มิตรภาพใหม่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้แล้วค่ะ
<<
กรกฏาคม 2550
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
5 กรกฏาคม 2550

ก้าวแรกของมะระหวานในต่างแดน

ขอย้อนหลังไปเมื่อ ๖ ปีก่อนนะค่ะ

หลังจากที่เข้าพิธีแต่งงานเรียบร้อยแล้ว

เราต้องยื่นเรื่องขอวีซ่าถาวรเพื่อย้ายตามไปอยู่กับคุณสามี

คุณสามีเป็นคนไทยที่อยู่ประเทศอังกฤษ

จนได้ซิติเซ่นเรียบร้อยแล้ว

วันที่ทางสถานทูตอังกฤษนัดสัมภาษณ์ก็มาถึง

มีคนไปรอสัมภาษณ์กันเยอะมาก

คิวของเราคือเวลาบ่าย ๓ โมง

เราไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ค่ะ นั่งรถไฟฟ้าแค่ ๑๐ นาทีก็ถึงแล้ว

เลยไปนั่งรอตั้งแต่บ่ายโมง อิอิ ไปนั่งสังเกตการณ์ค่ะ

แต่ละคนเดินออกจากห้องสัมภาษณ์ หน้ามุ่ยออกมาเลย

“โด่เอ้ย ไม่ไปก็ได้วะ นึกว่าอยากจะไปอังกฤษหรือไง”

“แหม อะไรกันนักกันหนาก็ไม่รู้ ขอกี่ทีกี่ทีก็ไม่ผ่าน”

ยิ่งทำให้ใจเราเริ่มฝ่อไปเรื่อยๆ ถ้าสัมภาษณ์ไม่ผ่านจะทำไงละเนี่ยะ

ในที่สุด เวลาที่รอคอยก็มาถึง

“เจอกันครั้งแรกที่ไหน กี่โมง”

เฮ้ย ทำไมถามเจาะลึกขนาดนี้นะ ใครจะจำได้เนี่ย

“ที่บ้านเค้ามีพี่น้องกี่คน”

“เค้าทำงานอะไร ที่ไหน”

“เค้าเกิดวันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร ปีไหน”

ก็ถามไปเรื่อยๆ ดีที่เอกสารเราแน่นปี๊ก

มีทั้งทะเบียนสมรส รูปแต่งงาน อีเมล์ที่เราเขียนถึงกัน

ทุกอย่างเลยผ่านไปได้ด้วยดี

เหลือเวลาอีกไม่กี่อาทิตย์ที่เราต้องบินไปหาคุณสามีแล้วสิเนี่ยะ

อย่ากระนั้นเลย หาอะไรเรียนติดตัวด้วยดีนะ

ไปเรียนภาษาดีกว่า เอาแบบเร่งรัดเลย

(ตอนหลังมาคิดได้ว่า น่าจะเรียนแกะสลักผักผลไม้ดีที่สุด)

คุณสามีบอกว่า ไม่ต้องเรียนหรอก เสียเวลา

เฮ้ย ไม่เรียนได้ไง ภาษาอังกฤษเราไม่กระดิกเลยนะ

ว่าแล้ว เรียนที่อังกฤษเพื่อคุณ ดีกว่า กำลังมาแรง

โฆษณาไว้เพียบ ท่าทางน่าจะเป็นเร็วแฮะ

ขึ้นรถไฟฟ้าทีไร ก็เจอโฆษณาทุกที

เสียเงินไปหมื่นกว่า สบายใจเฉิบเลย

จำได้ว่าไปเรียนซะตึกหรูเชียว

ขึ้นไปเนี่ยะ ให้ฟังแต่เทปจากซีดีพร้อมคอมคนละตัว

ให้ออกเสียงตาม มีคุณป้ามาสอนอยู่ข้างๆ

“ตายๆ ออกเสียงแค่นี้ก็ทำไม่ได้เหรอ”

“ต๊าย จบอะไรมาเนี่ยะ”

พูดจนเรารู้สึกแย่มากๆ เสียกำลังใจไปเยอะมาก

เลยเลิกไปเลย เอาแค่เทปมาฟังเองที่บ้าน

คุ้มมั้ยเนี่ยะ กับเงินหมื่นที่เสียไป

เวลาก็กระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ

กลางวันก็ต้องรีบเร่งทำงานที่ค้างไว้

และต้องสอนงานคนที่จะดูแลงานแทนเราอีก

จากงานที่เราทำคนเดียว ต้องกระจายให้คนอื่นทำ

ตกเย็นก็ออกไปชอปปิ้งหาซื้อของที่จะเอาไปใช้ที่นั่น

ดึกหน่อยก็ตระเวณร่ำลาญาติผู้ใหญ่

บางท่านก็ให้กำลังใจดีมาก

บางท่านก็พูดไปร้องไห้ไป

“จะไปอยู่ไหวเหรอ แล้วไปโน้นจะทำไรกินล่ะ”

เราก็พยายามพูดติดตลกว่า

“ก็ไปเรียนภาษาก่อน แล้วก็หางานล้างจานทำไปด้วย”

“ยังไงไม่ไหวก็ชวนแฟนย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยนะ

มาช่วยพี่ๆเค้าดูแลกิจการเหมือนเดิม”

พูดถึงตรงนี้แล้วนึกถึงพี่ชายที่แสนดี

วันที่จะเดินทาง พี่ๆน้องๆเพื่อนๆตามมาส่งกันเต็มดอนเมือง

พี่ชายแอบยื่นซองขาวมาให้

“เฮ้ย อะไรอ่ะ ชั้นลาออกแล้วยังจะมายื่นซองขาวให้อีก”

“เฮ้ย ไม่ใช่อย่างนั้น เอาซองนี่ติดตัวไว้และห้ามเอาออกมาใช้นะ”

พอเราแกะดู ในนั้นมีเงินเกือบพันปอนด์ได้

“เฮีย เอามาให้เราทำไมอ่ะ ตั้งเยอะแยะ”

“เออ เอาแอบๆไว้ ไม่ต้องบอกแฟนเอ็งด้วยนะ

เผื่ออีกหน่อย เค้าไม่ดีกับเอ็ง ๆ ก็ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับมาเลยนะ”

น้ำตาไหลตรงนั้นเลยเรา

ทุกวันนี้ ซองนั้นก็ยังวางแอบไว้ในซอกตู้เสื้อผ้า

เรารู้ว่าเค้าเป็นห่วงเรามาก ที่ต้องมาเริ่มชีวิตใหม่ในต่างแดน

แล้วในที่สุดเราก็มาถึงอังกฤษ ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่หมด

อันดับแรก คุณสามีพาไปลงทะเบียน GP แถวบ้าน

อันดับต่อไปคือไปหาที่เรียนภาษา
เอาแบบเรียนฟรีอ่ะ เป็นของรัฐบาล
มีคนต่างชาติเรียนกันเยอะมาก
คนที่แต่งงานกับคนอังกฤษจะได้เรียนฟรี
พอดีคุณสามีถือพาสปอร์ตอังกฤษ เราเลยได้เรียนฟรี
ที่ห้องเรียนจะมีนักเรียนประมาณ ๑๕ คนได้
มีทั้งคนจีน โปแลนด์ แขก เวียดนาม
เรียนอาทิตย์ละ ๒ วัน ๆ ละ ๒ ชั่วโมง
จำได้ว่า ตอนใหม่ๆนี่ เกลียดการขึ้นรถเมล์มาก
เพราะเราบอกชื่อถนนที่จะไปปลายทาง
คนขับฟังไม่เคยรู้เรื่องสักที
นี่คืออุปสรรคแรกของเราจริงๆ

ต่อจากนั้นก็เริ่มหางานทำ
เรากับคุณสามีตั้งใจแล้วว่าจะเปิดร้านเทคอะเวย์เล็กๆกัน
แต่ตอนนี้ขอสะสมประสบการณ์ก่อน
ไปสมัครงานร้านไทยมา ๒ ที่ ไม่มีใครรับเลย
เพราะความที่ว่า ภาษาเราไม่เอาไหนเลย
เค้าไล่ให้ไปเรียนภาษาก่อน
ช่วงที่ไม่ได้ทำงาน อยู่บ้านไปวันๆ
ดูทีวีทุกช่อง พยายามที่จะฟังภาษาให้เข้าใจ
ช่วงนั้นรู้สึกแย่มากๆ ไม่เคยอยู่เฉยๆ โดยที่ไม่ได้ทำงาน

หลังจากที่ว่างงานมาได้ ๒ เดือน
เราก็ได้ทำงานที่ผับแห่งหนึ่ง จากคำแนะนำของเพื่อนคุณสามี
กลางคืนเค้าจะขายอาหารไทยโดยมีคุณป้านงเป็นผู้รับเหมา
เราได้ทำในครัว อาทิตย์ละ ๒ วันด้วยค่าจ้างคืนละ ๒๐ ปอนด์
ซึ่งงานก็ไม่มีอะไรมาก มาถึงร้านก่อน ๕ โมงเย็น
ยกของจากชั้นใต้ตินขึ้นมา ซึ่งบันไดเล็กและแคบมาก
เดินตกบันไดไปไม่รู้กี่รอบ จัดของในครัว เตรียมความพร้อม
หุงข้าว หั่นผัก เตรียมซอสต่างๆ ระหว่างที่ไม่มีลูกค้า ก็ห่อเปาะเปี๊ยะ
แกะเปลือกกุ้ง เปลือกกระเทียมบ้าง มีจานให้ล้างก็ต้องล้าง
สุดแต่ว่าจะมีอะไรให้ทำบ้าง
หลังเลิกงานก็ต้องเอาของลงไปเก็บเข้าที่เดิม
เป็นนางในครัวค่ะ ไม่เคยได้โผล่หน้าออกไปเสริฟ์

จำได้ว่าอาทิตย์แรกๆ นี่ นิ้วมือจะมีแผลจากการโดนมีดบาดเยอะมาก
ต้องคอยหลบไม่ให้คุณสามีเห็น
บรรยากาศในครัวก็โอเคนะค่ะ
แต่มีอยู่อย่างที่รับไม่ได้เลยคือ
เค้าจะใช้ภาษาพูดกันหยาบมากๆๆๆๆ
กลัวว่าวันหนึ่งเราจะติดคำพูดหรือคำอุทานที่หยาบๆ
อาหารพนักงานนี่สิ สุดทนจริงๆ
ทั้งร้านจะมีคนทำงานแค่ ๓ คนเท่านั้น
คือ แม่ครัว ป้านง และเรา
ป้านงจะชอบทำแกงสารพัดผักมากๆ
ซึ่งก็เป็นเศษผักที่เหลือจากการหั่นผัก
เช่น โคนเห็ดบ้าง ก้านบล็อคโคลี่บ้าง
ซึ่งป้านงจะให้เก็บทุกครั้งที่เราหั่นผัก
ในใจก็นึก นี่เหรอ อาหารเย็นของเรา
วันไหนเชฟหั่นเนื้อไก่
วันนั้นก็จะมีโอกาสได้ทานเศษไก่
วันไหนที่มีการอบเป็ดย่างไว้ขาย
วันนั้นจะได้ทานก๋วยเตี๋ยวเป็ดกัน
แต่หาเนื้อเป็ดแทบไม่เจอเลย มีแต่โครงเป็ดเท่านั้น
เนื้อวัว เนื้อหมู อาหารทะเล นี่ไม่ต้องไปคิดเลยว่าจะได้ทาน
น้ำดื่มก็ต้องซื้อเองที่ร้านไม่มีน้ำให้

แรกๆ เราก็รับไม่ได้นะ
อยู่เมืองไทยไม่เคยต้องมานั่งกินอะไรแบบนี้เลย
บ่อยครั้งที่เราต้องมานั่งคิดว่า

ทำไมชีวิตมันรันทดอย่างนี้นะ

ไม่กล้าที่จะเล่าให้ที่บ้านฟัง

กลัวเค้าจะยิ่งเป็นห่วงและคิดมาก

ถือว่าเราเลือกที่จะเดินมาทางนี้แล้วนี่ยังไงก็ต้องทนเอา

การมาอยู่ที่ต่างแดน ทำให้นิสัยเราเปลี่ยนไปมากๆ

จากเป็นคนที่ชอบใช้ของแบรนด์เนม

เดี๋ยวนี้ อะไรก็ได้ ขอถูกไว้ก่อน

สมัยอยู่เมืองไทย เวลาเดินซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต

อันไหนราคาถูกจะไม่หยิบเลย

เพราะคิดเสมอว่า ของแพงคุณภาพย่อมดีกว่า

แต่พอมาอยู่ที่นี่ เงินทุกเพนซ์มีค่าสำหรับเรามาก

เวลาจะซื้ออะไรแต่ละอย่าง เทียบราคาอยู่นั่นแหละ

ต้องคอยสังเกตว่ามีอะไรลดราคาบ้าง

เราทำงานอยุ่กับป้านงได้ไม่ถึงปี

ทางผับปิดกิจการไป

ทุกคนต้องแยกย้ายกันออกไป

เราเริ่มมองหาลู่ทางที่จะเปิดร้านเองบ้าง

ตระเวณดูร้านไม่ต่ำกว่า ๑๐ ร้านได้

แรกๆก็ดูรอบๆลอนดอนก่อน แต่ค่าใช้จ่ายสูงเหลือเกิน

เริ่มกลับมาคิดกันใหม่ว่า ลองออกมาดูรอบนอกๆกันบ้างดีกว่า

กว่าจะเจอร้านมะระหวานก็เสียเวลาไปร่วมปีกว่าๆได้

หลังจากที่เจรจาต่อราคากันเรียบร้อยแล้ว

เราต้องทำเรื่องกู้แบงค์ที่นี่ในการซื้อร้าน

ขั้นตอนแรกที่ต้องทำคือ จ้างคนทำบัญชีเขียนแผนการลงทุน

เพื่อที่จะไปเสนอผู้จัดการแบงค์

แบงค์ที่นี่ยอมให้กู้ ๗๐ เปอร์เซ็นต์

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณต้องมีเงินในบัญชีมากกว่า ๓๐ เปอร์เซ็นต์แสดงในเค้าดู

