หมาชิสุ (Shih-Tzu) ในสายตาคนทั่วไป คือ สุนัขตัวเล็กๆหน้าตาน่าเอ็นดู ตาบ้องแบ๊วขนฟูยาวสลวยที่ได้รับการจัดแต่งทรงขนเป็นอย่างดี มัด1จุกบ้าง2จุกบ้าง ลักษณะเหมือนตุ๊กตาหมา มักมีนิสัยเชิดหยิ่งไฮโซเหมือนคุณนาย(ทั้งตัวผู้ตัวเมีย) จับไปวางตรงไหนก็จะนั่งอยู่ตรงนั้น บางตัวจะมีซุกซนบ้างแต่ส่วนใหญ่จะอยู่เฉย นั่งๆนอนๆ คาดว่านิสัยเย่อหยิ่งจองหองนี้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของมัน สมัยอยู่กับพระนางซูสีไทเฮาเมื่อหลายพันปีก่อนนู๊น...แต่ที่กล่าวมานั้น ไม่ใช่เลยสำหรับหมาชิสุที่มีนามว่า ชิโร่ด้วยขนาดที่อ้วนปั้กหนักถึง10กิโล ซึ่งมากชิสุทั่วไปสองเท่า แต่ตัดขนสั้นจุ๊ดจู๋แบบสกินเฮด โกนจุก โกนเท้า ตัดผมบ็อบและหน้าตาที่ยียวนกวนประสาทเหล่าbreeder เป็นที่สุด ใครที่พบเห็นต่างก็อุทานว่า "มันเป็นพันธ์อะไรกันละนั่น" "ต๊าย..หมาทำผมบ๊อบ" "โถ หมาเกรียน น่าสงสารตาแป๋วเชียว" "นี่พันธ์อะไรคะปักกิ่งผสมหมาจูหรือเปล่า" "ชิสุหรือชิฉุกันแน่ เอ๊..สงสัยเป็นชิสุ-กร ฮะๆ" ฯลฯ ซึ่งทำความเจ็บช้ำน้ำใจให้เจ้าของซึ่งคือผมเองอย่างยิ่งยวดการที่เจ้าโร่เป็นแบบนี้ไม่ได้เกิดจากการกลั่นแกล้งของผมเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยพยาธิสภาพของการอยู่อาศัยทำให้ชิโร่ต้องถูกปรับจูนให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เป็นตึกสูงกลางเมือง.. ใช่แล้วครับ ผมอยู่คอนโดมิเนียมชั้น30 ที่เป็นที่เกิดเรื่องราวและวีรกรรมสุดแสบของเจ้าหมาอ้วน 'ชิโร่' หมาคอนโดตัวนี้ผมได้เจ้าชิโร่มาด้วยความบังเอิญโดยแท้ เมื่อ8ปีก่อน ชิโร่วัย2เดือน ถูกเจ้าของเก่าของมันเอามาฝากไว้ที่คอนโดผมเพื่อรอการส่งมอบให้เพื่อนอีกคนนึง แต่ด้วยเหตุผลทางด้านเทคนิคบางประการ เพื่อนที่แสดงความจำนงรับหมาเกิดเปลี่ยนใจไม่เอา แต่เมื่อผมจะส่งหมาคืน เจ้าของเดิมดันไม่แสดงความจำนงรับกลับ (อ้าว)"เนี่ย..แม่นังหนอมเค้าไม่ให้หนอมเลี้ยงหมาอ่ะ เต้ยมาเอาคืนไปเหอะนะ" ผมบอกน้องเต้ย เจ้าของเดิมชิโร่"หมาตัวนี้ไม่ใช่หมาเต้ยหรอก ของพี่ชายเต้ยอ่ะ เต้ยไปขอเค้ามาให้แล้วไม่เอาได้ไง เค้าตัดใจแล้วนะ ตอนยกให้อ่ะเค้าทำใจอยู่ตั้งสองวัน มาเอาคืนไปแบบนี้เค้าเสียความรู้สึกง่ะ เนี่ยตัวสุดท้ายในครอกแล้ว ให้แล้วให้เลยไม่รับคืน" เจ้าเต้ยแถลงหน้าตาเฉย"อ้าวเฮ้ย แบบนี้ก็สวยเด่ะ อีหนอมก็ไม่เอา พี่ชายแกก็ไม่เอา แล้วใครจะเลี้ยงเจ้านี่ล่ะ""พี่ก็รับเลี้ยงเองไปเลยจิ เพิ่งย้ายมาอยู่คอนโดไม่ใช่เหรอ จะได้เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา อยู่กะพี่ต๋อมสองคนเบื่อตายชัก เนี่ยรับไว้เหอะ หมาดี มีเพ็ดดีกรีด้วยแต่หาไม่เจอ พี่เอาไปเลี้ยงก่อนละกันนะ"มีงี้ด้วยวุ้ย คอนโดส่วนมากเขาไม่ให้เลี้ยงหมาอ่ะใครๆก็รู้ แล้วทีนี้จะทำไงดี"งั้นพี่จะลองแอบเลี้ยงไปก่อนนะ ซักสองสามวันคงไม่เป็นไร ไว้เผื่อแม่อีหนอมเปลี่ยนใจ หรือถ้าไม่ได้ก็หาคนมารับช่วงต่อไปละกัน"ผมตอบไปโดยไม่คิดเลยว่า หลังจากนั้น จากสองสามวัน ก็กลายเป็นสองสามสัปดาห์ แล้วก็กลายเป็นสองสามเดือน... แล้วก็กลายเป็น..