คนจุดโคมบนดวงดาว



ค น จุ ด โ ค ม บ น ด ว ง ด า ว








ประภาคาร คือหอคอยส่งสัญญาณไฟให้ชาวเรือ
รู้ถึงอันตรายของเกาะแก่งแหล่งหินโสโครกและร่องน้ำ
เพื่อจะนำเรือเข้าเทียบท่าอย่างปลอดภัยในยามค่ำคืน
นี่กระมังชาวประมงถึงเรียกกระโจมไฟว่าประภาคาร
หรือ บ้านแห่งแสงสว่าง (lighthouse)....

สำหรับผม ผู้ซึ่งมิใช่นักเดินเรือหรือชาวประมง
ประภาคารก็ยังคงความหมายอันแสนอบอุ่นนั้นไม่ผันแปร
ผมยินเสียงเซ็งแซ่ -ตื่นเต้น ได้เห็นรอยยิ้มและประกายตา
บนใบหน้าของผู้หญิงและเด็ก ๆ ยามเรือแล่นเข้าเทียบท่า
นั่นคือการกลับมาของความรักที่แรมรอน ผู้พเนจรและนักฝัน
และคืนวันอันเหว่ว้าใต้โค้งฟ้า ดวงดารา คลื่นลมและมรสุมใหญ่ในมหาสมุทร
ประภาคารคือการสิ้นสุดและการเริ่มต้น
คือหลักแหล่งแห่งพำนักและการเดินทางแสวงหา….


ม่านหน้าต่างแห่งวันเวลากระพือลมหัวเราะ
เสียงเพลงหวานเสนาะจากไวโอลิน และแอคคอร์เดี้ยน
และแสงเทียนบนโต๊ะอาหาร แจกันที่ปักดอกไม้ ....
กระทั่งเสียงหัวใจที่เต้นระทึกหลังจากนั้น




บ้านแห่งแสงสว่างที่มักจะตั้งอยู่ลำพังวังเวง
บนเกาะร้างห่างไกลที่ไร้ชุมชนคนอาศัย
หรือปลายแหลมเปลี่ยวเดี่ยวโดดบนโขดเขินเหนือช่องแคบ
ที่ยินแต่เสียงลมครางครวญหวนหา อยู่ชั่วนาชั่วตาปี...

คนประเภทไหนกันนะที่ขึ้นไปอยู่บนนั้น คอยกำกับดูแลประภาคาร
คอยส่งสัญญาณไฟให้แสงสว่าง
เขาจะรู้สึกอ้างว้างบ้างรึเปล่า เขาจะรู้สึกเงียบเหงาบ้างไหม....
หรือไม่เลย เพราะเขาไม่เคยสนใจตัวเองมากไปกว่างานที่เขาทำอยู่
เขามีหน้าที่ที่ต้องทำ ต้องรับผิดชอบมิให้เรือแม้สักลำหนึ่ง
ต้องหลงทางหรืออับปางลง เพราะชนหินโสโครก ....

“อย่างน้อยที่สุด งานของเขาก็มีความหมาย
เมื่อเขาจุดไฟในโคม
ก็เหมือนกับว่าเขาได้ก่อให้เกิดดวงดาวที่สุกใสขึ้นอีกดวงหนึ่ง
หรือเพิ่มดอกไม้ขึ้นอีกดอกหนึ่ง
และเมื่อเขาดับโคมก็เป็นระยะที่ดอกไม้
หรือดวงดาวพักผ่อนนอนหลับ
นับว่าเป็นงานที่งดงามเป็นงานที่เป็นประโยชน์โดยแท้จริง
ด้วยเหตุว่ามันเป็นงานที่หมดจดงดงาม” *


ขณะวาดภาพประภาคาร ผมคิดถึงคนจุดโคมบนดาวดวงที่ห้า
และคำพูดของเจ้าชายน้อย







สถานที่ แหลมโตนด อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา
อ.ลันตา จ.กระบี่





*เจ้าชายน้อย แซงเตก ซูเปรี เขียน อำพรรณ โอตระกูล แปล





Create Date : 13 กรกฎาคม 2550
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2551 14:33:15 น. 44 comments
Counter : 2625 Pageviews.

 
ฮะแฮ่ม....เขินจังที่เดินตามหลังมาจุดไฟในประภาคาร

ประภาคารที่แหลมพรหมเทพไม่เหงาเปล่าเปลี่ยวเลยนะคะ ล้อมรายด้วยไฟพร่างพราว
คนหัวใจหนาว...เห็นแล้วอาจเซ็งจิต

แต่ที่แน่ๆ...คนบนประภาคารต้องแข็งแกร่งกว่าใคร
เพราะเขาต้องต่อสู้กับคลื่นลมซํดสาดเพียงลำพัง (หรือเปล่าไม่รู้)

และที่แน่กว่านั้น ปลายแปรงข้ามเขาไปหาดบางสัก กะแหลมประการัง
ไม่มีประภาคาร....แต่มีหอเตือนภัยร้าง
ที่จ้างให้ก็ไม่ขึ้นไปหรอก....
จะเตือนภัยอะไรล่ะ...บันไดยังส่ายง่อกแง่กเล้ย...โว้ว

รู้สึกว่าจะมาทำเสียบรรยากาศซึ้งๆของพี่ปอน กับสมาชิกคนส่องทางไหมเนี่ยเรา (อุตสาห์ปลอมตัวมาแล้วนะ)


โดย: ปลายแปรง ณ ปลายวา IP: 203.113.17.148 วันที่: 13 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:08:21 น.  

 
คนประเภทไหนกันนะที่ขึ้นไปอยู่บนนั้น คอยกำกับดูแลประภาคาร

หรือว่าคนแบบพี่ปอนนะ (เดาค่ะพี่)


โดย: รุ้งสีที่แปด IP: 124.157.228.45 วันที่: 13 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:20:17 น.  

 
แม้คนจุดโคมจะอยู่ในที่โดดเดี่ยว
แต่เชื่อว่าเขาไม่โดดเดี่ยวตาม
เพราะการได้ให้แสงสว่างกับคนอื่น
คือความสุขอย่างที่สุด


โดย: คนเลวที่แสนดี วันที่: 13 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:26:30 น.  

 
สายัณสวัสดีค่ะพี่ปอน ปอน
----------------------------------------------------------
ประภาคาร อยู่เดียวดายกับลมทะเล
มีเพียงคลื่นสายน้ำ สาดซัดทุกนาที
เหงา ไม่เหงา เจ้าคงไม่รู้สา ไม่รู้สึก
กับการรอคอยใครคนนั้น กลับมาพร้อมกับแสงจันทร์
ในคืนนี้

ประภาคารสีขาว
เจ้าโดดเด่น....แสนเดียวดาย


ปล. เนื้อเพลงจับจิต เสียงร้องจับใจ
ตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ อะคึ่ ๆ







โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 13 กรกฎาคม 2550 เวลา:20:06:13 น.  