เพื่อที่เค้าจะได้เห็นว่า คุณยังมีเงินเหลือพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการแต่งร้าน

ที่นี้ มีปัญหาแล้วสิ เงินในบัญชีไม่พอ

เงินเราก็อยู่ที่เมืองไทย จะถอนก็ไม่ได้

จะยืมเงินใครละที่นี้ มองไปรอบๆตัว

ทางคุณสามีนี่ ตัดทิ้งไปได้เลย

เพราะพี่น้องเค้ารู้ว่า เราจะทำร้านอาหารกัน

เค้าก็ไม่สนับสนุน บอกเป็นลูกจ้างเค้าดีที่สุด

แถมยังแอบมาบอกเราอีกว่า

“ทำร้านต้องใช้เงินลงทุนเยอะนะ

ยังไงก็บอกคุณสามีด้วยนะ ว่า

อย่ามายุ่งเงินของคุณพ่อ”

ซึ้งจนน้ำตาเล็ดเลยค่ะ

สุดท้าย ก็ต้องโทรไปหาพี่ชายคนเดิม

เงินเข้าบัญชีทันทีในเช้าวันรุ่งขึ้น

หลังจากแบงค์อนุมัติเงินกู้เรียบร้อยแล้ว

ก็รอวันทำสัญญาด้วยใจระทึก

เพราะที่นี่ คนซื้อ คนขาย สามารถเปลี่ยนใจได้ตลอดเวลาจนกว่าจะถึงวันทำสัญญา

ระหว่างที่รอ เราก็นั่งคิดชื่อร้านบ้าง คิดรายการอาหารบ้าง

จดรายการของที่ต้องซื้อ ทำไว้แต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ยุ่งมากนัก

เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เครียดและมีความสุขที่สุดค่ะ

เครียดคือ ไม่รู้ว่าร้านจะได้มั้ย คนขายจะเปลี่ยนใจหรือป่าว

เพราะถ้าเค้าเปลี่ยนใจ ก็หมายถึงว่า เราต้องเริ่มมองหาร้านใหม่อีก

ซึ่งกว่าจะได้ร้านที่ถูกใจ เราต้องเสียเวลาและเงินไปเยอะมาก

ถ้าเจอร้านที่ถูกใจแล้ว เราก็ต้องสำรวจการตลาดของบริเวณนั้น

ว่า มีร้านอาหารเยอะมั้ย มีร้านไทยบ้างหรือป่าว

ถ้ามี ๆ ประมาณกี่ร้านที่อยู่ในเมืองนั้น ระยะห่างกันมากมั้ย

ไปสำรวจว่าวันไหนร้านจะเงียบสุด จะมีลูกค้าประมาณกี่คน

ดูกระทั่ง ราคาอาหารของร้านส่วนใหญ่ว่า เค้าตั้งอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ต่อหัว

เพื่อที่เราจะได้คำนวณคร่าวๆ ได้ว่า เราควรจะตั้งราคาอาหารที่เท่าไหร่

สำรวจเส้นทางระหว่างร้านกับแหล่งที่จะซื้อวัตถุดิบว่าอยู่ไกลกันแค่ไหน

สามารถสั่งของไทยได้ที่ไหนบ้าง เค้าส่งของเข้าวันไหนบ้าง

ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการคำนวณต้นทุนอาหารมากๆ

อันนี้เป็นวิธีการของเรานะค่ะ อาจจะดูเสียเวลามากๆนะค่ะ

แต่ก็เป็นผลดีกับเรานะค่ะ รู้มาก ดีกว่า ไม่รู้อะไรเลย

ส่วนเวลาที่มีความสุขคือ เป็นเวลาที่เรากับคุณสามีพูดคุยปรึกษากันตลอด

คุยกันได้ทั้งวันทั้งคืน จำได้ว่า เวลาคุยอะไรกัน

จะต้องมีกระดาษ ปากกา อยู่ข้างๆเผื่อนึกอะไรได้ก็จด

คุยถึงร้านในอนาคตอันใกล้ของเรา ทำไมรู้สึกมีความสุขก็ไม่รู้สิค่ะ

เราเคยคุยกันแล้วว่า เราจะทำร้านให้ดีที่สุด ถ้าประสบความสำเร็จก็ถือว่าโชคดี

ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็ถือว่า เราทำดีที่สุดแล้ว

เรายังไม่แก่กันมากนัก ถ้าล้มก็ยังพอมีแรงที่จะลุกขึ้นมาใหม่

สิ่งที่สำคัญคือ กำลังใจที่มีให้แก่กัน เท่านั้น

ระหว่างที่ยังไม่ทำสัญญา เราก็ต้องบินกลับมาเมืองไทย

เพื่อเตรียมซื้อจาน ชาม ช้อนที่จะใช้ในร้าน

ชุดไทยสำหรับพนักงานเสริฟ์

รวมทั้งของแต่งร้านแบบประหยัดและดูดีที่สุด

เงินทองที่เก็บไว้ก็เริ่มเหลือน้อยลง

ทุกอย่างต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังที่สุด

ไหนจะต้องกันเงินไว้เพื่อซื้ออุปกรณ์ในครัวอีก ซึ่งต้องใช้เงินอีกเยอะมาก

หลังจากทำสัญญาซื้อขายกันเรียบร้อยแล้ว

ทางทนายโทรมาแจ้งให้ไปรับกุญแจบ้านได้

พี่ชายบอกได้ดูฤกษ์เข้าบ้านให้

วันดีคือ อีก ๑ อาทิตย์ หลังจากวันทำสัญญา

อีกตั้ง ๑ อาทิตย์ ช้าไป เราอยากรีบทำร้านเร็วๆ

นี่ต้องเตรียมย้ายของอีก ระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ

ต้องขับรถ ๖ – ๗ ชั่วโมง ขอย้ายของเข้าไปก่อน

แล้วค่อยหาฤกษ์ดีๆ เป็นวันเปิดร้านแล้วกัน

คุณสามีเลยขอยืมรถตู้ของเพื่อนมาใช้ขนของบางส่วน

เราขนของที่จะแต่งร้านไปด้วย เผื่อต้องให้ช่างที่นั่นดู

พยายามเอาของไปมากที่สุดเท่าที่จะขนไปได้

เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขนของหลายรอบ

เครื่องดูดฝุ่น ทีวี ข้าวของ เครื่องใช้ต่างๆ

ถูกบรรจุลงกระเป๋า และกล่องหลายใบ

เพื่อความสะดวกในการขนย้าย

ช่วยกันแพคของทั้งคืนกับคุณสามี

เช้าวันรุ่งขี้นก็ออกเดินทางจากบ้าน
มาถึงร้านก็เย็นมากแล้ว รีบช่วยกันขนของลง

เพราะใกล้จะมืดแล้ว กว่าจะเสร็จ ทำเอาเรากับคุณสามี

แทบจะหมดแรงกันไปเลย

ตั้งแต่เช้า ข้าวยังไม่ตกถึงท้องเลย

ว่าแล้ว ก็ออกไปหาอะไรทานในเมืองก่อนดีกว่า

กลับมาบ้านอีกที ก็ตกใจสุดขีด เมื่อพบว่า
ของทุกอย่างที่เราขนกันมา หายเรียบไปหมด

ข้าวของเครื่องใช้รวมทั้งเสื้อผ้าหายไปหมด

ของที่แพคอย่างดีเพื่อสะดวกในการขนย้าย

กลับกลายเป็นว่า สะดวกในการขโมยของเจ้าหัวขโมย

เราทำอะไรไม่ถูก ลงไปนั่งทรุดอยู่กลางบ้าน

ทำไมเราช่างโชคร้ายจังนะ

ทำไมเราไม่เชื่อฤกษ์วันเข้าร้านนะ

ทำไมอุปสรรคมันเยอะจังนะ

เรากับคุณสามีตัดสินใจกลับบ้านทันที

มาถึงบ้านก็เช้าพอดี เหนื่อยก็เหนื่อย เพลียก็เพลีย

แต่ไม่สามารถหลับตาลงได้ ตาค้างกันทั้งคู่

เราต้องลุกขึ้นมาโทรหาพี่ชาย ๆ บอกว่า

“ไม่ต้องคิดมาก คนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

“เฮ้ย ไม่คิดมากได้ไงอ่ะ มันเอาของไปหมดเลย

วันนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาเสื้อผ้าที่ไหนใส่”

“เออน่า ถือว่า ทำบุญล้างซวย ก่อนเปิดร้าน แล้วกัน

ที่สำคัญ คนไม่เป็นอะไร ก็โอเคแล้ว

แล้วนี่ ขาดอะไรบ้างล่ะ จะส่งไปให้”

“ขาดหมดทุกอย่างเลย ของที่ซื้อจากเมืองไทย

มันก็เอาไปด้วย เงินก็ไม่มีเหลือแล้ว

เราเอากระเป๋าตังค์ทิ้งไว้ที่ร้าน มันก็เอาไปด้วย”

“ลิสต์รายการมาแล้วกัน จะไปหาซื้อให้

แล้วก็ไปนอนเลยนะ จะได้มีแรง

บอกคุณสามีด้วยละว่า อย่าคิดมาก”

“ขอบคุณมากนะเฮีย ๆ ทำบัญชีด้วยนะ

ว่า เราเป็นหนี้เท่าไหร่”

“เออ ไม่ต้องห่วงหรอก ตรูจดแน่ ไปนอนได้แล้ว”

“เออ นี่ๆๆ เกือบลืมไป เฮียช่วยไปดูวันเปิดร้านให้หน่อยสิ”

“๕๕๕๕๕๕ เอ็งเชื่อเรื่องฤกษ์แล้วเหรอว่ะ”

“เชื่อไว้ ก็ไม่เสียหลายนี่เฮีย

เราจะได้กำหนดวันที่ร้านควรจะเสร็จกับช่างด้วย”

“เออ แล้วจะจัดการให้นะ ไปนอนได้แล้ว”

วันรุ่งขึ้น คุณสามีนัดเจอคุณนพ เพื่อชวนคุณนพไปทำงานด้วย

คุณนพตอบตกลงทันที แต่ขอเวลาอีก ๑ อาทิตย์

สรุปแล้ว เราเข้าร้านตามฤกษ์ที่ดูมาตั้งแต่แรกพอดี

เพราะต้องรอคุณนพขนของไปพร้อมกันทีเดียวเลย

ระหว่างที่ช่างกำลังทำร้าน

เราก็เริ่มซื้อของเข้าร้าน จากที่คิดว่าไม่น่าจะเยอะ

กลับเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนเงินแทบจะหมดบัญชี

บัตรเครดิตทุกใบของคุณสามีถูกนำมาใช้จนหมด

เงินก็ยังคงไม่พออยู่ดี

คุณสามีบอกจะลองขอยืมทางพี่น้องเค้าดู

ไม่อยากรบกวนพี่ชายเราอีกแล้ว

เพราะเค้าให้ยืมมาเยอะแล้ว

พี่ชายคุณสามียินดีให้ยืมเงินจำนวนหนึ่ง

แต่ต้องจ่ายคืนภายใน ๓ เดือน

พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ ๒ ต่อเดือน

น้องคุณสามีให้ยืมอีกจำนวนหนึ่ง

โดยไม่คิดดอกเบี้ยอะไร

แต่ก็ต้องคืนภายใน ๓ เดือนเช่นกัน

จำได้ว่า วันที่ร้านเปิด พี่ชายคุณสามีโทรมาแสดงความยินดี

พร้อมทั้งขอให้เลื่อนกำหนดวันชำระเงินเป็นอาทิตย์หน้า

ภายหลังทราบมาว่า เค้ากลัวเราจะไม่มีเงินจ่าย

เพราะถ้าหากร้านเราขายไม่ดี

เค้าคิดว่า เค้าอาจจะไม่ได้เงิน

เลยเร่งวันชำระเงินให้เร็วขึ้น

ร้านก็เพิ่งเปิด ยังไม่มีโอกาสได้เก็บเงินเลย

สุดท้ายก็ไม่พ้นพี่ชายเราอีกนั่นแหละ

ทีแรกไม่กล้าบอกพี่ชายว่า ทางนั้นเค้าคิดดอกเบี้ยด้วย

เพราะไม่อยากให้พี่ชายมองเค้าในทางลบ

แต่ดูเหมือนไม่แฟร์สำหรับเค้าเท่าไหร่นัก

คุณสามีเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งให้บอกพี่ชายเรา

ไม่ต้องกลัวว่า เค้าจะอายที่พี่น้องเค้า ไม่เหมือนพี่น้องเรา

เราเลยต้องบอกเค้าไปว่า

“เฮีย คิดดอกด้วยนะ เพราะทางนั้นเค้าคิดคอก”