สองสามปี...ในที่สุด แม่อีหนอมก็เปลี่ยนใจยอมให้เลี้ยงหมาจริงๆแหละครับ แต่เธอไม่ได้กลับมารับชิโร่ แต่ไปเอาเวสตี้น่ารักมีใบเพ็ดดีกรีของจริงมาเลี้ยงแทน ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะได้ตกหลุมรักเจ้าชิโร่ไปเรียบร้อยแล้ว อันที่จริงผมตกร่องปล่องชิ้นกับมันตั้งแต่สองอาทิตย์แรกด้วยซ้ำ อิอิเวลาผ่านไป 8 ปี ถึงวันนี้ผมก็ยังเลี้ยง..และคง(ต้อง)เลี้ยงชิโร่ไปเรื่อยๆ.. T_Tก็มันน่ารักนี่ครับ ดูสิครับหน้าทะเล้นขนาดนี้ไม่ให้หลงรักยังไงไหว ^^'.................................................การเลี้ยงสุนัขยุ่งยากกว่าการเลี้ยงปลา ผมซึ่งชีวิตนี้เคยเลี้ยงหมาครั้งสุดท้ายเมื่อตอนเด็กๆ พอมาเลี้ยงอีกครั้งเมื่อวัยรุ่นตอนปลายแบบนี้ก็เหมือนเริ่มต้นใหม่หมด ยิ่งต้องหลบซ่อนเลี้ยงในคอนโดแบบนี้ยิ่งวุ่นวาย ตอนเป็นหมาตัวเล็กๆก็พอถูไถไปได้อยู่ เริ่มด้วยการฝึกให้อึฉี่เป็นที่เป็นทาง โดยผมยกระเบียงด้านนึงไว้เป็นพื้นที่ขับถ่ายของชิโร่ ด้วยความฉลาดของเจ้าหมา หัดอยู่ไม่กี่วันชิโร่ก็รู้ว่าตรงไหนคือส้วมตรงไหนคือบ้าน ผมเลือกซื้ออาหารเม็ดเฉพาะที่โฆษณาว่ากินแล้วอึจะสวยงามกลิ่นชวนดมเก็บง่าย ส่วนจะขนสวยสุขภาพดียังไงไว้ที่หลัง เอาอึหอมไว้ก่อน แต่พอชิโร่เริ่มโตขึ้น วินาศภัยเริ่มเข้ามาเยี่ยมเยียนเคหสถานของผมตามขนาดตัวหมา ด้วยพลังฉี่และพลังกัดแทะข่มขูดของมัน แม้ชิโร่จะฉี่เมื่อมันปวดก็จริง แต่มันจะมีก๊อกสำรอง เอาไว้มาร์กจุดต่างๆ ตามนิสัยหมาตัวผู้ ยิ่งถ้ามันไม่ได้ดั่งใจหรือผมไม่อยู่บ้านแล้วไม่พามันออกไปด้วย มันจะแกล้งปล่อยฉี่ชนิดเต็มรูปแบบใส่เฟอร์นิเจอร์ทันที ไม่ว่าจะเป็นขาโต๊ะ มุมห้อง บนโซฟา หรือบนเตียงนอนซึ่งมันปีนขึ้นได้อย่างสบาย แม้แต่บนโต๊ะกินข้าวมันก็ขึ้นไปฉี่มาแล้ว จำนวนจุดฉี่จะผันแปรตามเวลาที่ปล่อยมันทิ้งไว้บ้าน ถ้าไปแป๊บเดียวก็1จุด ถ้าเป็นชั่วโมงก็สองสามจุด ถ้าปล่อยไว้ทั้งวันก็เต็มบ้านละครับยิ่งกว่าตลาดหุ้นอีก สมญานามอีกอย่างของมันคือ 'ชิโร่ฉี่ร้อยจุด'ตลอดเวลาที่เลี้ยงมา ชิโร่ถล่มโซฟาของผมพังไปสามชุด พื้นปาเก้เยินจนต้องเปลี่ยนเป็นพื้นกระเบื้อง กัดข้าวของที่วางเกะกะสายตาของคุณท่าน และขูดประตูทุกบานในห้องจนกลายเป็นงานศิลปะไม้โบราณแต่ที่ทำความยุ่งยากในการเลี้ยงที่สุดคือการเห่าหมาพูดไม่ได้แต่เห่าได้ ดังนั้นเมื่อมันต้องการอะไรมันก็เห่า มีงานวิจัยว่าสุนัขมีความฉลาดเท่าเด็ก5ขวบ ซึ่งผมก็ว่าจริง หรือเผลอๆจะมากกว่าอีก เวลาชิโร่อยากได้อะไรมันจะเห่าแถมพยักเพยิดไปทางนั้น เช่น มันไปยืนเห่าหน้าตู้ แล้วมองหน้าผม แล้วมองตู้ แล้วเห่า สลับไปมา แปลว่ามันอยากได้ขนมในตู้ จงไปหยิบให้หน่อยชิโร่มีการเห่าหลายแบบ เห่าสั่ง เห่าอ้อน เห่าข่มขู่ เห่าไล่รปภ.