 
สวัสดีเจ้าอ้ายปอน

lighthouse ในโอเรก้อนเล่ากั๋นว่ามีผีเจ้า
วันดีคืนดี ทั้งๆที่มันร้าง มันก่ยังมีแสงไฟวอมแวม
ลอดมา เปิ้นเล่ากั๋นมาอย่างนั้น จ๋ำได้ว่าป้อล่ะอ่อน
เล่าเรื่องผีหื้อลูกฟัง

อ้ายปอน ตบกำว่า light house หื้อมันติดกั๋นเจ้า
มันเป๋นคอมพาวด์เวิร์ด เขียนชิดกั๋น (อ้ายบ่ดีโขดน้องโขดนุ่งเน่อเจ้า)


โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.144.17 วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:0:09:51 น.  

 
เคยเขียนเรื่องสั้นๆเกี่ยวกับประภาคารเอาไว้ เอาไปลงพิมพ์รวมกับคนอื่นไว้ในหนังสือบางเล่มเมื่อสองสามปีที่แล้ว ขออนุญาติเอามาแปะต่อครับ
......................................................
แรงดึงดูด

-1-

ผมอาศัยอยู่บนดวงจันทร์
สถานที่นี้ไร้น้ำหนัก ผมจึงเพียงล่องลอยเคว้งคว้างไปรอบๆ มีผม เก้าอี้ตัวหนึ่ง กลางอากาศหนาวเหน็บ
และผมคิดถึงเธอ

หญิงคนรักผู้ซึ่งอาศัยอยู่ที่สุดขอบโลก

แผ่นดินสุดท้ายที่พอหลุดไป ก็จะไปยังทะเลน้ำแข็ง ย้อนกลับไปยังอีกข้างของโลก
บนโลกมีแรงดึงดูด ดึงดูดเธอไว้ที่นั่น เธอจะมีเก้าอี้เป็นของเธอเองไหมนะ

เธอจะมีตัวตนไหมนะ

ในวันที่โลกกับดวงจันทร์ใกล้ชิดกันที่สุด
วันที่กระแสน้ำขึ้นสูงสุด
พระจันทร์ส่องแสงสุกสว่าง
ผมหวังให้โลกดึงดูดผมลงไป

โลกดึงดูดให้พระจันทร์หมุนไปรอบๆ แต่ไม่ยอมให้เข้าใกล้มากไปกว่านั้น
บางทีถ้าโลกดึงดูดผมมากๆ ผมอาจจะหลุดออกจากดวงจันทร์
แล้วหล่นลงไปคล้ายสะเก็ดดาวแตกสลายเป็นเสี่ยงๆในชั้นบรรยากาศ
ตกลงในทะเลที่ไหนสักแห่ง เก้าอี้ของผมคงกลายเป็นเศษไม้ลอยไปยังชายหาด

ที่สุดขอบโลก หญิงสาวของผมจะเดินเล่นและเก็บเศษไม้ไปก่อไฟ
เธอคงจะอุ่น และผมคงดีใจ
ในอากาศสีฟ้า ที่ไหนสักแห่ง

ที่ไม่หนาวเหมือนดวงจันทร์

.....................................

- 2-

หญิงสาว อาศัยอยู่สุดขอบโลก
ถัดไปจากฝั่งทะเลแห่งเธอ คือมหาสมุทรลึกลับไม่รู้จบ ทอดไปสู่แผ่นดินน้ำแข็ง
เธอทำหน้าที่เฝ้าประภาคารเดียวดายที่ปลายขอบโลก
คอยบอกเส้นทางให้แก่เรือทุกลำ แสงไฟสว่างวาบบอกว่า อย่าได้เลยพ้นไปจากนี้
หญิงสาวจะตื่นอยู่ตลอดคืน และนอนหลับในตอนกลางวัน
นานๆเข้าเธอคิดตลกๆว่าโลกนี้มีเพียงความมืดและเธออยู่ใจกลางของดวงอาทิตย์

หน้าที่ของดวงอาทิตย์คือการเผาให้ตัวเอง เพื่อเปล่งแสงสู่ดาวเคราะห์ สำหรับผลิพืชผลอันอุดม
เธอมิใช่ดวงอาทิตย์หากเป็นเพียงประภาคารเดียวดาย แสงของเธอ สร้างสรรค์สิ่งใดไม่ได้ ทำได้อย่างมาก เพียงป้องกันการทำลาย การสาบสูญไปในห้วงสมุทร
บางครั้งเธอคิดถึงชายคนรัก ซึ่งคงอาศัยอยู่บนดวงจันทร์

สถานที่ที่แสงของเธอสาดไปไม่ถึง

ดวงจันทร์มีแสงที่สะท้อนจากดวงอาทิตย์
นั่นทำให้เธออยากเป็นดวงอาทิตย์ จะได้สะท้อนแสงให้แก่ดวงจันทร์

รุ่งสางของวันหนึ่งในฤดูหนาว เธอลงบันไดวน จากห้องชั้นบนประภาคาร ไปสู่ชายหาด พบท่อนไม้แตกหักโดนคลื่นซัดมากระทบฝั่ง

เธอส่องแสงให้สิ่งอื่นมาชั่วนิรันดร์ แต่ใช่ว่าจะไม่ต้องการแสงสำหรับตนเอง

ค่ำวันนั้นเธอดูแลให้ประภาคารส่องแสงได้ตามปกติ มองดูดวงไฟใหญ่ยักษ์ เคลื่อนที่เป็นวงกลมกวาดไปในความมืด มิด

เธอเริ่มก่อไฟ โดยใช้ท่อนไม้ที่เธอพบริมหาด กองไฟสิส้มเล็กๆลุกโพลง ส่องแสงและให้ความอบอุ่นแก่เธอ อบอุ่นคล้ายเสียงแตรขอบคุณจากเรือเดินสมุทร

มีแรงดึงดูดในกองไฟ หากสักวันพระอาทิตย์ดับไป เธอจะให้ประภาคารส่องไฟ ไปถึงดวงจันทร์

บนนั้นจะได้ไม่เหน็บหนาว

............................

- 3 -

ฉันรู้จักก้อนหินบางก้อน แข็งแรง กลมกลึงหากโดดเดี่ยว เย็นเยียบยามฤดูหนาว และร้อนผ่าวยามฤดูร้อน
มวลสารยึดแน่น อยู่ภายใน สิ่งใดสัมผัสต้องก็ย่อมรู้สึกไปตามสิ่งกระทบ ตามแสงแดดและสายลม หาใช่ก้อนหินไม่
น่าเสียดาย บางครั้งพอก้อนหินร้องให้ก็ไม่มีใครรู้

ก้อนหินเฝ้าฝันเสมอ ว่าเธอจะมีแสง พอจะส่องทางไปหาใครสักคน ที่จะหลงรักก้อนหิน

แต่เธอรู้ว่าเธอเป็นเพียงหินก้อนหนึ่ง ปราศจากแสง แลดูราวปราศจากกระทั่งความรู้สึก
และคงไม่มีใครหลงรักก้อนหิน ที่ไม่มีสิ่งใดเลย เพียงดูดซับและสะท้อนสรรพสิ่งที่สัมผัสต้อง
บางครั้งเธออิจฉาผงฝุ่น ที่ได้ปลิวไปไหนต่อไหน
อิจฉาเม็ดทรายที่ได้ท่องไปในท้องทะเล
อิจฉาผืนดินที่ได้เป็นต้นกำเนิดของพืชพันธุ์
และอิจฉาภูผาที่ได้ตระหง่านยืนหยัด