“เฮ้ย ดอกอ่ะเรื่องเล็ก เงินต้นสิเรื่องใหญ่ ๕๕๕๕๕๕

จ่ายดอกให้พี่เค้าเต็มๆไปด้วยแล้วกัน เค้าจะได้ไม่มาว่าทีหลังได้

แล้วทีหลังห้ามมาพูดเรื่องดอกกับเฮียนะ เคืองว่ะ”

เราจ่ายหนี้ทุกอย่างหมดภายใน ๒ ปี

คงไม่ต้องสงสัยนะค่ะ ว่า เจ้าหนี้คนสุดท้ายที่ได้รับการชำระหนี้คือใคร

ก็พี่ชายคนนี้เองค่ะ หลังจากที่จ่ายเงินคืนน้องคุณสามีหมดแล้ว

เราก็เริ่มเก็บเงินเพื่อทยอยใช้คืนพี่ชายเรา

“เออ เฮีย เราพอมีเงินบ้างแล้ว จะทยอยใช้หนี้นะ”

“เออ ยังไม่ต้องรีบจ่ายหรอก เอาไปจ่ายหนี้ที่ต้องเสียดอกก่อน

พวกบัตรเครดีตยังจ่ายไม่หมดไม่ใช่เหรอ”

“เออ แต่เราเกรงใจเฮียอ่ะ พวกบัตรเครดิตเรายังค่อยๆจ่ายได้”

“จ่ายบัตรให้หมดก่อนแล้วกัน ดอกมันแพง

เฮียยังไม่รีบใช้ เอาไว้จะใช้แล้วจะบอกแล้วกัน”

“ขอบคุณมากนะ เฮีย”

เราเคยถามพี่ชายเราว่า

“ถามจริงๆนะว่า เวลาที่เราโทรไปหาแต่ละทีนี่ นึกมั้ยว่า มันจะยืมอีกเท่าไหร่นะ”

“เฮ้ย บ้าน่า เฮียไม่เคยคิดนะโว้ย เพราะรู้อยู่แล้วว่า ยังไงก็ไม่พ้นเรื่องเงิน

แล้วตรูจะเสียเวลาไปคิดทำไม ๕๕๕๕๕๕๕๕”

๕๕๕๕๕๕๕ แสดงว่ารับสายเราจนชิน ใช้ได้เลย พี่ชายเราคนนี้

และในที่สุดเราก็ได้ร้านมาจนได้ เป็นร้านเล็กๆในชนบทเหมาะกับเงินทุนน้อยๆอย่างเรา

ขั้นแรกต้องหาคนตกแต่งทำร้านใหม่ จากร้านอาหารฝรั่งเศส มาเป็นร้านไทย แทบจะต้องรื้อทุกอย่างทิ้งแล้วทำใหม่

มีเพื่อนแนะนำคนไทยให้ บอกว่าเค้ารับตกแต่งร้านทั่วราชอาณาจักร

ก็เลยเรียกเค้ามาตีราคา ซี่งเรานึกว่าจะคุยกับคนไทยง่าย แต่กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด

ให้ทำปลาสเตอร์กำแพงร้านให้เรียบจากของเดิมที่กำแพงขรุขระ เค้าก็อ้างว่าต้องใช้เวลานานนะ ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ

ให้เดินสายไฟหลบก็บอกว่าทำยาก ช้าอีก เดินแบบท่อพีวีซีก็พอ เดี๋ยวทาสีหลบเอา

สรุปแล้วขอระยะเวลาทำงาน ๒ เดือนพร้อมขอพักที่ร้านเราด้วย เค้าขอค่าแรง ๘๐๐๐ ปอนด์ ไม่รวมค่าของ

พอได้ยินราคาแทบช๊อค จะหาเงินที่ไหนมาจ่ายว่ะตรู

สุดท้ายต้องเรียกคนอังกฤษมาตีราคา เวลาเริ่มเหลือน้อย อยากเปิดร้านเร็วๆ เงินก็เริ่มจะเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
บอกเค้าว่า อยากจะเปิดร้านภายใน ๑๕ วัน คุณมีเวลาทำแค่สองอาทิตย์นะ เค้าขอกลับไปคิดราคา ๒ วัน

ระหว่างนั้น เราก็รอลุ้นด้วยใจระทึก พอครบกำหนดแล้ว ทำไมไม่โทรอ้ะ หายเงียบเลย

ไม่เป็นไรไม่โทรมา เราโทรไปเองก็ได้ เค้าบอกว่า ให้เวลาเค้าแค่ ๑๔ วันอะ ไม่พอหรอก

เราถามว่าต้องกี่วันละ เค้าตอบกลับมาทำเอาเราแทบตกเก้าอี้

Rob คือช่างรับเหมาที่ดูเป็นคนต่างจังหวัดสุดๆ บอกว่า เค้าดูงานแล้ว ยังไง ๑๔ วันก็ไม่พอ

ต้อง ๑๕ วันนะ โอ้ มายก๊อด โอเคเลย ไอรับได้ แล้วราคาละ Rob บอกว่า ราคาจะค่อนข้างแพงนะ

เพราะไอต้อง จ้างช่างไฟมาเดินไฟหลบให้

แล้วเค้าต้องปลาสเตอร์กำแพงอีก แจงรายละเอียดของงานมาเยอะมาก

แถม มีลูกเล่นอีกว่า ยูได้ยินราคาแล้วอย่าตกใจนะ และตา Rob นี่ ก็ทำเราหงายหลังอีกรอบ

เค้าบอกว่าเค้าขอ ๓๕๐๐ ปอนด์รวมค่าของทุกอย่างแล้ว ยูโอเคมั้ย ของต้องซื้อเยอะ แพงหน่อยนะ ยูไม่
รับก็ได้นะ

ทำไมยูเงียบไปละ แหม ไม่อยากบอกเลยว่า ไอกำลังปีนขึ้นจากเก้าอี้อยู่

ทำไมราคาต่างกับคนไทยจังเลยอ่ะ คงไม่มีใครว่าเราไม่อุดหนุนคนไทยด้วยกันนะ อุดไม่ไหวอ่ะ ตกลงยู

มาทำงานพรุ่งนี้เลยนะ

ระหว่างที่เค้าทำร้านไป เราก็ต้องไปสอบใบอนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกฮออล์อีก
ถ้าสอบไม่ผ่านก็ขายเหล้า ขาย ไวน์ไม่ได้ ถ้าจำไม่ผิดก็สอบครั้งละ ๑๕๐ ปอนด์ได้
เงินก็มีน้อยไม่อยากเสียทั้งเงินทั้งเวลาอีก
ต้องอ่านหนังสือเยอะๆ กฎหมายเกี่ยวกับการขายแอลกฮออล์ ๑๐ ข้อแรกห้ามตอบผิดเลย
ถ้าผิดคือสอบตก แต่ถ้าถูกหมด เค้าจะตรวจข้อสอบอีก ๔๐ ข้อที่เหลือ
ห้ามผิดเกิน ๒๐ เปอร์เซ็นต์มั้งถ้าจำไม่ผิด
ก่อนสอบเค้าจะมีการติวให้ครึ่งวัน แล้วสอบตอนบ่ายเลย ให้ห้องมีหลายคนที่มาสอบเป็นครั้งที่สองหรือสาม
และคนต่างชาติก็เยอะ คุณสามีถามคนติวว่า ภาษาเราไม่ดี ขอเอาดิกชั่นเนรี่เข้าไปได้มั้ย
เค้าว่าอย่าดีกว่า เพราะเราอาจจะเขียนอะไรเข้าไป โดยที่เค้าอ่านไม่ออกก็ได้
ว่าแล้ว เค้าเลยกันให้คนต่างชาติมาสอบอีกห้องหนึ่ง เผื่อไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามคนคุมสอบได้
จะได้ไม่เป็นการรบกวนคนอื่น โอเคก็ดีเหมือนกัน เผื่อจะได้ลอกกันได้บ้าง
ปรากฎว่า ห้องที่เค้าแยกให้สอบนั้น เป็นห้องประชุมใหญ่มากๆ
เค้าแยกเรากับคุณสามี ให้นั่งไกลกันมาก มีคนเข้าสอบห้องนี้ประมาณ ๖ คน
จับนั่งคนละมุม แทบจะไม่เห็นกันเลย สุดท้ายทุกคนออกจากห้องหมดแล้ว
เรายังนั่งงงกับคำตอบในข้อสองอยู่ แบบว่ามันผิดไม่ได้อ่ะ
จนคนคุมสอบเค้าเดินเข้ามาถามว่า ยูโอเคมั้ย แฮะๆ ไอไม่โอเคอ่ะ
ไม่รู้ว่าข้อนี้จะตอบ เอ หรือ บี สับสนในชีวิตสุดๆ
- ยูคิดว่า เอ หรือ บี ล่ะ
- อืม ชั้นคิดว่า เอ นะ
- อืม ไอก็คิดเหมือนยู
ว้าย กรี๊ด ทำไมใจดีจังว่ะ เอาเว้ย ตรู ไหนๆก็ไหนๆแล้ว
- เอ้อ แล้วยูว่าข้อนี้ชั้นตอบถูกมั้ย ข้อนั้นล่ะ ถามจนครบสิบข้อเลย ๕๕๕๕๕
เค้าบอกว่า ยูส่งข้อสอบได้แล้ว ยูสอบผ่านแล้ว ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
รู้ผลก่อนคนอื่นอีก กลับมาด้วยความสบายใจสุดๆ
หมดด่านแรกแล้ว ยังมีเรื่องต้องทำอีกเยอะมาก
เช่น เตรียมของไว้ขายสำหรับวันเปิดร้าน ตั้งแต่สตาร์ทเตอร์ ๑๐ กว่าอย่าง
โอ้ย ใครช่างคิดเมนูว่ะ อ้อ ตรูเองนี่หว่า ว่าแล้วก็เหนื่อยต่อไป
คุณสามีเตรียมเนื้อสัตว์ทุกชนิด
ร้านใกล้เสร็จแล้ว เหลือทาสีอีกนิดหน่อย ทำไมช่างไม่ทาสีสักทีอ่ะ
ต้องสอบถามสักหน่อยแล้ว ร้านจะเปิดพรุ่งนี้แล้วนี่น่า
Rob บอกว่า ร้านยูเปิดตั้งพรุ่งนี้ ทาตอนเช้ายังทัน
เฮ้ย ได้ไงอ่ะ กลิ่นสีผสมกลิ่นอาหารไทยจะเข้ากันมั้ยเนี่ย
ยูต้องทาตอนนี้เลยนะ ชั้นจะเอาน้ำสัมสายชูมาดูดกลิ่น
แบบว่าคุ้นๆว่าจำมาจากตำราอะไรสักอย่างอ่ะ อิอิ

หลังจากที่ร้านเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

คุณสามีก็เริ่มติดต่อหาคนทำบัญชี

เพื่อที่จะช่วยทำบัญชียื่นภาษีในแต่งวด

ที่นี่ร้านอาหารจะต้องจดทะเบียนภาษี VAT

จดตั้งแต่เริ่มซื้อร้าน เพราะถ้าคนขายจะขอเลขที่ VAT จากเรา

การเสียภาษี VAT ที่นี่ จะต้องยื่นทุก ๓ เดือน

ซึ่งไม่เหมือนที่เมืองไทย ต้องยื่นทุกเดือน

VAT ที่นี่โหดน่าดูนะค่ะ 17.5%

ถึงงวดที่ต้องยื่นจ่าย VAT ทีไร หน้ามืดทุกทีค่ะ

คุณสามีบอกว่า ให้เค้ามาทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรก

จะได้ไม่มีปัญหาสะสม

หลังจากที่ติดต่อคนทำบัญชีเรียบร้อยแล้ว

เค้าก็ทำบัญชีมาให้เราได้ปีกว่า ๆ

จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้รับจดหมายจากสรรพากร

สรรพากรส่งจดหมายทวงหนี้ค่ะ

บอกว่าที่ผ่านมาเราไม่เสียภาษีเงินได้พนักงานเลย

เค้าเลยประเมินภาษีมาให้ ในราคาที่สูงโด่ง

พอติดต่อสอบถามคนทำบัญชี

เค้าบอกว่า เค้าประเมินมาผิด ๆ นะ ยูไม่ต้องวอรี่

เดี๋ยวไอจัดการเคลียร์กับเค้าเอง

สุดท้ายไม่รู้ว่ามันเคลียร์อีท่าไหน

ยอดหนี้สูงขึ้นไปอีก มีค่าปรับเพิ่มขึ้นมาอีก

ในที่สุด เราไม่สามารถติดต่อเค้าได้เลย

เค้าปิดบริษัท ปิดมือถือ หนีไปไหนแล้วไม่รู้

ต้องหอบบัญชีที่เหลืออยุ่ในมือ

ไปหาคนทำบัญชีคนใหม่ ๆ บอกว่า

มันไม่ใช่ Accountant เป็นแค่พนักงานบัญชีเฉยๆ

เฮ้ย มีงี้ด้วยเหรอ

ต้องเสียค่าชั่วโมงไปเยอะมาก

เพราะเค้าต้องรวบรวมเอกสารทั้งหมดใหม่

เพื่อไปชี้แจงกับสรรพากร ไม่ต้องเสียภาษีย้อนหลัง

“ไอมีข่าวดีจะบอกนะ ใบแจ้งหนี้ของสรรพากรเป็น ๐ แล้วนะ

ยูไม่ต้องเสียเงินหมื่นกว่าปอนด์แล้วนะ แต่ค่าเสียเวลานี่

จะแพงหน่อยนะ เพราะคนเก่าทำไว้ไม่เรียบร้อยหรือแทบจะไม่ทำอะไรเลย”