แม่บ้านและเด็กส่งอาหาร หรือแม้แต่เห่าเฉยๆซึ่งคนเลี้ยงจะต้องสังเกตเอาเองว่าท่านจะเอาอะไรจะได้หามาสนองท่าน บางทีผมก็คิดเหมือนกันว่าผมเป็นเจ้านายหรือลูกน้องมันกันแน่ ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบคือ ผมตกเป็นทาสรับใช้หมาไปเรียบร้อยแล้ว หุหุ แต่ความจริงก็คือ ผมกลัวมันส่งเสียงดังน่ะครับ กลัวข้างห้องจะโวย กลัวคนจับได้ว่าแอบเลี้ยงหมาและสิ่งที่ผมกลัวก็เป็นจริง..................................บ่ายวันหนึ่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้อง"สวัสดีครับ" เสียงทักทายจากยามเฝ้าคอนโด"มีไรครับ คุณรปภ." ผมทำหน้ามึนใส่ยาม"คือว่า มีคนแจ้งว่าห้องพี่เลี้ยงสุนัข.." ยามเฝ้าคอนโดแจ้งข้อกล่าวหาที่ผมไม่อยากได้ยิน"เอ่อ..ยังไงกันครับ มีเหรอครับ หมาที่ไหนกันครับ หัวหน้า" ผมพูดพลางจับหางหมาชิโร่ที่วิ่งออกมาทักทายยามที่เพิ่งถูกผมเลื่อนตำแหน่งให้หมาดๆรปภ.หน้าแก่ยิ้มแก้มปริ "แหมๆๆ พี่ แล้วข้างหลังนั่นตัวอะไรล่ะครับสงสัยจะเป็นแมวเนอะ อ้วนฟูเชียว เอางี้ พี่ลงไปคุยกับผู้จัดการตึกดีกว่าครับ ผมมาบอกพี่แค่นี้แหละ พี่ลงไปคุยเองละกัน"หลังจากรปภ.กลับไป ผมก็มาปรึกษาคุณมามี๊ชิโร่ว่าจะทำยังไงกันดี ในที่สุดก็ตัดสินใจว่า ลองเจรจากับทางตึกดีกว่าจะหลบๆซ่อนๆต่อไป เพราะขนาดตัวเจ้าโร่ไม่ได้น้อยเลยแถมยังตัวโตขึ้นเรื่อยๆ เวลาเดินเข้าตึกคนต้องเห็น แผนการแอบเอาหมาใส่กระสอบเสื้อใบหยกหรือซ่อนในพุงทำเป็นท้องคงไม่สำเร็จแน่ผู้จัดการนิติเป็นชายวัยกลางคนท่าทางไม่น่าไว้ใจ หมอมีสมุดเล่มหนาที่เขียนว่า 'ระเบียบการอยู่อาศัยในอาคารชุด' วางไว้ข้างตัว หลังจากกล่าวทักทายพร้อมเชิญให้ผมนั่ง การเจรจาก็เริ่มต้น"กฏของคอนโดมิเนียมข้อ 13 ระบุว่าห้ามเลี้ยงสัตว์ทุกชนิดในคอนโด" ผู้จัดการประกาศ "ยังไงรบกวนให้ความร่วมมือด้วยครับ" "เอ ถ้าผมเลี้ยงปลาตู้ แบบนี้จะผิดกฏหรือปล่าวครับ คุณผู้จัดการ" ผมคิดหาทางออกสุดชีวิต"เลี้ยงปลาก็น่าจะได้ ที่สำนักงานนี่ก็มีตู้ปลาตั้งอยู่ตรงนู๊น" ผู้จัดการชี้มือไปที่ข้างประตูมีตู้กระจกขนาดย่อมมีปลาทองว่ายอยู่สองสามตัว"อ้าว แบบนี้นิติบุคคลก็ทำผิดเองสิครับ ไหนว่ากฏคอนโดไม่ให้เลี้ยงสัตว์ไง"ผู้จัดการสะดุ้ง"เอ่อ..