เธอเป็นเพียงก้อนหิน แตกตัวมาจาก ที่ไหนสักแห่งถูกกัดเซาะด้วยลมและน้ำจนกลมกลึงหากไร้คุณค่าความหมาย ไม่มีแสง หากคนรักเธออาศัยบนดวงจันทร์ เธอไม่มีทางพบเขา เพราะเธอไม่ใช่หญิงสาวคนเฝ้าประภาคารผู้นั้น ผู้ที่หากดวงอาทิตย์ดับไป จะเป็นคนส่องไฟให้ดวงจันทร์

ว่ากันว่า หากเรามีเครื่องมือที่ดีพอ เราอาจสามารถแยกเอาน้ำแก้วหนึ่ง จากก้อนหินก้อนหนึ่งได้
เพราะลึกที่สุดในทุกสรรพชีวิตล้วนมีธาตุเดียวกัน ก้อนหินก้อนหนึ่ง แผ่นดินผืนหนึ่ง ต้นไม้ต้นหนึ่ง หญิงสาวผู้หนึ่ง ดวงดาวดวงหนึ่ง

บางทีนี่อาจเป็นข้อพิสูจน์ว่า เราทั้งหมดล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น หาสิ่งใดมีคุณค่า สิ่งอื่นย่อมต้องมีด้วยเช่นกัน

กระทั่งก้อนหินก้อนหนึ่งก็ด้วย

ก้อนหินไม่รู้ หญิงสาวไม่รู้ แผ่นดินไม่รู้ ดวงดาวไม่รู้ กระทั่งคนรักของก้อนหินก็ไม่รู้ ว่าต่างมีกันและกันในทางใดทางหนึ่ง

หากก้อนหินชิงชังแผ่นดิน หญิงสาวชิงชังชายหนุ่ม ดวงดาวชิงชังแผ่นดิน ก็ล้วนตังเป็นการชิงชังตนเองทั้งสิ้น

ฉันรู้จักก้อนหินก้อนหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องร้องให้อีกต่อไป
เพราะเธอเข้าใจแล้วว่า
ที่แท้ พระจันทร์ ก็เป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง


โดย: FILMSICK IP: 203.155.226.117 วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:1:02:38 น.  

 
ยินดีเจ้าแม่น้องนิก เฮียนโฮงเฮียนฝรั่งบ่ด๊ายบ่ดาย
มาต๋ายน้ำตื้น
ใคร่หันกระโจมไฟตี้ว่า ถ่ายฮูปมาผ่อลอ อ้านชอบขนาด
รอหมดหน้ามรสุม จะไปผ่อที่บนเกาะจวง ไปเขียนฮูปไว้ เขาว่างามขนาด

ปลายแปรง
ที่แหลมพรหมเทพ ของสูง...
(ไม่รู้ อุ๊บ...)
แหะ รู้สึกผีจะเพ่นพ่านแต่หัววัน
ของแม่น้องนิกมาดึกหน่อย
หอร้างที่ว่านั่น ยังคงรูปทรงดีอยู่หรือเปล่า
ชักอยากเห็น บันไดห้อยร่องแร่ง คิดถึงเสียงสิ คลื่นซ่า
ลมซัด หวีดหวิววววววว บรื๋อ...

คนเลวที่แสนดี
มองโลกเลวด้วยจิตใจดี
ความเดียวดาย
คือวิญญาณของความโดดเดี่ยว(แน่ ๆ)

สายัณห์สัญญา เอ๊ย สวัสดิ์ด้วย นางน้องสาวขอนแก่น
ขอบคุณหลาย
ที่จำเสียงคนร้องได้
ร้องตั้งหลายวันประกอบบทรัก
เป็นนักร่องนิรนามเด้อ...
นางชมข้อย
ตัวลอยขึ้นไปยืนดีดไหบนยอดพึงกระดู


โดย: สัญจร ดาวส่องทาง วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:1:14:27 น.  

 
เจ้าชายน้อย(ตัวจริง)
เรื่องสั้นเรื่องนี้สุดยอด
สวย และอัดแน่นด้วยพลัง
(งานแรก ๆ ทำไมต่างจากงานหลัง ๆลิบ)
เคยเป็นไหม เวลาตั้งอกตั้งใจสาละวนค้นหา เรามักหาไมพบ แต่พอมานอนทอดหุ่ย อ้าวอยู่นี่เอง
ความรู้คงต่างจาก ความเข้าใจ
ความเข้าใจคงต่างจากการใช่ชีวิตจริง
อย่างที่ว่าน่ะถูกต้อง
ก้อนหินก็มีธาตุของน้ำ
องค๋ประกอบของงานเขียนไม่หนักไปข้างหนึ่งข้างใด
เส้นผมจึงมักบังภูเขา
เช่นเดียวกับความจริงที่มักบดบังจินตนาการ
หากยานสองหมื่นโยชน์ของจูล เวิร์ลก็คงไปไม่ถึงใต้สะดือทะเลถ้าเขาไม่เคยรักใครคนหนึ่งและหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสาม
ชอบจริง ๆ พระจันทร์ก็เป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง
No woman,no cry
ไม่มี(พระจันทร์) (ก็ไม่เป็นไร)
ไม่ต้องร้องไห้ ค่ร่ำครวญ
บัก Bob Marley แอบหัวเราะแน่ะ
(เออหมอนี่ขี้โม้จริง...)




โดย: สัญจร ดาวส่องทาง วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:2:30:20 น.  

 
แวะเวียนมาหลายหน..แต่ไม่ค่อยได้คอมเม้นท์ เพราะไม่สะดวกใช้เน็ตน่ะค่ะ..

ภาพประภาคารเกาะลันตาสวยจังพี่ แจมไปเขาขนาบน้ำมาแล้วนะ..แล้วก็วาดภาพค้างไว้ ตอนนี้ภาพที่วาดไม่เสร็จยังคงรอไปต่อเติม

แต่ตัวคนวาดภาพ..มาแย่งเน็ตพี่ยาย ใช้อยู่ที่เชียงใหม่แน่ะค่ะ.. ก็มาอบรมเขียนเว็บของสหกรณ์เกาะพีพี พอมีเวลาเหลือ ก็เลยชิ่งหนีมาเที่ยวเชียงใหม่ก่อน อยากอยู่นาน..หนนี้ได้มาจริงซะที

พี่ยายบอกว่า..ให้นอนทับรอยนักเขียนใหญ่ ๆ ทั้งนั้น อิอิ..ดีค่ะ เผื่อจะได้เจริญรอยตาม (ไม่รู้อีกกี่นานน่อ)

คืนนี้คอยดูการเปลี่ยนแปลงน๊า.. ได้ข่าวว่าพี่ยายอยากแต่งบล็อก...งานนี้แจมจัดให้อยู่แล้ว (ตามประสา)

ฮี่ฮี่

สวัสดีค่ะ


โดย: สีน้ำฟ้า IP: 203.113.50.14 วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:8:05:41 น.  