ต้องผ่อนส่งอยุ่เกือบปีจึงจะหมด

โชคไม่ดีนะค่ะ ที่เจอคนทำงานห่วยๆ

ช่วงที่เปิดร้านใหม่ๆ เรายังใช้ผ้าปูโต๊ะของร้านเดิมอยู่

ทุกคืนต้องเอามาซัก และรีดในวันรุ่งขึ้น เพราะไม่งั้นจะไม่พอใช้

ทำแบบนี้ไปได้สัก ๒ อาทิตย์เริ่มไม่ไหวแล้ว

เลยให้คุณนพติดต่อหาบริษัทที่บริการทางด้านนี้

เพราะคุณนพสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีกว่าเรา

หลังจากที่ทำสัญญากันเรียบร้อยแล้ว

ทางบริษัทแจ้งว่าจะสามารถจัดส่งผ้าปูโต๊ะ ผ้าเช็ดปากและผ้าที่ใช้ในครัว

ภายในอาทิตย์หน้าเป็นอย่างช้า

ปรากฎว่าเวลาผ่านไปร่วม ๆ สองอาทิตย์แล้ว ผ้าก็ยังไม่มาส่ง

“คุณนพ ช่วยตามผ้าให้พี่ด้วยนะค่ะ ทำไมยังไม่มาส่งอีกนะ”

“โทรแล้ว เค้าบอกให้รออีกหน่อย”

“เฮ้ย มันเลยกำหนดนานแล้วนะ แล้วจะให้รอถึงเมื่อไหร่เนี่ยะ”

“พี่อยากรู้ก็โทรไปเองสิ”

เราก็ได้แต่เงียบ นึกแต่ว่า ถ้าตรูรู้ภาษา คงไม่รอให้เอ็งจัดการหรอก

เอาไงดีนะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองโทรคุยเองเลยแล้วกัน

มันจะไม่รู้เรื่องก็ให้มันรู้กันไป

“ เฮ้ ยู ทำไมไอยังไม่ได้ผ้านะ เลยกำหนดมาเป็นอาทิตย์แล้ว”

“บริษัทมีปัญหา บลาๆๆๆๆ”

ให้ตายเถอะ มันพูดอะไรเนี่ยะ เราฟังไม่รู้เรื่องเลย

“ไอไม่เข้าใจหรอกว่ายูพูดอะไร แต่ไอไม่มีผ้าจะใช้

ถ้าพรุ่งนี้ไอยังไม่ได้ผ้า ก็ยกเลิกสัญญาไปได้เลย”

ด้วยภาษาอังกฤษที่กระท่อนกระแท่นของเรา

พูดเอาแต่เนื้อๆ แหละว่าเราต้องการอะไร

พูดมากเดี๋ยวจะยิ่งไปกันใหญ่

วันรุ่งขึ้น เค้าก็ส่งผ้ามาให้เราทันที

คุณนพถามว่า พี่พูดยังไงให้เค้ามาส่งได้อ่ะ

แหม ทีอย่างนี้ทำเป็นมาถาม

เลยได้โอกาสสอนมวยคุณนพ

ด้วยความที่ว่า คุณนพทำงานแต่ด้านเสริฟ์และอยู่หน้าบาร์

ไม่เคยมีโอกาสติดต่อกับบริษัทซัพพลายด์เออร์ต่างๆ

ดังนั้น จึงยังไม่แกร่งพอ แต่เรื่องเครื่องดื่มต้องยกให้คุณนพ
“จำไว้นะคุณนพ เค้าต้องยอมเรา ไม่ใช่เราไปยอมเค้า

เราเอาเงินให้เค้าใช้นะ เราต้องเสียงดังกว่าเค้า”

สุดท้าย คุณนพก็ยังอ่อนเรื่องแบบนี้อยู่ดี

ให้ติดต่ออะไร มักจะไม่ค่อยได้เรื่อง

หรือไม่ได้ตามแบบที่เราต้องการ

พอเช้าวันเปิดร้าน ไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยสักหน่อย
ขอให้มีลูกค้าเข้าร้านเถิด จะมีคนมากินมั้ยเนี่ย เพราะร้านอยู่บ้านนอกมากๆ
ไหว้พระเสร็จ เริ่มมีคนโทรมาจองโต๊ะกันเรื่อยๆ สลับกับเดินเข้ามาขอเมนู
ปรากฏว่าตอนบ่ายไม่สามารถรับการจองโต๊ะได้อีกแล้ว เพราะเต็ม
ร้านจะเปิดตอนเย็น ลูกค้าตื่นเต้นมากที่มีร้านอาหารไทยในเมืองเค้า
เราก็ตื่นเต้นที่จะมีลูกค้าเข้ามากิน วันแรก ทุกอย่างใหม่หมด
ทุกคนก็ใหม่กันหมด ก็เลยวุ่นวายกันพอดูเลยแหละ ปรากฎว่า
ของที่เตรียมไว้ทุกอย่างหมดในคืนนั้น เช้ามาก็ต้องทำทุกอย่างใหม่หมด
คนเริ่มจองกันมากขึ้น มากขึ้น คนทำงานเริ่มไม่พอแล้วสิ ว่าแล้ว
มองหาคนจากเมืองไทยดีกว่า เพื่อนฝูงอยู่วงการโรงแรมอยุ่แล้ว พอจะ
แนะนำคนมาให้ได้ จนมาได้สามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีเป็นพนักงานเสริฟ์
ส่วนภรรยาอยู่ต่างจังหวัดไม่ได้ทำอะไร เราก็สัมภาษณ์เค้านะว่า
เราต้องการคนมาทำงานในครัวนะ เป็นเชฟอ่ะ เค้าบอกว่าถ้าเราให้โอกาส
เค้าก็พร้อมที่จะเรียนรู้รวมทั้งภรรยาเค้าด้วย เราบอกว่า เราไม่มีปัญญาจ้าง
เชฟจริงๆนะ เราเป็นร้านเล็กๆ ทุกอย่างต้องช่วยๆกัน สามีเราเป็นเชฟอยุ่แล้ว
เราก็อยู่ทำในครัวด้วย สามีเราเค้าอยากให้เราออกมาทำข้างนอกมากกว่า
เพื่อที่จะได้ดูแลลูกค้าด้วย ตอนนั้นมีเพื่อนรุ่นน้องเค้ามาช่วยเสริฟอยู่ข้างนอก
ตานี่วีรกรรมเยอะมาก เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังตอนหลัง กลับมาที่คู่สามีภรรยา
คุณชิดกับคุณน้อย เราเรียกพนักงานทุกคนว่าคุณซะส่วนใหญ่ ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว
เราก็จัดการเดินเรื่องเวริค์เพอมิคเอาพวกเค้ามาทำงาน เราเสียค่าทนายเอง
คุณแค่เตรียมค่าตั๋วบินก็พอ กินอยู่กับเรานี่แหละ คุณชิดนี่ดูเป็นคนซื่อๆ ถูกใจ
เรากับสามีมาก แรกๆมาหัดตั้งแต่จับตะหลิว ผัดไทยทิ้งไป ๑๐ กว่ากะทะได้
กว่าคุณชิดจะเข้าที่ เรียกหนังสือท้องถิ่นมาถ่ายรูปลงสัมภาษณ์ ยิ่งกว่า
ช่วงดันดาราอีกตรู อยู่กันแบบพี่แบบน้อง อยากทานปลาร้า ซุปหน่อไม้
บอก เจ้จัดให้ ทุกอย่างดำเนินมาด้วยดีตลอด อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป
ถ้าเป็นหนังไทยก็ฟังดูเหมือนว่าจบลงด้วยดีนะ
หลังจากที่คู่นี้มาทำงาน เราก็มีหน้าที่ออกมาเลริฟอาหาร รับออเดอร์
ด้วยความที่ว่าภาษาอังกฤษของเราห่วยจนถึงห่วยแตก
รับออเดอร์เครื่องดิ่มนี่ ให้ตรูไปตายดีกว่า เพราะฟังไม่รู้เรื่องเลย
ถ้าเป็นอาหารก็ว่าไปอย่าง ยังเดาๆได้บ้าง
วันแรกไปรับออเดอร์ โดยมีคุณนพ ที่เป็นเพื่อนรุ่นน้องเป็นคนเทรนให้
คุณนพจะไปคอยฟังข้างๆให้ว่าลูกค้าสั่งอะไร
จำได้ว่า รับออเดอร์เสร็จ ฟังไม่รู้เรื่องเลย ต้องวิ่งเข้าไปถามคุณนพ
เฮ้ย เค้าสั่งน้ำอะไรว่ะ ลามโซเดอร์ อ่ะ อีกคนสั่งฟีซซี่วอเทอร์อ่ะ
คุณนพส่ายหน้าด้วยความระอาในความโง่ของเรา
เค้าสั่ง ลามผสมโซดาพี่ กับน้ำสปาร์คกิ้ง
เฮ้ย ทำไมเค้าไม่สั่งง่ายๆว่ะ ว่าลามโซดา โซเดอร์ๆอยู๋ได้
ดูสิ โง่แล้วยังว่าลูกค้าอีกตรู
คุณนพนี่เป็นเพื่อนรุ่นเน่า เอ้ย น้องที่มาช่วยงานตั้งแต่แรก
เป็นคนคล่องมาก รู้หมดว่าต้องทำอะไร เตรียมอะไร
เค้าจะสอนเราตั้งแต่เช็ดแก้ว เช็ดช้อน เสริฟอาหาร
การผสมเครื่องดื่มต่างๆ ทุกวันนี้ยังจำความดีของเค้าได้
หลังจากที่เค้าสอนเราจนเป็นแล้ว เค้าก็ไม่เคยหยิบจับงานอะไรเลย
มีหน้าที่รอรับลูกค้าอย่างเดียว อ้อ อีกอย่างที่เค้าชอบทำคือ
ชอบคิดเงินทำบิลให้ลูกค้า ซึ่งเค้ามีความสามารถในการคิดเงินมาก
คือคิดเงินผิดได้ทุกวัน จนเราทนไม่ไหวต้องแย่งมาคิดเอง
บางครั้งคุณนพแกจะชอบคิดว่าแกเป็นเจ้าของร้าน แล้วเราเป็นลูกน้อง
ด้วยความที่เค้าเป็นคนขี้เกียจเสมอต้นเสมอปลาย เค้าเลยสอนงานเราทุกอย่าง
เพื่อที่เค้าจะได้ไม่ต้องทำอีก และเป็นคนเข้างานตรงต่อเวลามาก
ร้านเปิดเที่ยง บางวันก็ลงมาเที่ยงพอดี บางวันเราต้องคอยเรียกให้ตื่น
เพราะเที่ยงแล้ว มันยังไม่ลุกไปเปิดร้านเลย จนเราเบื่อมากๆ

คุณสมบัติของคุณนพอีกอย่างคือ เป็นคนขี้น้อยใจมากๆ
นอกจากจะขี้น้อยใจแล้ว ยังขี้เหล้าอีก
มีแรกๆ เราทำงานในครัว คุณนพดูแลหน้าร้าน เรามานั่งเช็คบัญชี
ทำไมเหล้าหมด แต่บิลไม่มีว่ะ วอคก้า กับ baileys หมด
เป็นไปได้ไงเนี่ย อะไรมันจะระเหยเร็วขนาดนั้น เลยมีการเรียกมาคุย
หนอยยังมาบอกอีกว่า เดี๋ยวผมซื้อมาคืนให้พี่นะ เนี่ยะ ผมซื้อให้ขวดใหญ่เลย
พี่กำไรนะเนี่ยะ โอยยยยยยยย จะบ้าตาย ตรูอยากกำไรมากเลยนะเนี่ยะ
เลยต้องมีคำสั่งออกใหม่ว่า ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกฮออล์ของร้าน
เพราะเราจะลงบัญชีไม่ถูก ถ้าอยากดิ่มจะซื้อให้เดือนละขวด
ปรากฏว่ามันสามารถหมดได้ในคืนเดียว บางครั้งก็มีการขโมย
ไวน์ในร้านไปดื่มต่อบนห้องนอน หลังจากไปเมากลับมาจากที่ผับ
เราอยู่ด้วยความไว้ใจกันมาตลอด ไม่อยากไปเช็คอะไรเค้ามากด้วย
กลัวมันจะน้อยใจหาว่าไม่ไว้ใจมัน บวกกับความเป็นเพื่อนกันอีก