ที่กฏห้ามไว้น่ะหมายถึงสุนัขหรือแมวนะครับ เพราะมันส่งเสียงเห่ารบกวนเพื่อนบ้าน ถ้าคุณเลี้ยงปลาแล้วปลาคุณเห่าเราก็ไม่ให้เลี้ยงเหมือนกัน" ผู้จัดการคำรามแผนขั้นที่1ไม่ได้ผล ผมเริ่มขั้นต่อไป"เนี่ย ทำไมคอนโดข้างตึกเราเขาเลี้ยงหมากันได้ละครับ มีทั้งโกลเด้น ลาบาดอร์ ตัวใหญ่ๆ ฝรั่งเดินจูงขึ้นลงตึกเดินเล่นกันเพียบเลย เราน่าจะเอาอย่างเขาบ้างนะ ผมเห็นเมืองนอกตึกใหญ่ๆที่ไหนเขาก็ให้เลี้ยงหมากันทั้งนั้น จริงไหมครับผู้อำนวยการ" ผมอ้างพร้อมเลื่อนยศให้ผู้จัดการ"นั่นมันเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ไฮโซครับ ค่าเช่าเขาอย่างต่ำๆเดือนละตั้งห้าหมื่น ผมไปถามมาแล้ว ที่โน่นเขาให้เลี้ยงแต่ที่นี่ไม่ได้ แล้วก็ผมเป็นผู้จัดการนิติไม่ใช่ผู้อำนวยการ" ผจก.ปฏิเสธตำแหน่งผอ.ที่ผมมอบให้อย่างไม่มีเยื่อใยเมื่อแผนขั้น2ไม่เวิร์ก ผมจึงเริ่มไม้ตาย หลังจากก้มลงไปป้ายหัวหอมที่เตรียมมาเรียบร้อย ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับท่านผอ."ผมขอพูดตามตรงเลยละกัน พวกเราไม่ได้อยากทำผิดกฏหรอกครับ คืองี้ ภรรยาผมเขาอยากมีลูกมากแต่มีไม่ได้เพราะเป็นเนื้องอกในรังไข่อ่ะครับ แฟนผมเค้าเสียใจมากจนเป็นโรคซึมเศร้าไปเลย คุณหมอก็เลยแนะนำให้เลี้ยงหมาเป็นลูกแทน ไม่งั้นอาจถึงขั้นเป็นโรคจิตได้ เนี่ยเราสองคนเลยจำเป็นต้องแอบเลี้ยงหมา" ผมอ้างด้วยน้ำตาคลอเบ้า "คนโรคจิตบางทีก็ทำร้ายตัวเอง และทำร้ายผู้อื่น อันตรายนะครับ"คู่สนทนาของผมเริ่มมีอาการลังเลผมกระโดดพรวดข้ามโต๊ะไปเกาะแขนผจก.ด้วยแววตาที่สามารถละลายคนใจหินที่สุดในโลกได้"ให้ผมเลี้ยงเถอะนะครับ ผมกะแฟนรักหมาตัวนี้มากๆ ม๊ากมาก แล้วน้องหมามันก็รักพวกเรามากๆๆๆเนี่ยถ้าเราต้องพรากจากกันตอนนี้หมามันต้องตรอมใจตายแน่นแน่ ผู้จัดการใจดีคงไม่ปล่อยให้ลูกหมาตาดำๆต้องตายใช่ไม๊ครับนะครับนะครับนึกว่าทำบุญเถอะน้าๆ"ผู้จัดการสลัดหนีการเกาะกุมของผมและทำหน้าเหนื่อยหน่าย"เฮ้อ..เล่นกันยังงี้เลยเหรอ" แกบ่น"เอางี้ละกัน เอาเป็นว่าให้เลี้ยงได้เฉพาะหมาตัวนี้นะครับ ห้ามเอามาเลี้ยงเพิ่ม แล้วก็ต้องทำตามข้อตกลงของที่นี่ด้วย นี่นับว่าโชคดีนะที่ในกฏข้อ 49 ระบุไว้ว่า การอลุ้มอล่วยกฏข้อบังคับให้เป็นอำนาจของผู้จัดการนิติจะพิจารณาตามสมควร" "เย้ๆๆ ท่านประธานใจดีจังครับ ขอบคุณมากๆๆๆ" ผมกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจข้อตกลงระหว่างผมกับสำนักงานนิติฯคือ1. ให้เลี้ยงหมาอยู่ในห้องเท่านั้น ห้ามปล่อยออกมาที่โถงทางเดินหน้าลิฟท์เด็ดขาด2. ห้ามพาหมาเดินเพ่นพ่านในพื้นที่ส่วนกลางอันได้แก่ โถงล๊อบบี้ สระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนสและสวนหย่อม3. ถ้าจะพาหมาลงมาเดินเล่นข้างนอก ให้ใช้ลิฟท์ขนของในการขึ้นลง และต้องอุ้มไว้ตลอด4. ห้ามมิให้หมาส่งเสียงรบกวนเพื่อนบ้าน ถ้าโดนร้องเรียนจะต้องเอาหมาออกไปทันที5. ได้รับการยอมให้เลี้ยงเป็นกรณีเฉพาะเท่านั้น ห้ามเลี้ยงเพิ่มแม้แต่ตัวเดียวในที่สุด ชิโร่ก็ได้รับอนุญาตให้อยู่ในคอนโดได้ด้วยประการฉะนี้...................................