 
ดีแล้วหละๆแจม
ช่วยดูเพลงให้เขาด้วยนะ เห็นว่าฟังสะดุด ๆ
แบบนี้เราว่าเป็นกันแทบทุกคน โดยเฉพาะที่อยู่ต่างจังหวัดไกลไกล(กวี) เครื่องที่ใช้ด้วย
(นอกเหนือจากเน็ทที่ความเลวน้อย)
ทน-ทนไป ทนไม่ได้ ก็เข้าห้องน้ำ แล้วก็นอนหลับตา
หาหนังสือที่อ่านค้างไว้แต่ชาติปางก่อนมาอ่าน
อย่าไปหมกมุ่นกับมันนัก (อีเล็ก-โทรนิค) ไว้ใจไม่ได้
โลเล เอาแต่ใจ (เอ๊ะไง)

เที่ยวให้สานุกนะแจม
แล้วกลับไปเขียนรูปเขาขนาบใจต่อ (หึ หึ)


โดย: สัญจร ดาวส่องทาง วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:11:15:28 น.  

 
แวะมาชมภาพสวย ๆ ค่ะ

หนอนด้วงไม้ไผ่ รถด่วน ตามแต่จะเรียก...T_T
เกิดเพื่อเป็นอาหารแท้ ๆ เชียว





โดย: หนอนบ้านนอก วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:14:36:15 น.  

 
สวัสดีครับพี่ปอน

ไม่มีอะไรจะพูดหรอก

เพียงแต่เข้ามาทักทาย

ไม่ได้หนีหายไปไหน

ยังวนเวียนอยู่ในชุมชนบล็อกแก๊งนี่แหละครับ


โดย: พ่อพเยีย วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:15:44:32 น.  

 
สวัสดีจากที่ราบสูงสะดืออีสานค่ะ
พี่ปอนคงสบายดีนะคะ
นอกจากเป็นเจ้าชายโรแมนติก พี่ก็เป็นคนจุดโคมอีกหละ






โดย: นกแสงตะวัน วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:55:18 น.  

 
งดงามทั้งรูปวาดและเรื่องราวเลยครับ


โดย: ตะวันออกไม่แพ้ วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:18:04:46 น.  

 
ยังไม่เคยเห็นประภาคารจริงๆ ทั้งระยะใกล้และระยะไกลสักทีค่ะ
เห็นแต่ในรูป ภาพถ่ายบ้าง ภาพวาดบ้าง .. ใครต่อใครมองความหมาย
ความสำคัญในตัวประภาคารริมทะเลต่างกันดีนะคะ ..

ความรู้สึกเกี่ยวกับตัวประภาคารที่มีความสว่างไสว ที่ให้ความอบอุ่นกับ
คนอื่นน่ะค่ะ เป็นคนจุดโคมที่ใจดี แต่ออกจะเดียวดายอยู่สักหน่อย ..

คุณเจ้าชายน้อย - Filmsick เขียนเรื่องเกี่ยวกับประภาคารไว้ และ
ให้คนจุดโคมเป็นหญิงสาว .. หญิงสาวที่อยู่กับความเศร้า ปนความหวัง
ไม่ค่อยนึกถึงมุมที่คนจุดโคมในประภาคารเป็นผู้หญิงเลยค่ะ ออกจะดูเหงา
เกินไป และรู้สึกโหดร้ายที่ทิ้งให้หญิงสาวโดดเดี่ยวอยู่ที่ไกลๆ อย่างนั้น ..

เพลงนี้เพราะดีนะคะ


โดย: moodee IP: 124.120.217.210 วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:18:42:33 น.  

 
มาทวงภาพ "ดอกไม้ให้แม่"ค่ะ



ไปดีก่า.....


โดย: สเลเต วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:22:51:32 น.  

 
สวัสดีครับทุกท่าน

หนอนบ้านนอก
ผมไม่น้อยสักหน่อย โอ๋ โอ๋....

พ่อพะเยีย
เพิ่งไปหาชบาฉาย
ทีแรกงงนึกว่าเป็นนักเขียนหญิง(ที่อยู่สาธารณะสุข-ใช้นามปากกานี้ใฃ่ไหม) ชักงง
ดีแล้วหละ ปะการังดูว่าแปลกหน้าอยู่นะ อีกหน่อยก็เข้าที่เอง


นกแสงตะวัน
สะดืออีสานเหรอ
ผมสบายดี ลงจากประภาคารมาเมื่อกี้นี้เอง

ตะวันออกไม่แพ้
พูดชมตลอดสองประโยค ไม่ยอมแพ้...

moodee
วันหลังไปด้วยกันนะ
ไปกันกลุ่มใหญ่ ๆ ลองหลับตานึกภาพ คืนเดือนมืด ดาวพรายประกายพราว และแสงไฟประภาคาร
แคมป์ไฟ เสียงเพลง และบรื๋อออออออ ผีหลอก ทิ้งกีต้าร์
วิ่งกระเจิด( เหมือนหนังยุคบุญชุไง)
ขอบคุณสำหรับคำชม

สเลเต
ขอฆ้อน จริง ๆ (ไม่ใช่ค้อน)
จะเอามาทุบหัวตัวเองหน่อย
20 ใช่ไหม ด้ายยยยย จัดให้
ขอบคุณนะ สาวนี้ชอบจริง ร่าเริงน่ารักสุด





โดย: ปอน ปอน IP: 125.24.53.60 วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:23:35:15 น.  

 
ขอบคุณนะคะที่ใส่ใจ เป็นดังที่พี่ว่า

มีปัญหาที่เน็ทจริง ๆ ที่บ้านไม่มีแบบความเร็วสูงไม่ว่าระดับใด ๆ รู้แล้วว่าจะทำอย่างไร ก็ต้องเข้ามาใช้ในช่วงตอนเที่ยงคืนไปแล้ว ช่องสัญญาณมีเพียงพอ อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น นั่งฟังเพลงเจ้าชายได้แล้ว

สีน้ำฟ้า สายออนไลน์พาเธอมาจริง ๆ ยังไม่เคยเจอหน้ากันเลยนอกจากอ่านงานกัน ตอนเย็นยายไปประชุมเธอไปด้วย และเธอก็ได้ shugarhut มาด้วยคนหนึ่ง ปาร์ตี้กันอยู่นอกบ้าน กับอ้ายถนอม




โดย: แพรจารุ วันที่: 15 กรกฎาคม 2550 เวลา:0:37:10 น.  

 
หลงๆลืมๆไปพ่องก่ได้เจ้าอ้าย เพราะบ่ได้อู้ภาษาต่างด้าว
ตึงวัน สิ้นเดือนนี้จะไปแอ่วโอเรก้อนเจ้า
ถ้าปะจะถ่ายรูปส่งหื้ออ้ายผ่




โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.141.191 วันที่: 15 กรกฎาคม 2550 เวลา:5:07:23 น.  