แรกๆ คุณนพจะเป็นคนรับบุ๊คกิ้งเอง

แต่มาระยะหลัง เราสังเกตหลายครั้งว่า

คุณนพมักจะปฎิเสธลูกค้าที่ขอจองเวลาดึกหน่อย

และจะไม่ยอมรับโทรศัพท์ลูกค้าที่โทรเข้ามาก่อนเที่ยง

“คุณนพ พี่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ทำไมไม่รับล่ะ”

“โธ่ พี่ ร้านเราเปิดเที่ยงนะ ลูกค้าดันโทรมาก่อนเที่ยงทำไมล่ะ

ร้านยังไม่เปิดสักหน่อย คนจะนอน”

“งั้น ต่อไปนี้ เอาบุ๊คกิ้งมาให้พี่ ช่วงเช้าพี่จะรับเอง

ช่วงบ่ายคุณรับแล้วกัน”

ตอนนั้นภาษาอังกฤษก็ยังไม่แข็งแรง

เอาแค่พยายามฟังให้ได้ว่า

ลูกค้าต้องการจองโต๊ะวันไหน เวลาไหน จำนวนกี่คน

ส่วนชื่อก็ให้เค้าสะกดให้ช้าๆ ทีละตัว

บ่อยครั้งที่เราต้องออกไปทำธุระกับคุณสามีข้างนอก

โทรเข้าร้าน นานๆ คุณนพจะรับโทรศัพท์ที

คุณสามีจะหงุดหงิดมากๆ

เราเลยต้องตัดปัญหาด้วยการรับบุ๊คกิ้งเอง

หลายครั้งที่คุณนพมักจะไม่พอใจที่เรารับจองเข้ามาเยอะๆ

ไม่รับลูกค้าให้เต็ม ก็ไม่ไหวนะค่ะ

เพราะคุณนพเล่นขอพนักงานพาร์ทไทม์มายืนกันเต็มเลย

ขอพนักงานเยอะ แต่จะไม่ให้รับลูกค้าเยอะ

มันคิดได้ไงเนี่ยะ
ร้านเราเป็นร้านเล็ก ๆ มีแค่ ๑๔ โต๊ะ ประมาณ ๓๒ ที่นั่ง

วันศุกร์ เสาร์ คุณนพเรียกพาร์ทไทม์มาทั้งหมด ๔ คน

วันธรรมดาขอพนักงาน ๒ คน

ดูไป ดูมา เหมือนพนักงานจะเยอะกว่าลูกค้าป่าวเนี่ยะ

ตอนนั้นเราทำอยู่ในครัวกับคุณสามีนะค่ะ

คุณสามีบอกว่า ชักไม่ไหวแล้วนะ

ขอคนเยอะ แล้วยังคิดเงินผิดได้ทุกวัน

คุณนพมีความสามารถในการคิดเงินผิดได้ทุกวัน

วันไหนยุ่งน้อยหน่อย ก็หายไป ๑๐ กว่าปอนด์

วันไหนยุ่งมากหน่อย ก็หาย ๔๐ – ๖๐ ปอนด์

ที่หายนี่ ลืมคิดค่าเครื่องดื่มบ้าง ค่าสตาร์ทเตอร์บ้าง

ซึ่งเราก็ไม่เคยไปหักเงินคุณนพเลย

เพราะรู้ว่าเค้าไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่ขาดความรอบคอบ
เราจะอยู่แต่ในครัวไม่ได้เสียแล้ว

เลยต้องให้นักเรียนพาร์ทไทม์มาหัดในครัว

ทำส่วนที่เราทำ คือ ทำสตาร์ทเตอร์ ซุป

ตอนนั้นกำลังอยุ่ในช่วงเดินเรื่องให้คุณชิดและคุณน้อย

เราต้องออกไปทำด้านนอกโดยที่ยังไม่เคยทำด้านนี้มาก่อน

และด้วยความที่ว่าภาษาอังกฤษยังไม่แข็งแรง

ทำให้เกิดอาการเกร็งและไม่ค่อยกล้าเข้าหาลูกค้า

ยังต้องอาศัยคุณนพ ซึ่งตรงจุดนี้ทำให้คุณนพลำพองใจ

บ่อยครั้งที่คุณนพก้าวร้าว และไม่ค่อยเกรงใจเรา

หลายครั้งที่พูดจาด้วยน้ำเสียงไม่ดีกับเรา

เหมือนเราเป็นผู้หญิงโง่ ๆ คนหนึ่งที่ทำอะไรไม่เป็น

เราได้แต่ท่องไว้ในใจว่า ต้องทน ๆ ๆ ๆ

เคยเห็นลูกน้องดุ แล้วเจ้าของร้านแอบน้ำตาร่วงมั้ยค่ะ

เรานี่แหละค่ะ ที่เป็นอย่างนั้น
หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมเราไม่ตอบโต้

หรือคุณสามีไม่รู้หรือไงว่า คุณนพปฎิบัติยังไงกับเรา

ตอนนั้นคุณสามีทำงานในครัวค่ะ

ตอนกลางวันคุณสามีก็มีงานเอกสารและงานติดต่อมากมาย

เราพยายามช่วยเค้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เราไม่อยากบอกคุณสามี เพราะรู้ว่า ถ้าบอกเมื่อไหร่

คุณนพต้องออกจากร้านทันที

แล้วเมื่อนั้น ใครจะสอนงานเรา

และถ้าเราไม่เป็น อีกหน่อยเราจะไปคุมใครได้

ถ้าเราโต้ตอบคุณนพไป ผลเสียย่อมอยุ่ที่เราแน่

เพราะเรายังไม่เป็นอะไรมากนัก

คุณนพเป็นคนมีสามารถในการผสมเครื่องดื่มมาก

รวมทั้งการเสริฟ์อาหาร ทุกท่วงท่าบ่งบอกความเป็นมืออาชีพจริงๆ

สิ่งเหล่านี้ เราต้องเรียนรู้จากเค้าให้มากที่สุด

เข้าใจถึงคำว่า ยืมจมูกคนอื่นหายใจเป็นยังไง

เราพยายามมองเค้าในแง่ที่ว่า

เค้ามาอยุ่ที่นี่ตั้งแต่เด็ก โตมากับสังคมที่นี่

เลยไม่รู้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร

แต่พอนาน ๆ ไปถึงรู้ว่า มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด

มันคือ นิสัยและสันดานจริง ๆ ของเค้าเอง


มีอยู่ช่วงหนึ่งเรากับสามี ต้องกลับไปทำธุระที่เมืองไทย เป็นเวลา ๑ อาทิตย์
คุณนพบอกไม่ต้องห่วงพี่ ผมดูแลได้ ก็ค่อยเบาใจหน่อย
หลังจากกลับมาจากเมืองไทย ป้าศรี ซึ่งทำงานล้างจานในครัว ก็ทักทายว่า
คุณไม่อยู่นี่ ร้านแทบพัง ลูกค้าเยอะมาก เราก็เหรอๆ เออ ดีๆๆ
เรากลับมาถึงวันอังคาร คุณนพบอกพี่ไม่ต้องทำงานหรอกวันนี้
พักผ่อนเถอะ เราก็ว่า เออ ดี แฮะ วันรุ่งขี้น มานั่งคิดบัญชี
เฮ้ย ทำไมวันเสาร์ยอดขายต่ำสุดในรอบปีเลยว่ะ ไหนป้าศรีบอกว่ายุ่งอ่ะ
เออ ชักแปลกๆแล้วสิ แถมใบออเดอร์ในครัว คุณนพก็เข้ามาเก็บเองหมด
พอเราทำบัญชีไปเรื่อยๆ ไล่จนมาถึงวันอังคารที่เรานอนพัก เราเข้าไปเก็บ
ใบออเดอร์ในครัว โดยที่คุณนพไม่รู้ และก็ได้พบว่า บิลหายไป ๑ ใบ
ถามคนในครัวแล้วว่า มีลูกค้าคืนอาหารหรือไม่มาเอาอาหารเทคอะเวย์บ้างมั้ย
ก็ได้คำตอบว่า ทุกอย่างก็ปกติดีนี่ วันอังคารที่ร้านไม่ยุ่งอยู่แล้ว
มีลูกค้าแค่ไม่กี่รายเอง แล้วเกิดอะไรขี้นเนี่ยะ บิลหายไปไหน
ว่าแล้ว เราก็ลองมุดไปรื้อขยะใต้บาร์ ไม่คิดว่าจะเจออะไรหรอก
เพราะวันนั้นก็เป็นวันพฤหัสแล้ว ปรากฏว่า พอมือลงไปคว้านที่ขยะเท่านั้น
เจอกระดาษขยุ้มๆอยู่ก้อน พอคลี่ออกมาดู ดีใจแทบช็อค
คุณนพขยำบิลทิ้ง เจอหลักฐานแล้ว เสร็จตรูแน่เมิง เพราะความขี้เกียจของเมิงแท้ๆ
ขยะตั้งแต่วันอังคารยังไม่ยอมเอาไปทิ้งอีก
คุณสามีเลยเรียกคุณนพมาคุยเป็นการส่วนตัว ถามเค้าว่า
“อยู่ที่นี่ สบายดีมั้ย”
“ เอ้อ สบายดีครับ”
“ อาหารการกินละ”
“ ก็ดีครับ” (ไม่ดีได้ไง คุณนพเล่นกินสเต็กทุกคืนเลย หรือไม่ก็ปลาซีบาสอ่ะ
คุณนพเคยบอกว่า อยู่ในลอนดอนเค้าให้กินได้แต่ไก่ มิน่า ล่อเซอร์ลอยด์ตรูทุกคืนนะเมิง)
“ อืมม แล้วเงินพอใช้มั้ย”
“พอครับ นพอยู่กับพี่แทบไม่ต้องใช้เงินเลย”
“ อืมมม แล้วเมิงโกงกูทำไม”
“ป่าวนะ ไม่เคยทำนะ”
“งั้น ไหนเมิงบอกสิว่า บิลนี่เมิงทิ้งทำไม”
นั่งเงียบ ๑ นาที มันนั่งไว้อาลัยป่าวเนี่ยะ
“ผมแค่ยิมเงินพี่มาใช้เท่านั้นครับ”

“เงินแค่ ๙ ปอนด์นี่นะ เมิงไม่มีเหรอ”
นั่งเงียบอีก ตาเริ่มแดง
“พรุ่งนี้ เมิงเขียนใบลาออกมาเลยนะ กูจะขับรถไปส่งเมิงที่บ้านเอง”

วันรุ่งขึ้น คุณนพก็ร่อนจดหมายลาออกโชว์พนักงานในร้าน
บอกว่า ไม่ทำร้านนี้แล้ว จะกลับลอนดอน
ทุกคนงงว่าเป็นไปได้หรือนี่ อยุ่ที่นี่อย่างกะราชา
แต่ทุกคนก็เก็บความสงสัยไว้ในใจ ไม่มีใครกล้าถามเรา
ตอนคุณนพเก็บข้าวของ เราก็ไปช่วยเค้าขนของด้วย
มีอยู่อย่างที่เค้าไม่กล้าหยิบไป คือหุ่นยนต์ตัวเล็ก
มีวิทยุบังคับ ที่เค้าขอเราเป็นของขวัญวันเกิด ซื้อให้เมื่อเดือนก่อน
ราคาไม่ใช่ถูกๆเลย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ ๑๒๙.๙๙ ปอนด์ได้
เราก็บอกว่าเอาไปด้วยสิ ของคุณไม่ใช่เรา เราให้แล้วไม่เอาคืน
สรุปช่วงที่เราไปเมืองไทย คุณนพโกงเราไม่ต่ำกว่าพันปอนด์ได้
แต่สุดท้ายมาโดนจับได้เพราะบิลใบเดียว แค่ ๙ ปอนด์
เฮ้อ เรากลับมายังกล้าโกงต่ออีก




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2550
35 comments
Last Update : 5 กรกฎาคม 2550 11:16:16 น.
Counter : 839 Pageviews.