คอนโดมิเนียมผมแม้จะมี 2 ห้องนอน และมีห้องนั่งเล่น แต่นั่นสำหรับนั่งเล่น ไม่ใช่ไว้วิ่งเล่นผมจึงต้องพาชิโร่ลงไปเดินออกกำลังตามถนนตรอกซอกซอยใกล้บ้าน บางทีก็เดินเลี้ยวเข้าไปในมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งที่นี่เขายอมให้หมาเข้าได้ มีเพื่อนหมาๆเดินกันอยู่หลายตัว เจ้าของหมาต่างก็ช่วยดูแลสถานที่โดยมีถุงเก็บอึกันทุกคนสมัยที่ชิโร่ยังขนยาวอยู่นั้น เมื่อกลับจากวิ่งเล่นข้างนอกบ้าน กว่าจะทำความสะอาดเสร็จต้องใช้เวลามาก เพราะไม่ใช่แค่ล้างเท้าอย่างเดียว ยังต้องล้างขา ล้างหนวด ล้างพุง ล้างก้น อันที่จริงเกือบจะเป็นการอาบน้ำแล้วแหละเพราะเหลือบริเวณหลังเท่านั้นที่ไม่เปียก แถมยังต้องเป่าขนอีกเป็นชั่วโมง ไม่ล้างก็ไม่ได้เพราะถ้ามันเอาก้นเปื้อนอึบุกขึ้นเตียง คราวนี้ต้องซักทั้งเซ็ทผ้าปูที่นอน และซักหมาด้วย กลายเป็นซวย 2 เด้งไปพระท่านว่า จะดับทุกข์ ต้องตัดต้นเหตุแห่งทุกข์ ด้วยเหตุนี้ผมจึงทดลองเอาเจ้าชิโร่ไปตัดขนให้สั้นลง เพื่อหวังว่าการลดปริมาณทุกข์ย่อมทำให้ช่วงเวลาแห่งทุกข์สั้นลงด้วย ผมจะได้มีเวลาไปทำมาหากินให้มีความสุขบ้าง เพื่อจะได้เงินมาปรนนิบัติเจ้าหมาอ้วนให้เป็นสุขเป็นสุข(เถิด)แต่การตัดขนหมาแสบตัวนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อผมฝากชิโร่ไว้ที่ร้านตัดขนหมา แทบทุกครั้งผมจะได้รับโทรศัพท์ตามตัวให้มารับหมากลับก่อนกำหนดเนื่องจากมันงับมือช่างจนตัดไม่ได้ บางร้านแค่อาบน้ำยังไม่สำเร็จ ผมต้องขับรถไปทั่วกรุงเทพฯเพื่อหาร้านที่ช่างตัดขนมีใจนักสู้ พร้อมจะลุยกับเจ้าหมากระหายเลือดตัวนี้ ร้านไหนใครว่าเจ๋ง ผมต้องพาชิโร่ไปท้าพิสูจน์ทุกที่ไปมีอยู่ร้านนึง เจ้าของร้านมีดีกรีแชมป์ตัดขนประเทศ ผมไปส่งชิโร่ตั้งแต่เช้า เจ้าของร้านต้อนรับด้วยความยินดีที่ได้ตัดขนหมาดัง ตอนนั้นชิโร่เริ่มมีชื่อเสียงในเวปพันทิป เพราะผมเอารูปมันไปโพสต์แล้วมีแฟนคลับติดตามอยู่บ้าง หลังจากผ่านไป 8 ชั่วโมง ผมแอบดีใจว่า งวดนี้ไม่ยักโดนส่งคืนสงสัยเจอของจริงเข้าแล้วเจ้าโร่เอ๋ย เมื่อผมไปรับหมาตอนเย็น คุณกระเทยเจ้าของร้านยืนหน้าตูมคอยอยู่แล้ว"ตัวแค่นี้แต่ดุมากนะยะ เนี่ยตัดยากม๊ากกกกก เดี๊ยนเลยต้องออกแบบทรงให้ใหม่เลย" เจ้าของร้านยื่นหมาชิโร่คืนให้ด้วยมือที่มีพลาสเตอร์พันแผลสด"ผมต้องขอโทษด้วยครับ พี่ไม่เจ็บมากใช่ไหมคร้าบ" ผมไหว้ขอโทษปะหลกๆพร้อมนำตัวชิโร่ในทรงแคนดี้จอมแก่นกลับบ้านอย่างรวดเร็ว..............ร้านตัดขนอีกร้านนึง ใจเย็นเหลือหลาย "หมาดุ เราต้องนิ่ง เค้างับ เราหยุด เค้าพร้อม เราตัดต่อ" ช่างตัดขนสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นดุจแม่ชีศันสนีย์ปรากฏว่า วันนั้นชิโร่ไม่ได้กลับบ้าน ต้องนอนที่ร้าน เพราะผ่านไปหนึ่งวันช่างเพิ่งจะตัดขนได้สำเร็จแค่ส่วนหัวและใช้เวลาตัดส่วนอื่นๆอีกสองวัน กว่าผมจะได้รับหมาชิโร่ในสภาพขนเว้าๆแหว่งๆกลับบ้าน ส๊าาา..