 
สายัณห์ตะวันรอน สวัสดีค่ะพี่ปอน ปอน
-------------------------------------------------
เป็นปลื้มอีกแล้วค่ะ
เพิ่งรู้ว่า..พี่ปอน ปอน เดินท่อม ๆ ย้อนกลับไปอ่าน
"ต้นกำเนิด" เก่า ๆ หลายตอน และทิ้งข้อความ
คิดเห็นเป็นตัวอักษร ให้น้องสาวฯ เป็นปลื้ม
เกือบลืมกินข้าว ก่อน 6 โมงเย็น
อะคึ่ ๆ

ขอบคุณค่ะ


โดย: สาวบ้านนอก ณ ขอนแก่น วันที่: 15 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:44:22 น.  

 
อืมม นะ สาวขอนแก่น
เป็นเหมือนเรารึ
ดีใจจนหัวใจเต้นผิดจังหวะแน่ะที่เห็นพี่ปอนไปเขียนที่บล็อก
แต่จุ๊ จุ๊ ! อย่าพูดไป อายเค้า


โดย: นกแสงตะวัน IP: 125.25.182.174 วันที่: 16 กรกฎาคม 2550 เวลา:0:05:37 น.  

 
เพิ่งอ่านหนังสือของอ.เสกสรรค์ แกเขียนประมาณว่า
แกก็เหมือนเป็นคนเฝ้าประภาคาร

แม้จะมีบางช่วงเวลาที่ร่าเริงเพราะมีเรือผ่านมา

แต่สุดท้ายก็ต้องอยู่เฝ้าประภาคารคนเดียวตามหน้าที่ต่อไป


โดย: ฟ้าดิน วันที่: 16 กรกฎาคม 2550 เวลา:0:39:12 น.  

 
ทักทายทุกคน ก่อนราตรีสวัสดิ์
เพิ่งเสร็จงานจ้ะ
โบ๋มาหลายคืนแล้ว
เลยลงจากประภาคารมา......(ให้ทาย)

ฮื้อ ฟ้าดิน
หายหน้าไปนานเลยนะ
นกไร้ขาตัวนั้น ยังบินอย฿รึไฉน...


โดย: สัญจร ดาวส่องทาง วันที่: 16 กรกฎาคม 2550 เวลา:3:04:52 น.  

 
สวัสดีครับ..เคยพบตามงาน
...ต่อไปคงได้แวะเวียนมาทักทายในบล็อก
สบายดีนะครับ...


โดย: พุกไม้ วันที่: 16 กรกฎาคม 2550 เวลา:7:37:14 น.  

 
ในฐานะที่เป็นชาวเรือ ผมน่าจะบรรยายความรู้สึกที่มีต่อประภาคาร ได้ดีกว่าคนอื่น
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ความรู้สึกที่มีต่อประภาคารเริ่มเลือนลางไปทุกวันๆ
จำได้แต่เพียงว่า ครั้งหนึ่งเคยตื่นเต้นมาก เมื่อได้เห็นแสงจากประภาคาร
เพราะนั่น หมายถึง มีแผ่นดินอยู่ตรงหน้า และกำลังใกล้เข้ามา
เป็นแสงแห่งแผ่นดินแสงแรกที่เรามองเห็น
เรารู้ว่า ไม่เพียงแต่ลำแสงนั้นส่องมายังเรา
แต่ยังมีสายตาของใครบางคน จ้องมองเราอยู่
เขาคือเพื่อน เขาคือผู้นำทาง

แต่ความเจริญของโลก และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี
ทำให้ความสำคัญของประภาคาร ในความหมายเดิม
ด้อยค่าลง แสงแรกแห่งแผ่นดินที่เราเห็น
ไม่ได้มาจากประภาคารอีกแล้ว

หากเรากำลังเดินเรืออยู่กลางทะเลลึก ในคืนอันมืดมิด
และเห็นแสงเรื่อเรืองขึ้นทาบขอบฟ้า
คล้ายแสงเงินแสงทองก่อนอาทิตย์จะขึ้น
ทั้งที่ตอนนั้นอาจจะเป็นเวลาเที่ยงคืน
นั่นจะบอกคุณได้ทันทีว่า ห่างออกไปไม่เกินร้อยไมล์
เป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่ แสงที่เห็นนั้นเป็นแสงสะท้อนจากไฟเมือง
และหากเรือเราวิ่งใกล้เข้าไป ก็จะเห็นแสงกะพริบกะพรับแพรวพราว
ต่อให้แผ่นดินนั้น มีประภาคารเป็นสิบ
เราก็ไม่ตื่นเต้นกับมันอีกแล้ว

เพราะขณะที่แสงประภาคาร ส่องไปไกล
แค่สิบกว่าไมล์ เรากลับเห็นแสงอื่นล่วงหน้าเป็นร้อยๆไมล์
ขณะที่เราเห็นแสงประภาคาร
พร้อมกันนั้นเราเห็นแสงอื่นที่น่าสนใจกว่า
บนประภาคารก็ใช่ว่ามีใครจ้องมองเราอยู่เสมอไป
เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้มันทำงานอัตโนมัติ
โดยไม่มีคนเฝ้า

แสงวับวาบของประภาคาร อาจบอกอะไรเรามากมาย
แสงวับวาบของประภาคารแต่ละแห่งทั่วโลก
จะไม่เหมือนกันเลย จะถูกกำหนดโดย
จำนวนวับ จำนวนวาบ แต่ละวับวาบนานกี่วินาที
สูงเท่าใด มองได้ไกลกี่ไมล์
สิ่งเหล่านี้จะถูกกำหนดไว้ในแผนที่เดินเรือ
แค่เห็นแสงวับวาบ เราก็รู้ได้ว่า
ประภาคารดวงนั้นอยู่ตรงไหนของโลก

แต่มันสำคัญตรงไหน ในเมื่อเรามีเครื่องมืออื่นที่ดีกว่า
เรามี GPS บอกจุดตำแหน่งแห่งที่ แทบจะหาความคลาดเคลื่อนไม่ได้
การคำนวณหาตำแหน่งที่เรือ ด้วยการวัดแดดวัดดาว กลายเป็นวิชาโบราณ

เรามี RADAR และ APAR มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง
แม้ในความมืดมิด บอกทุกเป้าหมายที่เห็นว่าห่างเราไปกี่ไมล์
กำหนดเส้นทาง คำนวณเส้นทาง พ่วงต่อระบบ auto pilot
เป็นระบบนำร่องที่ทรงประสิทธิภาพ

เรามี SONAR มองเห็นทุกสภาพใต้ท้องทะเล บอกเราทุกระดับความลึก
เรามี GYRO COMPASS เป็นเข็มทิศ
บอกทิศทางที่มีความแม่นยำสูง

เรามี AIS บอกเราว่าเรือทุกลำที่อยู่ในรัศมีทำการ
เป็นเรืออะไร ชื่ออะไร สัณชาติใด ขนาดเท่าไหร่
มาจากไหน กำลังไปไหน กำลังวิ่งเข็มอะไร ความเร็วเท่าไหร่
เรามี IMMARSAT สามารถติดต่อส่งข่าวสารกับที่ต่างๆได้
ทั่วโลก
ทั้งแบบเอกสาร หรือ ด้วยคำพูด ทั้งรับทั้งส่ง
เรามีวิทยุความถี่สูง รับส่งได้นับร้อยไมล์

