วูบวาบกายร่ายร้องทำนองหวน
ทำนองโหยไห้หึกสำนึกครวญ
สำเนียงคร่ำร่ำล้วนแลระทม
๒. ลามระทกอกว่าน้ำตาหลั่ง
น้ำตาล้นหม่นขังห้วงใจขม
หัวใจขาดบาดร้าวเพียงเศร้าซม
เพียงสุดสิ้นจินต์ข่มเหมือนตรมตาย
๓. เมื่อตรมติดจิตให้อาลัยแล้ว
อกลุลาญป่านแก้วมณีสลาย
มโนสลดสั่นพร่างแทบวางวาย
เทวษหวาดหวีดหวายสะอื้นฟัง
๔. สะอึกฝืนกลืนกล้ำกำสรวลสู่
กำสรดเศร้าอดสูผู้อยู่หลัง
ผ่านยินแล้ววิปโยคโศกประดัง
สุดเปล่าดายคล้ายดั่งอกพังครืน
๕. โอ้ผ่านคราวร้าวเพียงสำเนียงหวน
เสียงนั้นโหยไห้ครวญปั่นป่วนฝืน
ปิ้มป่านแฝงแยงย้ำจิตกล้ำกลืน
จนเกลือกกลับคับขื่นทุกข์ขื่นคราง
๖. ถึงขื่นครวญฟูมฟายพร่าพรายเนตร
พรั่งพรูนองดั่งเศษหยาดเพชรพร่าง
หยาดเพชรพราวร้าวไหลใจเลือนราง
จากลาร้างลับสู่.. ธุลีดิน ๚ะ๛
โดย หลวงศรีปรีชา (เซ่ง) ผู้คิดประดิษฐ์กลบทนี้
จากตำรากลบท ศิริวิบุลกิตติ์ หน้า ๑๗ ลำดับที่ ๑๑
๐ อันเรื่องราวท้าวยศกิติ์จอมอิศเรศ
เจ้าอัมราเรืองเดชดวงเจตสมาน
จิตรเสมอเหมือนมหาสุธาธาร
สุดที่เทียบเปรียบปานพระหฤทัย
เพราะเหตุท้าวปรากฏในทศมิตร
นอกทุกเมืองเรืองฤทธิ์พิสมัย
พวกสมัครกุลาพม่าไทย
พวกมอญเทศเพศไสยแขกไซแซม
เข้าซักซ้อมพร้อมหน้าเป็นข้าบาท
ปานขอบเบื้องบทราชฉลาดแหลม
เฉลียวเหลือเชื้อฝรั่งอังกฤษแกม
ออกเกรงการหมายแนมนบนอบไท
หนึ่งหน่อท้าวเจ้าลาวแลเจ้าญวน
ลงใจยอมพร้อมถ้วนมีพิสมัย
มีพวกหมู่วิลันดาเข้ามาใน
ขึ้นเมืองน้อมจอมไททั้งจีนพราหมณ์
ทั่วใจพร้อมน้อมกรต่างอ่อนเกศ
ต้องเอากายหมายเป็นเขตพระมิ่งสนาม
ไพร่มุ่งสนองปองรักษ์ภักดิ์ใจความ
เพิ่มจิตรต่อหน่อนามพระจักรา ฯ
๑-----------------------๑