ธุร้านบางร้านก็เหมือนละคอนน้ำเน่าช่อง7 ที่ลูกนางเอกโดนสลับตัวกับตัวร้าย ตอนไปรับหมาผมแทบกริ๊ดเพราะหมาชิโร่กลายเป็นหมาหนังกลับโดนไถขนแบบสกินเฮด แต่เหลือหัวไว้ที่ช่างไม่กล้าตัดกลัวโดนงาบ ดูเผินๆเหมือนดอกกระถิน เมื่อถามไถ่ไล่เรียงดูก็พบว่า ใบสั่งตัดขนของชิโร่ไปสลับกับหมาอีกตัวที่เป็นโรคผิวหนังและโดนคำสั่งกร้อนขนทั้งตัว เฮ้อ..หลังจากตระเวนตัดขนไปทั่ว ผมก็ได้ข้อสรุปทรงขนที่เหมาะสมกับหมาชิโร่ นั่นคือ ตัดขนลำตัวให้สั้นพอประมาณ ตัดหูเป็นทรงบ๊อบสั้น และกร้อนขนเท้าแบบพูเดิ้ล เพื่อมิให้เลอะเวลายกขาฉี่ช่างที่ออกแบบทรงขนให้บอกว่านี่เรียกว่าทรง "Puppy Thai Town"ซึ่งทรงนี้กลายเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา ถึงขนาดมีการปริ๊นท์รูปชิโร่จากในเวป ไปเป็นตัวอย่างในร้านเชียวนะครับใครที่เลี้ยงหมาชิสุ ถ้าขี้เกียจดูแลขนแบบผม จะเอาทรง 'ปั้บปี้ไถเท้า' ของชิโร่ไปลองตัดดูก็ได้นา......................................................................ชื่อเสียงการเป็นหมาจอมโหด ชอบงับมือมนุษย์ของชิโร่เลื่องลือไปทั่ว ที่โดนบ่อยๆจะเป็น ยาม แม่บ้าน คนกวาดถนน แม่ค้า เด็กส่งพิซซ่า โดยเฉพาะคนที่แต่งตัวรุ่มร่ามจะโดนบ่อยกว่าคนอื่น อันที่จริงผมว่าหมาทุกตัวมักมีสัญชาติญาณไม่ไว้ใจคนที่ไม่คุ้นเคยอยู่แล้วแหละ แต่สำหรับชิโร่ ไม่ว่าจะคุ้นหรือไม่คุ้น มันงาบหมด ยิ่งถ้ามาร้องกริ๊ดกร๊าดจะลูบหัวจะอุ้มมันยิ่งแง่งใส่ ผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อของชิโร่มีมากมาย ตั้งแต่ ดารา นางแบบ เออี หมอฟัน เซเล็บทุกสาขาอาชีพ ต่างก็โดนไอ้หมาแสบงาบกันทั่วหน้าครั้งหนึ่งมันเคยงับจมูกจีจี้ น้องผู้หญิงหน้าตาดี(มาก) ระหว่างไปเที่ยวเกาะมันนอกกับทริปบริษัทที่ผมทำงานอยู่ เล่นเอาทริปเกือบล่ม โชคดีที่เลือดหยุดไหลซะก่อนน้องอีกคนโดนชิโร่กัดเท้า ตอนแรกนึกว่าแผลนิดหน่อย ชิวชิว สองวันต่อมาต้องแอดมิดโรงพยาบาล เพราะดันไปกัดโดนเส้นเลือดดำ ทำให้แผลอักเสบ T_Tเวลาที่ชิโร่จะกัดใครนั้นดูไม่ยากเพราะหนวดมันจะฟูขึ้นมาก่อน บางคนเห็นแบบนี้นึกว่ามันยิ้มให้ซะอีก แต่สำหรับคนที่คุ้นเคยกับมันย่อมรู้ว่านี่คือสัญญาณอันตราย หากไม่หยุดพฤติกรรมยั่วโมโหชิโร่จะงาบอวัยวะชิ้นใดชิ้นหนึ่งของท่านในไม่ช้าเหตุที่มีคนตกเป็นเหยื่อชิโร่เยอะก็เพราะความที่มันหน้าตาน่ารักตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยนี่แหละครับ ใครเห็นก็ต้องเอ็นดูอยากจะอุ้มมันทุกรายไปคำโบราณที่ว่า "เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด" ใช้กับชิโร่ได้เป็นอย่างดี................................................................................