 

หลังจากคุณนพ ออกไป เราก็เริ่มมองหาผู้จัดการร้านคนใหม่
ก็สอบถามคนใกล้ตัวก่อน คือ คุณชิดนี่แหละ ว่ามีเพื่อนฝูงบ้างมั้ย
คุณชิดก็แนะนำ เพื่อนร่วมงานอยู่คน เป็นโฮสอยุ่ที่โรงแรมเดียวกัน
ต้อนรับแขกเก่ง โอเค งั้นเอาคนนี้แล้วกัน ก็เริ่มติดต่อเจรจากัน

น้องแดงตกลงรับพอใจข้อตกลงทุกอย่าง เราก็เริ่มเดินเรื่องให้
นัดเซ็นต์สัญญากับทนายเราที่เมืองไทยก่อนบินมาทำงาน
มาถึงวันแรกก็ได้เรื่องเลย มานั่งร้องไห้บอกว่าคิดถึงแฟน
อันที่จริงเรารู้ว่า เค้ามีแฟนแล้ว แต่เป็นสามีคนอื่น
“หนูมีแฟนแล้วค่ะ อยากให้แฟนมาด้วย พี่ช่วยหน่อยสิ”
“แฟนน้องจะมายังไงอ่ะ เค้าต้องจดทะเบียนกับน้องนะ”
“เรื่องจดทะเบียนไม่มีปัญหาค่ะ”
“ เอ้อ พี่คงทำไม่ได้นะ เพราะพี่รู้มาว่าแฟนน้อง มีลูกมีเมียอยู่
พี่กลัวกรรมตามพี่มาอ่ะ พรากลูก พรากเมียเค้ามาอ่ะ”

หลังจากนั้น น้องแดงก็เริ่มออกลาย หน้าเง้าหน้างอ
ชอบทำอะไรกระแทกๆ จนเราต้องถามคุณชิดว่า
“น้องแดงเค้าเป็นไรอ่ะ พี่เห็นหน้าเป็นตูดทุกวันเลย”
“ อ๋อ เค้าเป็นอย่างนี้แหละครับ อยู่โรงแรมก็ไม่มีใครคบ”
อ้าว อ้ายเวรแล้วแนะนำมาให้ตรูทำไมว่ะเนี่ยะ
หลังจากสังเกตพฤติกรรมน้องแดงมานาน จีงได้รู้ว่า
ทำไมคุณชิดถึงให้น้องแดงมาทำงานด้วยกัน
น้องแดงค่อนข้างจะหัวอ่อนในเรื่องโง่ๆ
เค้ายังมีความหวังที่คุณชิดจะช่วยเค้าในการเจรจากับเรา
เรื่องเอาแฟนเค้ามาทำงานด้วย คุณชิดพูดอะไรก็เชื่อหมด
น้องแดงตามเลียก้นคุณชิดแผล่บๆทุกวัน
ใครเป็นคนจ่ายเงินเดือนให้กันแน่ว่ะ
โดยหารู้ไม่ว่า ลับหลังน้องแดง คุณชิดบอกเราว่า
แฟนน้องแดงขี้เกียจมาก และเคยเป็นหัวหน้าเค้ามาก่อน
คุณชิดคงไม่อยากให้อดีตหัวหน้ามาทำงานกับเค้าอีก

ต่อมาไม่นานคุณชิดกับคุณน้อยก็เริ่มออกลาย
จากหน้ามือเป็นหลังเท้า หลังจากทำงานกับเราได้สองปีแล้ว
จู่ๆวันหนึ่งมีเพื่อนคุณชิดพาฝรั่งมาทานข้าวที่ร้าน
มาตั้งแต่ร้านเปิดนั่งจนร้านปิด
เพื่อนคุณชิดโดดมาหลายร้านแล้ว
คงมีการพูดคุยกันว่าที่ลอนดอนรายได้ดีกว่าที่นี่
เพราะหลังจากที่เพื่อนเค้ากลับไป
คุณชิดก็เล่าว่าเพื่อนเค้าทำงานในลอนดอนได้อาทิตย์ละ ๔๐๐ ปอนด์
เราก็ได้แต่หัวเราะหึ หึ ไม่อยากพูดอะไรมาก
การทำงานของคุณชิด คุณน้อยเริ่มเฉื่อย
เราก็ไม่เคยว่าอะไรนะ ร้านเปิดเที่ยง พวกเค้าก็ลงมาเที่ยง
เพราะตอนเที่ยงนานๆจะมีลูกค้าที ส่วนใหญ่เป็นงานเตรียมของมากกว่า

และมีเหตุการณ์ที่ค่อยๆ เกิดความร้าวฉานเกิดขึ้น
เย็นวันศุกร์ ร้านเริ่มเปิดแล้ว คุณชิดมาบอกว่า แครอทกับมะนาวหมด
อ้าว เฮ้ย ทำไมไม่เช็คก่อนหน้านี้อ่ะ ลูกค้าเริ่มทยอยเข้าแล้วด้วย
คุณสามีเดินเข้าไปถามในครัวว่า จะให้ซื้อมาอย่างละเท่าไหร่
จะวิ่งไปซื้อที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตมาให้ก่อน
“จะซื้อเท่าไหร่ก็ซื้อมาเถอะคับ”
“คุณคิดว่าจะใช้ประมาณเท่าไหร่”
“ผมไม่รู้หรอกครับ”
“เอ้อ คุณชิดทำงานในครัวมาสองปีแล้ว
คุณไม่รู้เหรอว่าต้องใช้ประมาณเท่าไหร่”
“โอย ไม่มีใครตรัสรู้หรอกคับ”
ลายออก หางโผล่มาเยอะมากค่ะ
คุณสามีก็เลิกต่อล้อต่อเถียง

เช้าวันรุ่งขึ้น เราก็ทำทุกอย่างตามปกติ
แต่คุณชิด คุณน้อย คุณแดงไม่ปกติ แสดงท่าทางต่อต้านเราเต็มที่
ไม่มีใครคุยกับเราและคุณสามี
ทำเอาเราไม่อยากอยู่ร้านเลยจริงๆ
บ่อยครั้งที่คุณชิดพูดกระแทกๆเราไปทางคุณแดงว่า
“รับลูกค้าหัดดูเวลาบ้างนะ ๔ ทุ่มแล้วยังรับอีก”
เอ้อ คุณชิดเข้าใจอะไรผิดป่าวเนี่ย
ที่ร้าน last order ๔ ทุ่มครึ่งนะ
แล้วก็นานๆจะมีลูกค้าหลุดเข้ามาช่วงดึกที
บรรยากาศในร้านเริ่มตึงเครียดขึ้นมาทุกที
เมื่อลูกน้องไม่ยอมคุยกับนายจ้าง
มีอยู่วันหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่มาตรวจความสะอาดในครัว
และห้องเก็บของ รวมทั้งตู้เย็นทุกตู้
บังเอิญเค้ามาวันจันทร์ ซึ่งร้านเราปิด เค้ามาไม่เจอใคร
เลยฝากข้อความทิ้งไว้ว่าจะมาใหม่พรุ่งนี้
ทุกครั้งที่มีการมาตรวจ เจ้าของร้านจะเครียดมาก
เพราะถ้าไม่ผ่านนี่ คือเรื่องใหญ่เลยทีเดียว

เราเพิ่งกลับจากไปธุระต่างเมือง มาถึงบ้านก็บ่ายแก่ๆแล้ว
เจอโน้ตที่เค้าทิ้งไว้ ขึ้นมาบนบ้าน เห็นคุณชิดและพรรคพวก
กำลังตีสนุ๊กที่ห้องนั่งเล่นกันอยู่ เราซื้อโต๊ะสนุ๊กไว้ให้คุณชิด
เพราะเห็นคุณชิดชอบเล่น และหลายครั้งที่ยอมเดินตากฝน
ไปเล่นแถวบ้าน เลยซื้อมาให้เค้าเล่นได้ตอนพัก

คุณสามีเดินเข้าไปบอกคุณชิดว่า พรุ่งนี้เค้าจะมาตรวจร้านนะ
เดี๋ยวคุณชิดช่วยลงไปเคลียร์ครัวกัน ผมขอเวลาไม่เกิน ๒ ชั่วโมง
คุณชิดบอกว่า
“โอย ในครัวก็เป็นอย่างนั้นแหละครับ”
“เอ้อ แล้วไงครับ ไม่ต้องทำเหรอครับ พรุ่งนี้เค้าจะมาตรวจแล้ว”
“ผมก็ไม่รู้ว่าต้องทำไงหรอกครับ”
“ก็ผมบอกแล้วไงว่า ผมกับมะระจะลงไปเคลียร์กับคุณ”
“มันก็ได้แค่นั้นแหละครับ”
“แล้วไงครับ ไม่ต้องทำให้มันดีขึ้นเหรอครับ เอ้อ คุณไม่ต้องลงไปก็ได้
เดี๋ยวผมกับมะระทำกันเองก็ได้ ผมไม่รบกวนคุณแล้ว”
หลังจากนั้นเรากับคุณสามีก็ลงไปเคลียร์ทุกอย่างครัว
เก็บของให้น้อยที่สุด ภาชนะทุกอย่างที่เก็บเนื้อ ผัก
ต้องห่อฟิลม์และระบุวันที่ที่บรรจุไว้
ซึ่งตรงนี้คุณชิดไม่เคยรู้มาก่อน
แหนมที่คุณชิดทำไว้ทานกันเอง ต้องโยนทิ้งหมด
ไม่งั้นต้องอธิบายกันยาว
ตู้เย็นมีทั้งหมด ๖ ตู้ต้องเคลียร์ทีละตู้
แต่ละตู้ต้องมีแนบการบันทึกอุณหภูมิทุกวัน เช้า เย็น

หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เรากลับขึ้นบ้านก็ไม่พบใครแล้ว
พวกเค้าพากันออกไปข้างนอกหมดแล้ว
มารู้ทีหลังว่า เค้าไปบ้านป้าศรี บอกว่า ไม่อยากอยู่ให้โดนใช้งาน

เรากับคุณสามีพยายามขับรถตามหาพวกเค้า
เพื่อที่จะได้บอกพวกเค้าว่า ตอนเที่ยงไม่ต้องรื้อของออกจากตู้เย็น
มันเรียบร้อยอยู่แล้ว ให้เค้ามาตรวจในสภาพที่เราจัดไว้
เพื่อที่ข้อผิดพลาดจะได้น้อยที่สุด
หลังจากตามหาเค้าอยู่พักใหญ่แล้วไม่เจอ
เราเลยลองโทรไปบ้านศรีและพบพวกเค้าอยู่ที่นั่น
คุณสามีเลยขอคุยกับคุณชิด พยายามบอกเค้าว่า
พรุ่งนี้คุณต้องทำยังไงบ้าง พยายามจำให้ได้ว่า
เขียงแต่ละสี ใช้กับอะไร เผื่อเค้าถามจะได้ตอบถูก
ซึ่งคุณชิดก็ไม่ค่อยยอมรับฟังอะไรเลย
นอกจากบอกว่ารู้แล้วครับ อยู่นั่นแหละ
เราเลยบอกคุณสามีว่า เค้าไม่ฟังหรอก อย่าเสียเวลาพูดเลย

วันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่มาตามนัด เค้าจะเน้นเรื่องความสะอาดมาก
มาถึงนี่ ก่อนเข้าครัว เค้าจะใส่เสื้อกราวน์สีขาว และล้างมือก่อน
จากนั้นก็เดินตรวจทีละจุดๆ ไปจนถึงห้องเก็บของ
ทุกอย่างดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดี
เค้าพอใจกับความสะอาดเรียบร้อยมากๆ
จนกระทั่งคุณชิดลงมาในครัว
คุณชิดมาถึงก็วางเขียงก่อน แล้วเปิดตู้เย็น
หยิบของออกจากตู้เย็น มาวางไว้บนเขียง
เจ้าหน้าที่ที่กำลังจะเดินออก หันขวับกลับมาทันที
คุณสามีหันไปเห็นตกใจมาก รีบคว้ากล่องออกจากเขียง
เพราะตามหลักอนามัยแล้ว คุณห้ามวางอะไรก็ตามบนเขียง
เพราะใต้กล่องอาจจะไม่สะอาด มีเชื้อโรคได้
ถ้าคุณคิดว่าจะทำเนื้อสัตว์ คุณวางได้แต่เนื้อที่จะทำ
และต้องใช้เขียงให้ถูกสีด้วย

คุณชิดก็เอาใหม่อีก เอาฟิลม์ที่เราห่อกล่องไว้ รื้อออกมาวางไว้บนเขียง
คุณสามีก็จับขว้างทิ้งไปอีก แล้วพยายามเอาตัวบังๆไว้ ไม่ให้เค้าเห็น
สุดท้ายเจ้าหน้าที่เค้าก็เดินออกไป บอกคุณสามีว่า
ไอพอใจการตรวจครั้งนี้มากนะ ยูทำได้ดีมาก แต่
ยูต้องอบรมเชฟยูหน่อยนะ ว่าที่เค้าทำมันไม่ถูกหลักอนามัย
หลังจากนั้น ไม่นาน ทางอนามัยออกหนังสือชมเชยความสะอาดในร้าน
เราพยายามทำบรรยากาศในร้านให้ดีขึ้น
แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย เรากับสามีเครียดมาก
เราว่าเราแฟร์ที่สุดแล้วนะ อยากทานอะไร ไม่เคยห้าม
อยากทานอาหารจีน อิตาลี ญี่ปุ่น ก็พาไปหมด
อยากให้พวกเค้าได้เปิดหู เปิดตาบ้าง ดูว่าร้านอื่นเป็นไงบ้าง
อยากทานอะไรสั่งได้หมด ซึ่งทุกครั้งที่ไป คุณชิดก็ไม่ลืมที่จะสั่งไวน์แดงทุกครั้ง
ปรับตัวได้เก่งมาก อยู่นี่ดื่มแต่ไวน์แดง