เรามี TALAX , FAX รายงานสภาพอากาศ สภาพทะเล ทั่วโลก ตลอด 24 ชั่วโมง
เรามีแผนที่เดินเรือ ที่มีความละเอียด ชัดเจน และ แก้ไขข้อมูลอยู่ตลอดเวลา

ประภาคารในความหมายของนักเดินเรือรุ่นใหม่
จึงไม่ใช่อะไรที่คลาสสิคอีกต่อไป มันไม่เป็นแสงส่องทางอีกแล้ว
มันเป็นเพียงดวงไฟธรรมดาดวงหนึ่ง ไม่รู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เห็น
ไม่สนใจใคร่รู้ ว่ายังมีคนเฝ้ามันอยู่หรือไม่
หรือ คนเฝ้ากำลังทำหน้าที่ของเขาอยู่อย่างไร

ยินดีจริงๆที่ได้อ่าน ความรู้สึกของคนบนบก ที่มีต่อประภาคาร
พอๆกับอยากรู้ ถึงความรู้สึกของคนเฝ้าประภาคาร
ว่าขณะเขาทำหน้าที่ อยู่ที่นั่น เขารู้สึกอย่างไร
เหงา โดดเดี่ยว ไร้ค่า หรือ ภูมิใจที่เป็นผู้จุดโคมไฟแห่งแผ่นดิน


ผมรู้แต่ว่า คนเฝ้าประภาคารคนสุดท้ายของญี่ปุ่น
เพิ่งตกงานไป เมื่อสามเดือนที่แล้ว นี่เอง........


โดย: seaman IP: 218.90.236.54 16 กรกฎาคม 2550 6:58:42 น.


โดย: สัญจร ดาวส่องทาง วันที่: 16 กรกฎาคม 2550 เวลา:7:42:25 น.  

 
ประภาคารกลางทะเลฟังเห่คลื่น
ยามกลางคืนตื่นมาทำหน้าที่
ช่วยชี้ทางอย่างดาราท่ามราตรี
แม้นไม่มีสักเสี้ยวใครเหลียวมอง

บนหอคอยหวั่นหวาดแอบวาดหวัง
แม้นคลื่นคลั่งห่าฝนอาจหม่นหมอง
แสงริบหรี่วอนอย่าดับประคับประคอง
จำเป็นต้องสติตั้งระวังการณ์

แม้นบางครั้งมีดาวเหงาเป็นเพื่อน
คอยปลอบเตือนศรัทธาความกล้าหาญ
ตราบใดที่เรือล่องในท้องธาร
ลอยลำผ่านเรื่องร้ายสู่ปลายทาง

เรือชีวิตโต้คลื่นฝ่าขืนคว่ำ
เคยเพลี่ยงพล้ำถลำโศกบนโลกกว้าง
หากแสงไฟมืดดับคงอับปาง
ในเลือนรางล้ำค่าแสงประภาคาร



สวัสดีค่ะพี่ปอน





ช่วยลบหน้าต่างบานดอกไม้ที่ 25 ให้ภูเพยียด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ


โดย: ภูเพยีย วันที่: 16 กรกฎาคม 2550 เวลา:7:58:40 น.  

 
คุณ filmsick คคห.ที่ 6 คะ
ม่วนน้อยชอบงานคุณ ม า ก
อ่านเจอจากบล็อกของคุณที่exteen
ปริ้นท์เก็บเอาไว้อ่านและส่งให้คนอื่นอ่านด้วยก็เยอะ

มาทราบว่ามีรวมเล่มด้วย

ยังพอจะหาซื้อได้ไหมคะ

ปล.ดีใจจริงๆ ที่เจอคุณที่นี่ค่ะ
ว่าแต่คุณจะกลับเข้ามาอ่านไหมคะนี่


โดย: ม่วนน้อย IP: 202.44.136.50 วันที่: 16 กรกฎาคม 2550 เวลา:15:02:46 น.  

 
โห เพลง

ให้อารมณ์สบายๆยามเย็นดีจริงๆเลยค่ะ

เข้ามาแล้วรู้สึกว่า จขบ. โมนแลนติกมาก


โดย: โสมรัศมี วันที่: 16 กรกฎาคม 2550 เวลา:20:02:47 น.  

 
พี่ปอนจ๋า
หนังสือ"ยิ้มให้กับความทุกขืแล้วเราจะมีความสุขที่สุดในโลก"ออกเดินทางไปรอพี่ที่แม่ใจแล้วเน้อ แล้วหนุก้อดีใจมั่กมากด้วยล่ะค่ะ วันนี้บก.ที่น่าเลิฟสุดๆโทรมาบอกว่า นิยายป่วนใจได้พิมพ์ครั้งที่สอง เย้... แต่เล่มนี้ไม่ให้พี่ปอนจ๋าอ่านหรอก อายอะค่ะ คิกๆ


โดย: ใบข้าว IP: 58.9.41.141 วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:1:56:10 น.  

 
ชอบเจ้าชายน้อยครับ
ชอบงานสีน้ำของพี่ด้วย



โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:8:06:03 น.  

 
แวะมาฟังเพลง..แล้วก็แวอ่านเรื่องสั้นย่อมๆของคุณfilmsick ค่า.....

แล้วก้อมาอ่านผู้คนติฉินนินทากัน....เอิ้กๆๆๆๆ

พี่ปอนกลับบ้านศรีถ้อยเมื่อไรบอกมิตรรักแฟนเพลงบ้านพ่อพเยียด้วยนะคะ...มีสาวเหนียมักน้ำปู๋ ข้าเจ้าเลยอวดไปว่า น้ำปู๋แม่ใจนั้นขึ้นชื่ลือชายิ่งกว่าแดนไหน
แถมถั่วเน่านึ่งแล้วเอาไปจี่...ลำไบ๊ลำง่าว..

เอ...ปลายแปรงมาผิดเวอร์ชั่นแน่เลย....พาวิทูรย์ ใจพรมกลับบ้านก่อนล่ะคะเจ้าชายน้อย..
เดี๋ยวเจ้าชายน้อยๆหลงลมแม่ศรีมอยแล้วจะไม่ยอมกลับดาว.....


โดย: ปลายแปรง วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:8:48:38 น.  

 
หวัดดี seaman
เรื่องราวยังน่าติดตามเหมือนเดิมเลยนะคะ


โดย: รุ้งสีที่แปด IP: 124.157.229.37 วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:21:40 น.  

 

ชอบเรื่องราวจากคุณ seaman
ให้แง่คิดอะไรที่แตกต่าง และไม่รู้ได้ดี




โดย: p_tham วันที่: 18 กรกฎาคม 2550 เวลา:4:02:35 น.  

