่ทำไมเราจึงต้องมาทำเพื่อเขา ระลึกถึงเขาตอนเขาจากตายไปแล้วด้วย...

โอกาสมันหมดไปตั้งแต่วันนั้นแล้วน่ะ...

ถ้าเผื่อใครอ่านมาถึงตรงนี้ ฉันทำให้คุณนึกถึงใครบ้างไหม ลืมใครไว้ข้างหลังหรือเปล่าคะ...

ใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่า มีความสุขกับตัวเอง คนที่เรารักและรักเราให้ได้ในทุกๆ โอกาสนะ..
เวลาในชีวิตคนเรามันสั้น ไม่มีใครรู้ว่า วันไหนเราจะต้องไป...

ด้วยความหวังดี อย่าให้โอกาสหลุดลอยอย่างฉันเลยค่ะ...

...

เอนทรี่นี้เรียบเรียงทุกคำอย่างตั้งใจ ระบบลำดับขั้นตอน
และบันทึกในสมองก่อนด้วย Key word ในแต่ละหัวข้อ
เขียนออกมาด้วยความระลึกถึงพ่อและกุศลกรรมของท่านค่ะ ...

12.06 pm.


ปิดท้ายเพลงจากศิลปินเพลงหนึ่งในดวงใจพ่อ ผู้ลาโลกไปก่อนพ่อ 1 เดือน กุ้ง กิตติคุณ เชียรสงค์
ทว่ารูปแบบการไปนั้นต่างกัน สาเหตุเกิดจากไรไม่รุหรอก แต่ก็สอนให้ระลึกว่า
คนเราเลือก screen วิธีจะจากโลกไปได้นะ...
ทุกครั้งที่ใช้ถนน สติจดจ่อกับพวงมาลัยและทางข้างหน้าสำคัญมาก
ประมาทนั้นไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นอาจได้บทเรียนแลกด้วยชีวิต
และแพลนเวลาดีๆ ไม่ออกเร่งรีบ กระชั้น จวนเจียนเวลาเกินไป
อีกอย่างที่พ่อสอน คือ อย่านั่งไปกับคนขับที่เมา เพราะเราเอาชีวิตไปแขวนบนเส้นด้าย
เมื่อต้องเจอเช่นนั้น อย่าได้เกรงใจ ขอตัวขับเองปลอดภัยสุด...

นึกถึงเพลง น้ำตาแสงใต้ แต่หาไม่ได้ เลยได้เพลงนี้มาแทน ตรงกว่าด้วย

Tears in Heaven... เอาไปเลย น้ำตาหลายปี๊บ




Create Date : 14 มิถุนายน 2553
Last Update : 5 สิงหาคม 2553 10:47:26 น.
Counter : 503 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เลื้อย
Location :
Seoul,  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดี ชาวโลก...ออนไลน์

ขอบคุณที่แวะเข้ามาแล้วเยี่ยมชมค่ะ

นานๆ จึงจะได้มาอัพซักกะครั้งแหละ...
ตามแต่ใจจะพาไป

หากเข้ามาอัพบ่อย ตายแน่เลย
งานท่วมหัว เอาตัวไม่รอด..

จะทักทาย ติชม ประการใด ตามสบายละกัน ^^'

ไว้คุยกันค่ะ ;)

ปล. ชักงงๆนิดหน่อย ตรูแปะไว้คราวก่อน
แล้วไฉนจึงหายไปได้ละเนี่ย...งึ่มๆ