ยังมีเหตุการณ์ต่างๆหลายครั้งที่ค่อยๆทำให้เราเป็นคนไม่มีน้ำใจกับเค้า
เช่น มีอยู่วันหนึ่ง เราเอากระติ๊บสานใบเล็กๆที่เห็นแขวนอยู่หลังครัว
ไปใส่ชอคโกแลตให้ลูกค้าตัวเล็ก ซึ่งพ่อเค้าพอใจมาก
วางทิปไว้ให้ ๒๐ ปอนด์ เราก็มาบอกคุณน้อยว่า
พี่เอากระติ๊บให้ลูกค้าไปนะ คุณน้อยก็โวยวายว่า
“ นั่น เค้าตั้งใจว่าจะมาวางขายในร้านเรานะ ทำไมเอาให้ลูกค้าไปละ”
เอ๊ะ คุณน้องไม่เห็นบอกพี่เลยว่าจะเอาของมาวางขายในร้าน ๆใครวะเนี่ยะ
“อ้าวเหรอ พี่ขอโทษนะ เห็นมีหลายอันเลยใส่ชอคฯให้ลูกค้าไป
แต่เค้าให้ทิปมาเยอะเลยนะ”
“นั่นแหละ หนูตั้งใจจะขาย”
“เอ้อ ซื้อมาอันละ ๑๐ บาท ตั้งใจจะขายเท่าไหร่เหรอ”
“ หนูกะว่าสัก ๒ ปอนด์น่าจะได้นะ”
“ โอเค งั้นพี่ซื้อต่อแล้วกัน อันนั้นอ่ะ”
คุณน้อยก็รับเงินไป ยิ้มออกมาได้
เออ มันกล้ายื่นมือมารับเงินด้วยวุ้ย
แหม อยากกลับไปงัดเงินทิปของพวกเค้าออกจากกระป๋องจริงๆ แฮะ

หลังจากนั้น อีกสองอาทิตย์ คุณน้อยบอกซื้อมาม่ามาให้ด้วย
เราก็โอเค แล้วส่งบิลให้คุณน้อย บอกค่ามาม่า ๕.๙๕ ปอนด์
ซึ่งทุกทีไม่เคยเก็บเงินเค้าเลยนะ แต่ทนไม่ได้จริงๆ
คุณน้อยก็ยื่นเงินมาให้ ๕ ปอนด์แบบกระแทกๆ
เราบอกว่า ๕.๙๕ นะ เค้าบอกว่า โห เศษยังเอาอีกเหรอ
“เอาค่ะ อย่าลืมเอามาให้พี่ด้วยนะ”
สุดท้าย เรากับสามีมานั่งคิดกันว่าแบบนี้มันไม่ถูกแล้วนะ
ร้านเราเอง แต่เรากลับไม่มีความสุขทุกครั้งที่เหยียบเข้าร้าน
ทำให้เราต้องกลับมาคิดทบทวนเรื่องการต่อวีซ่าให้คุณชิด
ซื่งกำลังจะหมดอายุในอีก ๑ เดือนข้างหน้า
ที่จริงเราต่อวีซ่าให้เค้าล่วงหน้าเรียบร้อยแเล้ว
เสียเงินค่าทนายและค่าต่ออายุแล้ว
เอกสารยืนยันการต่อวีซ่าก็อยู่ในมือเรา
เหลือแค่ส่งพาสปอร์ตพร้อมวีซ่าไปที่โฮมออฟฟิศ
เพื่อประทับวีซ่าลงในพาสปอร์ตเท่านั้น

เราดึงเรื่องการส่งพาสปอร์ต เพื่อขอดูความประพฤติของเค้า
ทุกอย่างไม่ดีขึ้น เลวร้ายลง โดยเค้าคิดว่า เราต่อวีซ่าให้เค้าเรียบร้อยแล้ว
ใครจะว่าเราใจร้าย ใจดำ ก็ยอมแล้ว

คุณสามีเราจะกลับเข้ามาทำงานในครัว
ส่วนเราก็คุมข้างหน้าเอง แล้วหาพาร์ทไทม์อีกคนมาอยู่ในครัว

เมื่อตัดสินใจทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
เรารู้สึกว่ามีความสุขมาก สามารถเข้าร้านอย่างมีความสุข
ในใจก็คิดว่า คุณร้ายกับชั้นให้มากๆนะ
มันจะทำให้ชั้นไม่รู้สึกผิดที่ตัดสินใจแบบนั้น
ในใจคิดเสมอว่า ต้องทนอีกแค่ไม่กี่อาทิตย์แล้ว

เราสั่งซื้อตั๋วเครื่องบินให้คุณชิด คุณน้อย และคุณแดงไว้เรียบร้อยแล้ว
คุณแดงนี่ มาทำงานกับเราได้ไม่ถึง ๖ เดือน ฤทธิ์มากเหลือเกิน
แต่คุณแดงเข้าถึงลูกค้าได้เก่งมาก
ใจพยายามคิดว่า ไม่มีใครเพอเฟคหรอก
แต่คุณสามีทนเห็นคุณแดงแสดงกริยาก้าวร้าวใส่เราไม่ได้
แต่เรื่องส่งคุณแดงกลับนี่ เป็นแค่ทางเลือกให้เค้า
ถ้าเค้าสามารถปรับตัวใหม่ได้ ก็โอเค ยอมเสี่ยงที่จะเสียค่าตั๋วฟรีๆ

ส่วนคุณชิด คุณน้อย ยังไงก็ต้องกลับ
เพราะวีซ่าเค้าจะหมดวันที่เราส่งเค้ากลับ
ในขณะเดียวกัน เราก็เริ่มเดินเรื่องเอาคนมาใหม่อีกเช่นกัน
แต่คราวนี้ มีการเรียกเก็บเงินค้ำประกันล่วงหน้า
เพราะที่ผ่านมา เราให้เค้าง่ายเกินไปค่ะ
ประสบการณ์สอนเราให้ใจดำมากขึ้นค่ะ
และวันที่คณะคุณชิดต้องเดินทางกลับเมืองไทยก็มาถึงค่ะ
ตอนสิบเอ็ดโมงเช้า ขึ้นไปตามทั้งสามคนจากห้องนอน
คุณชิด คุณน้อยลงมาก่อน
“คุณชิด วีซ่าคุณมีปัญหานะ ต่อให้ไม่ได้”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน วีซ่าคุณหมดวันนี้ คุณต้องบินเย็นนี้นะ ผมจองตั๋วให้แล้ว”
“ ผมไม่กลับได้มั้ยครับ ทำไมพี่ไม่อุทธรณ์ให้ผมล่ะ”
“ ผมไม่คิดอุทธรณ์ให้คุณหรอก เพราะดูแล้วคุณก็ไม่อยากทำงานกับผมแล้วนี่
ผมเลยไม่อยากดึงคุณไว้”
คุณน้อย เริ่มร้องไห้ คุณชิดขอบตาเริ่มแดงขึ้น
เราต้องเมินหน้าไปทางอื่น ไม่อยากใจอ่อน
“ที่ผ่านมา ผมอาจจะทำอะไรไม่ถูก พี่ให้โอกาสผมเถอะครับ”
เฮ้อ รู้ตัวด้วยเหรอเนี่ยะ สายเกินไปแล้วย่ะ
“ผมให้โอกาสคุณเสมอนะ ตั้งแต่วันแรกที่คุณสมัครงานกับผม
คุณบอกว่าคุณไม่เป็นอะไรเลย ผมก็ให้โอกาสคุณ หัดให้คุณทุกอย่าง
ผมไม่เคยมองว่าคุณเก่งหรือไม่ ผมมองเห็นความตั้งใจจริงของคุณ
แต่ตอนนี้คุณหมดความตั้งใจแล้ว ผมก็คงช่วยอะไรไม่ได้”
คุณชิดนั่งเงียบ พูดอะไรไม่ออก
“เอางี้ เดี๋ยวคุณน้อยขึ้นไปเก็บของนะ คุณชิดไปธนาคารกับผม
ผมจะพาไปถอนเงิน ก่อนธนาคารปิด ไม่งั้นคุณจะไม่ได้เงินกลับไปด้วย”
ก็เหลือคุณแดง ที่ตามลงมาทีหลัง
“คุณแดงละครับ ว่าไง คุณชิดไม่อยู่แล้ว
คุณจะกลับก็ได้นะ เพราะคุณเคยบอกว่าคุณมาเพราะคุณชิด”
คุณแดงนั่งนิ่ง เราถามว่าจะเอายังไง
“ขอหนุโทรกลับไปคุยกับแฟนก่อนได้มั้ย”
พูดด้วยน้ำเสียงห้วนสุดๆ

สักพัก คุณแดงก็เดินลงมาบอกว่า
“หนูขออยู่ต่อค่ะ”
คุณแดงนี่ ขอเราจัดการเองแล้วกัน
“คุณจะอยู่ต่อก็ได้นะ แต่คุณต้องปรับปรุงตัวใหม่นะ
ด้วยวัยวุฒิ ชั้นอายุมากกว่าคุณตั้งเยอะ แต่คุณพูดจากับชั้นแย่มาก
ในด้านของสถานะการเป็นลูกจ้าง ชั้นยังไม่เคยเห็นลูกจ้างที่ไหน
พูดจาด้วยน้ำเสียงแย่ขนาดนี้ ถ้าคุณพร้อมที่จะปรับตัว ชั้นก็ให้
โอกาสคุณ”
เราต้องยอมเสียตั๋วเครื่องบินไปฟรีๆ ในใจยังสงสารน้องเค้าอยุ่
ต้องทำงานเก็บเงินเพื่อที่จะไปใช้หนี้ให้แฟนด้วย
แต่หลังจากนั้น ไม่นาน คุณแดงก็เก็บเสื้อผ้าหนีออกไป
ได้ข่าวว่า ตามเพื่อนคุณชิดที่เคยมาทานข้าวร้านเราไป
แฟนคุณแดงโทรมาบอกว่า คุณแดงโดนเพื่อนเค้าหลอก
“ แล้วไงค่ะ เค้าสบายดีป่าวค่ะ”
“ อ้อ สบายดีครับ”
“ถ้าสบายดี ก็คงไม่เรียกว่าโดนหลอกแล้วนี่ค่ะ”
“คุณไม่ฟ้อง ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ค่ะ ทุกอย่างทำตามสัญญานะค่ะ”
คุณแดงอยู่ในสภาพวีซ่าขาด เพราะเราแจ้งยกเลิกวีซ่าเค้าแล้ว
และเราจัดการให้ทนายที่เมืองไทยฟ้องเค้าเรียบร้อยแล้ว
เราชนะคดีความ เค้าต้องจ่ายค่าเสียหายตามที่ศาลสั่ง
ส่วนคุณชิด เราก็ไม่ได้รับข่าวคราวอีกเลย

 

โดย: มะระหวาน in uk 5 กรกฎาคม 2550 11:19:24 น.  

 

รวบรวมเรื่องที่เคยเขียนมาเก็บไว้ค่ะ

เป็นการคั่นเวลาค่ะ

 

โดย: มะระหวาน in uk 5 กรกฎาคม 2550 11:21:44 น.  

 

ว้าววววววว ดีใจจัง

มาเป็นคนแรก อิอิ

ตั้งหน้า ตั้งตาปั่นงาน เพิ่งมีโอกาส ชะแว้บมาวันนี้เอง

ดีใจจังที่คุณมะระหวาน ย้ายกระทู้มาไว้ในนี้หมดเลย

 

โดย: Poodie 5 กรกฎาคม 2550 12:40:04 น.  

 

โห้ ... สุดยอดมากค่ะ

ไม่เคยตั้งใจอ่านทุบรรทัด แบบนี้มานานแล้ว

แต่ว่าพี่มะระ นี้เก่งน่ะคะ อดทน สู้ ทุกอย่างเลย

ด้วยประสบการณ์และเวลาจะทำให้คนเรา เก่ง และแกร่ง ขึ้นเสมอ

เอาใจช่วยค่ะ

งิงิ ... ถ้ามีโอกาสได้ไปอังกฤษ ขอไปทำงานด้วยได้ป่าวค่ะ

 

โดย: รักเหมียวแต่ไม่รักเด็ก 5 กรกฎาคม 2550 12:41:29 น.  

 

สวัสดีคุณมะระหวาน

โอ...ยอดเยี่ยมเย ทีนี้หนูมะแมวไม่แง้วๆ....ให้เล่าเรื่องเก่าอีกแล้ว สมใจแฟนๆที่ติดตามอ่าน ขอบคุณนะค๊ะ

ยายเก๋า

 

โดย: ยายเก๋า IP: 125.25.189.104 5 กรกฎาคม 2550 13:05:08 น.  