 
ตอบคุณม่วนน้อย

งานรวมเล่มของผม ออกมาหลายปีแล้วครับ

เท่าที่เจอล่าสุด อยู่ในกระบะลดราคาเสียแล้วครับ
แหะๆ

ตอนนั้นยังใช้ชื่อ เจ้าชายน้อย อยู่เลยครับ


น้าปอนครับ

ลงมือแก้ นิทานระทม แล้ว เขียนเพิ่มบทนำขึ้นมา แล้วขยายบางจุดให้ไม่พาฝันจนเกินไปนัก ชอบมากขึ้นเยอะเลยครับ

เดี๋ยวเสร็จแล้วผมส่งไปรบกวนอีกครั้งครับ

ปล. เริ่ม เรื่องใหม่ เรื่องรักไม่มีชื่อ ไว้ที่บลอกอีกแล้วครับ (เจ้าโปรเลคต์มากๆ แต่ไม่สำเร็จสักอัน) เขียนได้สองตอน ว่างแวะไปอ่านเล่นครับ

//filmsick.exteen.com/20070714/entry




โดย: FILMSICK IP: 202.129.51.34 วันที่: 18 กรกฎาคม 2550 เวลา:14:08:06 น.  

 
ได้เจอคำว่า ห่างไปร้อยไมค์ แต่มองเห็นแสงเรืองรองของเมืองใหญ่........ ลึกๆแล้วใจหายพิกล

ราวกับ ประภาคารผู้โดดเดี่ยว ถูกทอดทิ้ง ยืนนิ่งร้องไห้
หันหลังให้กับแสงเมืองไฟ ที่กลบดาวกลบฟ้าได้หมด
ไม่น่าเชื่อว่า ในเมืองแห่งดวงไฟหลากหลาย
ปวงดาวบนฟ้าก็ยังพ่าย

ประภาคาร กับดวงดาวหรี่หริบ ไกลโพ้น
คงแอบคุยกัน...........
อาจจะคุยเรื่องอดีตเมื่อนานมาแล้ว
เมื่อทะเลมืนมน เมื่อคนบนเรือรอคอยและตั้งตาพบแสงสักแสง แสงเดียวช่างมีคุณค่าต่อจิตใจ

ดาวเหนือใช่ไหม ที่นักเดินเรือเอาไว้ดูเส้นทาง
ประภาคารใช่ไหม ที่ใกล้ฝั่งผืนดินเต็มที
ประภาคารอาจจะถามไถ่ถึงเรือบางลำ
กับดาวสักดวง ว่าล่วงไปทางใดแล้ว
เมื่อไหร่เรือลำนั้นจะกลับมา ดังพบหน้าเพื่อนเก่า

สนทนากันเรื่อยไประหว่างกันและกัน


โลกก็ยังคงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ



โดย: กวิสรา IP: 61.19.65.27 วันที่: 18 กรกฎาคม 2550 เวลา:21:33:52 น.  

 
สวัสดีค่ะทุกท่าน..

เอ..มาแต่ละหน หน้าแรกของบล็อกไม่เหมือนกันซ๊ากที.. แหะ แหะ.. ก็เลยมาคุยตรงนี้ดีกว่า

------------------------------------------------------------------

คนจุดโคมบนดวงดาว
มองผ่านเมฆสีขาวลงมาเห็นไหม
ตรงนี้ยังมีอีกคนที่ใส่ใจ
ร้อยเรียงความนัยส่งไปถึงเธอ

คนจุดโคมบนดวงดาว
เหนื่อยและหนาวอย่างไรจะมีฉันเสมอ
จะเคียงข้างเป็นเพื่อนแม้ไม่เคยพบเจอ
ขอเพียงอย่าเผลอ ลืมกัน

คนจุดโคมบนดวงดาว
มองลงมาสิ..แล้วจะเล่าเรื่องราวที่เราเคยผูกพัน

คนจุดโคมบนดวงดาว
จะร้อน หรือหนาว.. อยากให้รู้ว่ายังมีฉันเป็นเพื่อนเธอ
^^

---
ไปนอนแล้วค่ะ..
---


โดย: สีน้ำฟ้า IP: 61.7.164.5 วันที่: 19 กรกฎาคม 2550 เวลา:6:09:27 น.  

 
ค่อนข้างเชยค่ะ ยังไม่เคยอ่านเรื่องเจ้าชายน้อยเลยค่ะ ^^"


โดย: printcess of the moon วันที่: 19 กรกฎาคม 2550 เวลา:20:56:32 น.  

 
สวัสดีครับทุกท่าน
เพิ่งเสร็จงานที่ค้างคา มาสนทนายามดึก คงไม่ว่ากัน
(เชื่อมั่นว่า ต้องมีสักคนหรอกน่า ที่เริ่มต้นทำงานเวลานี้)

ยินดีต้อนรับพุกไม้ครับ ว่างก็แวะมาอีก
คนที่นี่อัพบล็อกช้า ไม่ว่ากันนะครับ

ภูเพยียไม่โกรธนะครับ
ผมไปเสียสติที่โรงเรียนน้องเขา ขอโทษที

ม่วนน้อย
ตายแล้ว ผมนึกว่าคุณเป็นผู้ชาย
ฟิล์มซิกเขียนหนังสือดีนะครับ แถมขยันอีกต่างหาก (ผมตามอ่านไม่ทันครับ)

โสมรัศมี
ยินดีครับที่ได้รู้จัก เข้ามาก็ป้อแนคำหวานแล้ว
คนขับร้องเขาฝากมาขอบคุณครับ นาน ๆ จะมีคนชม
แต่จ.ข.บ.ชักรำคาษเสียงเขาแล้วครับ เมื่อไหร่จะเปลี่ยนเพลงอัพบล็อกเสียทีก็ไม่รู้

เย้ ดีใจด้วยกะใบข้าว
ที่บ.ก.สุดเลิฟตีพิมพ์นิยายสุดรัก แถมเป็นครั้งที่สอง
แสดงว่านิยายเรื่องนี้ต้อง"ป่วนใจ"จริง ๆ อย่าถ่อมตัวนักเลย งานของเราต้องดีหละ ไม่งั้นจะพิมพ์ครั้งที่สองได้ยังไง เพราะฉะนั้น..รีบส่งไปดักรอพี่ปอนจ๋าด่วนจี๋....

กะว่าก๋าวาดสีน้ำด้วยไหมครับ
ขอบคุณที่ชอบ ผมยังผีเข้าผีออกอยู่ เขียนได้ ไม่ใช่เขียนดีหรอกครับ

ฟิล์มซิกจะไม่ยอมเปลี่ยนชื่อเรื่องเหรอ
ไม่ค่อยชอบชื่อนั้นเลยนะ มันนึกไปประมาณบัวไร
เสียดายตีมมันออกโรแมนติก ก็ตามใจคนเขียนชอบก็เอาเหอะ
แต่-ได้โปรดเขียนช้า ๆหน่อยได้ไหม(ตั้งเป็นชื่อเรื่องได้นะเนี่ย) อ่านไม่ทันจ้ะ

ปลายแปรง
ไม่นานเกินรอ-รอหื้อหายเหม็นน้ำปู๋ก่อน หึ หึ
(จวนแล้ววววววว)

รุ้งสีที่แปด -p_tham
ขอบคุณแทนซีแมน (คงง่วนอยู่กับการต่อเรือโนอาห์ลำใหม่อยู่...)

กวิสรา
ใช่ โลกยังคงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ
ฟังเพลง 500 ไมล์ เสียงร้องของโจน เบซ เพราะสุดจ้ะ

สีน้ำฟ้า
หน้าแรกก็เปลี่ยนไปเรื่อยเหรอ ไม่นา ...
เห็นกลอนสีน้ำฟ้าอีกครั้งชื่นใจจัง
ไปกวนกาละแมเสียตั้งนาน
แท้แล้วชอบน้ำตาลลอยแก้ว

ราชินีพระจันทร์
ไม่เห็นเป็นไร ไม่จำเป็นที่จะต้องอ่านหนังสือตามใคร อ่านที่เราชอบเถอะค่ะ
แต่-เพลงชุด"ราชินีพระจันทร์"ของนรี-กระจ่าง
ฟังยังเอ่ย(หูย-นานนนนนแล้ว ไม่น่าถามเนาะ)



โดย: สัญจร ดาวส่องทาง วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:2:11:25 น.  

 
ตายแล้ว!!! (ตกใจยิ่งกว่าค่ะ)
นึกว่าม่วนน้อยเป็นชายได้ไงล่ะคะนี่...


โดย: ม่วนน้อย IP: 202.44.136.50 วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:15:18:20 น.  

 
ได้ยินเสียงจ้ะ(ขำขำ)
หนังสือของเจ้าชายน้อยเล่มนั้นดูเหมือนชื่อ
มองโลกในแง่เหงา ยังพอหาได้นะ ถ้าด้อมๆ
"ม่วนน้อย" นามนี้ตั้งใจหมายถึง"สนุกน้อย" (ภาษาเหนือ
ม่วน-สนุก) หรือว่าไม่เกี่ยวเลย มาจากหนังจีนกำลังภายใน
(ม่วนมาก-มาก)


โดย: สัญจร ดาวส่องทาง วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:20:29:08 น.  

 
สวัสดีคืนฟ้าสีเทา ดาวเศร้า และเดือนเสี้ยวค่ะพี่ปอน

ที่ราบสูง ไม่มีประภาคารและไม่มีโคมค่ะ
มีแต่สปอรตไลท์

55นี่แน่ะ


โดย: นกแสงตะวัน วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:21:08:27 น.  

 
พี่ปอนจ๋า
ได้ข่าวมาวันที่ 29 พี่จะไปอยู่ที่สวนลุมพินี ตอนนี้หนูกำลังขอพร...ขอให้ตัวเองไปได้ หนูจะได้เอานิยาย"ป่วนใจ"ให้พี่ปอนจ๋า กะมือไงคะ พี่ปอนจ๋าคิดว่าหนูจะกล้าทำมั้ยอะคะ คิกๆๆ
เพราะคราวก่อนที่ขอลายเซ็นพี่ได้ ตื่นเต้นแทบตายตอนที่พี่ปอนจ๋าอยู่ใกล้ๆอะ (แถมมีตัวป่วนอีกตะหก นึกถึงแล้วอยากจับพี่นาวินทร์มากินซะให้หนำใจ หุหุ)
หวังว่าโชคชะตาจะมีเวลาให้เราได้พบกันอีกนะคะ


โดย: ใบข้าว IP: 58.9.40.87 วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:0:11:17 น.  

 
อ้อๆๆๆ ฝากบอกว่าหนังสือ"มองโลกในแง่เหงา"น่าจะหาได้ที่บูธของสำนักพิมพ์อักขระบันเทิง งานสัปดาห์หนังสือเด็กที่กะลังจะมีขึ้นเค้าไปร่วมแจมด้วยเน้อ
ถ้าจะให้ดี หยิบหนังสือของใบข้าวขึ้นมาดูด้วยก้อดีเน้อ...มะซื้อหามะว่ากัน แค่อยากมีตัวตนในสายตาบ้างก้อเท่านั้นเองค่ะ งุงิ...งุงิ


โดย: ใบข้าว IP: 58.9.40.87 วันที่: 21 กรกฎาคม 2550 เวลา:0:15:38 น.  

 
ขอเป็นกำลังใจให้แก่ทุกท่านที่ทำหน้าที่อันมีความหมายของตัวเองอยู่ อย่างเดียวดาย

แม้หน้าที่นั้นจะไม่ได้มีประโยชน์กับตัวเองเลย

"มันเป็นหน้าที่"

"หน้าที่ก็คือหน้าที่"

คำพูดของคนจุดโคมที่สั้นๆแต่ได้ใจความ

ชาบคนจุดโคมในเจ้าชายน้อยที่สุด


โดย: อ้วน IP: 125.26.150.186 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:21:22:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สัญจร ดาวส่องทาง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




บ้านความรัก พิบูลศักดิ์ ละครพล w e l c o m e t o P i b u l s a k L a k o n p o l' B l o g s
"พิ บู ล ศั ก ดิ์ ล ะ ค ร พ ล" มีคนถามพิบูลศักดิ์ ละครพล ว่า คุณเป็นอะไรแน่ ? นักเขียน กวี นักดนตรี คนเขียนรูป คนขายฝัน เขาตอบยิ้มๆว่า "ผมเป็นอย่างที่ผมเป็น"....
.............................
"วัยฝัน วันเยาว์"....... เด็ก ๆ จะสร้างบ้านขึ้นด้วยปุยเมฆ เล่นกับก้อนหินที่เก็บมาจากชายหาด เก็บเอาวิชาเลขคณิตไว้ในกระเป๋ากางเกง และฉีกกระดาษสมุดจดงาน มาพับเป็นเรือกระดาษล่องแม่น้ำ....
..........................
"บ้านดวงใจ" นวนิยายที่ทำให้ทุกหัวใจอิ่มเอม และเต็มไปด้วยความสุข เรื่องราวของความรัก ความผูกพันระหว่างพ่อกับลูกสาว ที่ไม่ต้องบอกว่า "รัก" ด้วยคำพูด ....
............................
"ชูมาน" กาลเวลานั้น ไม่สามารถลดทอน ความสวยงาม น่ารัก เหงา เศร้า และสะทกสะเทือนใจ ของนวนิยายเรื่องนี้ได้เลย....
..............................
"ขอความรักบ้างได้ไหม"..... ระหว่างหญิงหนึ่งชายสองที่มาพบกัน มีชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในช่วงสั้นๆ จากฤดูร้อนที่ทองกวาว ฉายฉานเต็มท้องฟ้า ถึงฤดูฝนที่เต็มไปด้วยเมฆสีเทาทึบ ล้วนเป็นคนที่มีหัวใจแตกร้าวมากับครอบครัว..
.....................................
"คือวารวันอันแสนอุ่น" ห้วงความรู้สึกอันงดงามในวันวาน ระหว่างฉันกับผู้ที่ฉันศรัทธา มิตรสหายอันเป็นที่รัก น้องๆในวงการนักเขียน และเพื่อนร่วมร้องรำทำเพลง ....
.......................................
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
13 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สัญจร ดาวส่องทาง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.