 

คุณมะระหวานมีบล็อกแล้วเหรอคะ

ยินดีต้อนรับสู่ชาวบล็อคค่ะ

ติดตามอ่านเรื่องของคุณมะระหวานอยู่เหมือนกันค่ะ

จะแวะมาเยี่ยมบ่อย ๆ นะคะ

 

โดย: edelweiss 5 กรกฎาคม 2550 14:51:06 น.  

 

ตามมาอ่าน แต่ยังอ่านไม่จบต้องไปทำธุระก่อน พรุ่งนี้อ่านต่อ ชอบค่ะ

 

โดย: แมงหวี่@93 IP: 58.9.192.150 5 กรกฎาคม 2550 15:10:32 น.  

 

เดี๋ยวจะมาตามอ่านต่อนะคะ...เอาใจสู้ค่ะ....

 

โดย: แม่เจ้าเมฯ 5 กรกฎาคม 2550 16:14:32 น.  

 

อ่านจนจบเลยหละค่ะ
ทุกสิ่งทุกอย่าง กว่าจะประสบผลสำเร็จ
ก็อาจต้องเจออุปสรรคบ้างเสมอ
อาจจะมากหรือน้อยแตกต่างกันไป
ขอให้ร้านขายดี และก็ราบรื่น อย่าได้
เจอเรื่องให้ทุกข์ใจอีกเลยนะค่ะ

 

โดย: ตติตา 5 กรกฎาคม 2550 16:24:24 น.  

 

ตามมาอ่านครับ

สู้ๆครับ ชีวิตในต่างแดน มันไม่ได้แสนสบาย แต่ก็มีเรื่องราวประสบการณ์มากมายให้เก็บเกี่ยวครับ...

 

โดย: pompier 5 กรกฎาคม 2550 16:46:19 น.  

 

คุณมะระหวานมาเปิดบล๊อกของตัวเองแล้วเหรอคะ
เราก็เป็นอีก 1 คนที่อ่านงานเขียน
ของคุณมะระหวานที่พันทิปด้วย
ดีค่ะจะได้มาตามอ่านในบล๊อกนี้แทน
ยินดีต้อนรับค่ะ

 

โดย: Lioness 5 กรกฎาคม 2550 18:40:20 น.  

 

...แล้วจะแวะมาอ่านนะคะเคยอ่านของคุณมะระหวานมาบ้างเหมือนกันค่ะในพันทิป...คืนนี้ฝันดีนะคะ

 

โดย: ratchy69 5 กรกฎาคม 2550 21:59:30 น.  

 

so sad for u to meet that kind of people especially the people who come from the same country as us.Wish u success with ur business na kha

 

โดย: chani noi IP: 24.71.223.148 6 กรกฎาคม 2550 3:07:22 น.  

 

ยายเก๋า ว่ามะแมว..แง้วๆ...อีกแย้ว...ง่า..
คราวที่แล้วเป็นแมวดื้อ..คราวนี้เป็นแมวแง้ว...
อิอิ..

หนูยังอ่านไม่จบเลย..ดึกแร้วเนาะ..แต่มาอ่านแน่นอนค่ะ..

คิดถึง ทุกคนเลยนะคะ

 

โดย: มะแมว (PaTMoNE ) 6 กรกฎาคม 2550 3:15:53 น.  

 

สวัสดีตอนค่ำๆค่ะคุณมะระหวาน
แฟนคลับยังเหนียวแน่นเหมือนเดิม
อิอิ

 

โดย: LiLLa_JoY 6 กรกฎาคม 2550 3:28:20 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณมะระหวาน
คราวที่แล้ว สีชมพูสดใส ครานี้ขาวสอาด ทราบว่าไม่ค่อยมีเวลา พวกแฟน ก็เข้ามานั่งรอนอนรอ หนูมะแมว ตีลังการอ แฮะๆๆๆๆๆๆๆๆ ล้อเล่นนนนนนน โอ๋ๆๆอย่าโกรธยายเก๋าเลยนะหนูแมวคนดี
ถ้ามีภาพประกอบก็ยอดเยี่ยม กระเทียมดองจริงงงงง
ขนาดอ่านมาแล้วก็ยังอ่านอีก อ่านครั้งแรกก็ได้รสชาดแบบทึ่ง เออ เขาเขียนเก่งเล่าเรื่องน่าอ่านชวนติดตาม มาอ่านอีกครั้งรวดเดียวก็ได้อีกรสชาดมีความรักความเห็นใจ ว่าทำไมอุปสรรคถึงมากมายจริง อ่านไปก็เอาใจช่วยไป ขออย่าให้มีปัญหาอีกเลย

ยายเก๋า

 

โดย: ยายเก๋า IP: 125.25.134.217 6 กรกฎาคม 2550 13:42:00 น.  

 

ติดตามอ่านมาจากพันทิปค่ะ...ชอบมากค่ะ...ขอเป็นแฟนคลับด้วยคนนะค่ะ

 

โดย: รักข้ามขอบฟ้า IP: 58.95.15.219 6 กรกฎาคม 2550 17:01:46 น.  

 

สวัสดีค่ะ ทุก ๆคน

ขอโทษนะค่ะที่เขียนช้าไปหน่อย

ยังคิดถึงทุกคนอยุ่นะค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามกันค่ะ

 

โดย: มะระหวาน in uk 6 กรกฎาคม 2550 18:55:09 น.  

 


ตามมาให้กำลังใจ สู้ ๆ นะคะ
ถ้ามีโอกาสไป uk ก็จะสู้ เหมือนกันค่า

 

โดย: bluemayza 6 กรกฎาคม 2550 20:59:40 น.  

 

สวัสดีค่ะ ทุกท่านนนน

มะแมว มาตีลังกา รอค่ะ อิอิ แหม..ยายเก๋านี้นะ..มีฉายามาให้หนูตลอด...เลย..แต่ก็...น่ารักดีค่ะ

คิดถึงยายเก๋าจัง..

แฟนคลับท่านอื่นๆ...สบายดีไหมค่ะ..เดี๋ยวมะแมวจะตามติดแฟนคลับพี่มะระหวาน..เป็นงานต่อไป...อิอิ

 

โดย: มะแมว (PaTMoNE ) 7 กรกฎาคม 2550 2:36:30 น.  

 

ออ..คิดถึงพี่มะระหวานมากๆ ด้วยค่ะ...อยากอ่านเรื่องไพลินจังเลยค่ะ...

คิดถึงทุกคนเลย..

 

โดย: มะแมว (PaTMoNE ) 7 กรกฎาคม 2550 2:37:27 น.  

 

ตามมาอ่านด้วยคนค่ะ ดีจังคุณมะระหวานมีบล๊อกแล้ว

 

โดย: virgo girl 7 กรกฎาคม 2550 3:06:10 น.  

 

ยินดีกับบล็อคใหม่คะ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นคะ ในที่สุดก็มีบล็อคเป็นของตัวเองสักที จะแวะมาบ่อย ๆ นะคะ

 

โดย: แม่ไข่หก (แม่ไข่หก ) 9 กรกฎาคม 2550 12:05:58 น.  

 

อ่นเรื่องพี่แลวหนูหวั่นใจเลย เพราะมีแผนจะไปอยู่กับแฟนที่ uk พอดีเพราพแฟนกำลังจะเปอดร้านอาหาร

 

โดย: ขวัญ IP: 124.121.184.55 11 กรกฎาคม 2550 12:59:31 น.  

 

เพิ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบและตามอ่านมาตั้งแต่กระทู้ใน pantip ค่ะ

มาสมัครเป็นสมาชิก อีกคนค่ะ

(เชื่อไหมคะ อ่านวันเดียวจบเลย ทั้ง 2 ที่ ... แอบอู้งานทั้งวันค่ะ)

คุณมะระหวาน และสามี สู้ๆๆ นะคะ ... อย่างน้อยก็สอนให้เรารู้ว่า "มันเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยที่คนดีจะเจอกับคนดี ตลอด (อย่างน้อยหนูไพลินก็ดีชนะเลิศ) และในหมู่คนดี อาจมีคนไม่ดี อย่างคุณนพ คุณชิด คุณน้อยด้วย เช่นกัน(ซึ่งในความเป็นจริง ถ้าเราเป็นเด็กเสริฟในร้าน เราคงปั้ดเหนี่ยว 2 สามีภรรยา แน่ๆๆ เลย ... โตแล้วยังเกรียนอีก "

ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป จะขอแอบเข้ามาอ่าน และส่งเสียง เชียร์ ต่อๆๆ ๆไป นะคะ

... หนังเพิ่งเริ่มฉาย ... เราก็ต้องสู้ต่อไป ...

 

โดย: ป้าดา IP: 58.8.7.93 12 กรกฎาคม 2550 15:53:07 น.  

 

รอค่ะ รอ

 

โดย: ดอกโสนบานที่ทาสแมเนีย IP: 123.2.73.226 16 กรกฎาคม 2550 10:44:58 น.  

 

รออ่านเรื่องของไพลินอยู่นะค๊า

 

โดย: บนเส้นขอบฟ้า IP: 80.251.192.2 17 กรกฎาคม 2550 3:42:42 น.  

 

ไม่มาอีกหยอ

 

โดย: ดอกโสนบานที่ทาสแมเนีย IP: 123.2.73.226 18 กรกฎาคม 2550 7:57:38 น.  

 

ตามมาเกาะขอบจอด้วยคนค่ะ

 

โดย: honeynut 19 กรกฎาคม 2550 11:50:21 น.  

 

มารอด้วยอีกคนละ
ขอบคุณคุณมะแมวหลายๆเรื่องนะคะ
ขออีเมล์ได้ป่าวคะ ไว้คุย ไว้ถามเป็นการส่วนตัว

 

โดย: ลูกไม้หล่นไกลต้น IP: 125.24.100.59 19 กรกฎาคม 2550 15:46:41 น.  

 

เรื่องยาวมากนะคะ แต่ก็อ่านจนจบ.... แย่จังค่ะ คนไทยที่เอาเปรียบคนไทยด้วยกัน...

 

โดย: thaispicy 2 สิงหาคม 2550 5:48:11 น.  

 

พออ่านจบแล้วขอบอกว่าประทับใจกับความใจสู้ของคุณมากค่ะ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลงทุนจ้างคนมาทำงานจากเมืองไทย ทั้งๆที่อังกฤษมีคนไทยที่ว่างงานและอยากทำงานอยู่ตั้งมากมาย

ไม่ทราบว่าอยู่ที่เมืองไหนค่ะ ถ้ามีโอกาสผ่านไปจะแวะไปอุดหนุนค่ะ

 

โดย: Angie IP: 90.206.26.36 15 พฤศจิกายน 2550 2:03:55 น.  

 

ขอบคุณมากค่ะ ที่ให้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ อ่านจนเพลินเลยค่ะ ถ้ามีเรื่องเล่าดีๆ อีก อยากให้เล่าสู่กันฟัง ได้ความรู้เกี่ยวกับคนอังกฤษเยอะขึ้นค่ะ ขอให้ประสบความสำเร็จนะค่ะ

 

โดย: สุ IP: 124.120.21.43 17 พฤศจิกายน 2550 20:47:03 น.  

 

สวัสดีคะ คุณมะระหวาน...
ติดตามอ่านมานแล้ว..อยากถามว่าของตกแต่งร้านอาหารไทย...คุณมะระหวานไปซื้อที่ไหนคะ..เอามาจากเมืองไทยหรือว่าซื้อที่ร้านในอังกฤษ..ช่วยแนะนำร้านที่ขายของแต่งเช่น ไม้แกะสลัก หรือโต๊ะ เก้าอี้ไม้สวย ๆ ...ภาพไทย ๆ ต่าง ๆ ...ถ้าเราซื้อมาจากไทยแล้วส่งมาทางเรือ หรือซื้อจากที่อังกฤษเลย แบบไหนจะดีกว่าและถูกกว่ากันคะ...จะขอบคุณอย่างสูงคะ

 

โดย: น้ำอ้อยสด IP: 222.123.174.250 30 มกราคม 2551 4:17:06 น.  

 

หวัดดีครับคุณมะระหวาน
ผมได้อ่านบทความที่โพสลงใน Net แล้วอยากทำงานกับร้านอาหารของคุณ เป้าหมายของผมคืออยากทำงานที่นี่และส่งลูกเรียนหนังสือที่นี่เพื่อให้เขาได้ประสบการณ์ในต่างแดนและสามารถเรียนไปด้วยทำงานรับจ้างในร้านของคุณมะระหวาดไปด้วย ผมหวังความก้าวหน้าในชีวิตของลูกแค่นี้แหละครับถ้าผมได้รับการติดต่อกลับ ผมจะทำหน้าที่รับจ้างคุณให้ดีและมีประสิทธิภาพที่สุดเพียงเพื่อสานฝันของผมที่มีมาตลอดชีวิตเรื่องการศึกษาของลูกครับ หวังว่าคงเห็นความสำคัญในความตั้งใจผมบ้างนะครับ
Email mustafa462004@gmail.com , mustafa462004@yahoo.com

 

โดย: นายตั้ม มุสตาฟา IP: 124.120.49.94 3 สิงหาคม 2551 10:01:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


มะระหวาน in uk
Location :
กรุงเทพฯ United Kingdom

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add มะระหวาน in uk's blog to your web]