การที่ชิโร่กลายเป็นหมาดุเช่นนี้ ผมคิดว่าคงเพราะความที่มันเหงา ต้องอยู่ตัวเดียวในคอนโดก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสผมจะพามันออกไปเที่ยวในทุกที่ที่พอจะพาหมาไปได้ มันชอบเที่ยวมาก ชิโร่เคยไปเชียงใหม่ ปาย เพชรบูรณ์ โคราช กาญจนบุรี ระยอง พัทยา หัวหิน ทุกที่ที่อนุญาตให้หมาพัก แต่เท่าที่สังเกตดูมันจะชอบเที่ยวภูเขามากกว่าทะเลทุกครั้งที่ขึ้นรถ ชิโร่จะตื่นตาตื่นใจมาก มันจะยืนเกาะกระจกชมวิวอย่างไม่รู้เบื่อ แต่ถ้ารถติดไฟแดงมันจะคอยเห่าสิงห์มอเตอร์ไซค์ข้างๆแทน และไม่รู้เป็นอะไรมอไซค์ทุกคันจะต้องทำหน้าลิงหลอกเจ้าใส่ชิโร่ ซึ่งนั่นทำให้มันโมโหขึ้นไปอีก ผลคือ คนในรถก็ขี้หูเต้นระบำกันไป ที่โปรดของชิโร่คือการยืนเกาะหน้าคอนโซล มันชอบช่วยเหลือกดปุ่มต่างๆที่ผมไม่เคยร้องขอ อารมณ์นักบินผู้ช่วยประมาณนั้น เช่น บีบแตรใส่รถคันข้างหน้าแบบนอนสต๊อปจนเขาจอดรถจะลงมาต่อยเอา นอกจากนี้ชิโร่ยังชอบปรับช่องแอร์ให้เป่าลมใส่พุงมันคนเดียว ชอบปิดเปิดวิทยุเล่นแถมด้วยเปลี่ยนสลับคลื่นAM FM ไปมา กดเปิดที่ปัดน้ำฝนในตอนแดดเปรี้ยง กดไฟเลี้ยวตอนวิ่งตรงผ่านสี่แยก กดไฟติ๊กต่อกทั้งที่ไม่มีอะไรemergency (นอกจากตัวมันนั่นแหละ) ฯลฯ คือถ้าเป็นเครื่องบินจริงๆนี่รับรองว่าโหม่งโลกแน่นอน ที่สำคัญชิโร่ยังกดปุ่มเลื่อนกระจกหน้าต่างลงเองได้ด้วย ถึงผมจะกดสู้ให้กระจกเลื่อนขึ้น มันจะกดลงพร้อมกับหันมาทำหน้าเยาะเย้ยผม แล้วยื่นหน้าออกไปรับลมเย็นๆให้เป็นที่หวาดเสียวคนขับแต่เป็นที่กริ๊ดกร๊าดของบรรดาสาวๆที่รอรถเมล์ข้างถนนเป็นยิ่งนัก..........................................................ที่เล่ามาทั้งหมด ดูเหมือนชิโร่จะมีแต่ความน่ากลัว แต่จริงๆแล้ว ในความน่ากลัวของมันมีความน่ารักแฝงอยู่ไม่น้อยอย่างแรกคือ มันจะแสดงความดีใจเวลาผมกลับบ้านอย่างออกนอกหน้า ด้วยการพุ่งทะยานออกมาเลียหน้าเลียปากด้วยหน้าตาที่บ่งบอกว่า คิดถึ๊งคิดถึง ราวกับพลัดพรากจากกันไปซักสิบปี ทั้งที่จริงไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง ช่วงควอลิตี้ไทม์นี้จะกินเวลาราวหนึ่งนาที หลังจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน ชิโร่จะกลับไปนั่งหมอบประจำการในบีนแบ็กของมันเหมือนเดิมความน่ารักอีกอย่างของชิโร่ คือ มันสามารถแสดงโชว์ได้(บ้าง) แม้จะไม่ถึงขั้นหมาประกวด แต่ก็ตลกดี พอขำขำ เช่นท่าเบสิกอย่าง สวัสดี หมอบ หรือจะแอดวานซ์ขึ้นไปอีกขั้นคือ กลิ้งตัวขอขนมได้ แกล้งตายได้ กระโดดไกลด้วยท่ากระรอกบิน ซึ่งไม่ใช่แต่ผม ใครก็ตามที่มีขนมอยู่ในมือจะให้ชิโร่ทำอะไรทำได้ทุกอย่าง แต่ถ้าจะสั่งชิโร่ด้วยมือเปล่านั้น ขอบอกว่ายาก อย่างมากมันจะมานั่งอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะสั่งให้ นั่งลง! หมอบ! กลิ้งตัว! จะได้รับการตอบสนองด้วยสายตาเฉยชาไม่ดุกดิก แต่ถ้ามันหิวอยากกินขนมเมื่อไรชิโร่มันจะมานั่งจ้องหน้าทำตาละห้อย ทำหน้าตาน่าสงสาร ยกมือสวัสดีเองโดยไม่ต้องขอ หรือล้มลงไปกองกะพื้นแกล้งตายโดยไม่ต้องสั่ง ไม่มีใครทนลีลาออดอ้อนของมันได้นาน ซึ่งมันจะกลับไปด้วยขนมเต็มปากทุกครั้ง นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชิโร่ตัวอ้วนตุบ หนักเกินพิกัดหมาชิสุ กลายเป็นชิสุยักษ์ ด้วยเหตุนี้สำหรับหน้าที่ประจำของชิโร่ คืองานเฝ้าบ้านนั้น ชิโร่ทำได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง กล่าวคือ มันเห่าใส่ทุกครั้งที่มีเสียงกรอกแกรกอยู่แถวประตู แค่ยามเดินมาตรวจตึกประจำวันมันก็เห่าแล้ว แม่บ้านถูพื้นนอกห้องมันก็เห่า คนเดินผ่านห้องมันก็เห่า ทุกครั้งมันโดนผมดุมันจะจ๋อยแต่ไม่เคยจำ สรุปได้ว่าชิโร่หูดีแต่ความจำสั้น แม้ชิโร่ดุแต่ก็ขี้ขลาดสุดๆ ครั้งหนึ่งมีแมลงสาบบินเข้ามาในห้อง มามี๊ชิโร่ร้องกริ๊ดๆ ผมก็วิ่งพล่านหายาฉีด ปรากฏว่า ชิโร่มุดหลบไปอยู่ใต้โซฟาก่อนใคร เฮ้อ ถ้าโจรบุกเข้ามาจริงๆจะไปกัดสู้เขาไหวไม๊เนี่ยด้วยความน่ารักน่าเอ็นดูของชิโร่ ทำให้รูปของมันถูกส่งต่อๆกันกลายเป็นฟอร์เวิดเมล หลายต่อหลายครั้ง ใครที่ชอบรับ e-mail บ่อยๆ น่าจะเคยเห็นรูปชิโร่บ้างละ Fwd.mailที่ฮิตๆบางทีได้ลงหนังสือพิมพ์ก็มี ความอุบาทว์เหล่านี้ล้วนเกิดจากฝีมือผมทั้งนั้น ด้วยความแค้นที่โดนชิโร่ทำร้ายทั้งร่างกาย จิตใจ และสิ่งของ ผมซึ่งไม่มีทางออก จะตีก็สงสารเลยแกล้งซะด้วยวิธีที่ผมถนัด หุหุฉากเลียนมในสุริโยไท...............................จากวันแรกที่ได้ชิโร่มา จนถึงปัจจุบัน ตอนนี้ชิโร่อายุได้ 8 ขวบแล้ว เปรียบเป็นคนก็เกือบจะ 60 ปี แต่มันก็ดูแข็งแรงสมบูรณ์มาก การเลี้ยงหมาในคอนโดสูงๆก็มีข้อดีอย่างนึงคือ สภาพแวดล้อมสะอาด นอนเตียงไม่ได้สัมผัสดิน ไม่มียุง ทำให้โรคภัยไข้เจ็บไม่รบกวน ชิโร่ไปโรงพยาบาลน้อยมาก ที่เจ็บหนักๆมีหนเดียวคือ ตาเป็นแผลเนื่องจากไปเล่นกะหมาตัวอื่นแล้วโดนข่วน แต่ก็รักษาจนหายสนิทชิโร่แต่งงานแล้ว 3 ครั้ง มีเมีย 3 ตัว กิ๊กอีก 2 ลูก 2 ครอก รวม 9 ตัว ทุกตัวได้มรดกความแสบไปจากพ่อทั้งสิ้น ทุกครั้งที่ชิโร่มีลูกก็ยกให้ฝ่ายเจ้าสาวเขาไปหมด แม้ผมจะอยากเอามาเลี้ยงเพิ่มแต่ก็ไม่ได้เนื่องจากต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับคอนโดแม้วันเวลาจะผ่านไป แต่ความรัก ความผูกพันที่เรามีให้แก่กัน ระหว่างผม คุณมามี๊ และชิโร่ ไม่เคยลดน้อยลงเลย ทุกครั้งที่เหนื่อยๆ กลับมาบ้านเห็นหน้าเจ้าหมาแสบก็ให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ถึงบางครั้งมันจะทำของพังเสียหาย กัดแขนกัดขาผมจนพรุน อย่างมากผมก็โกรธมันแป๊บเดียว พอเห็นดวงตาที่เขาจ้องเรา มันเป็นแววตาของความรักที่ไม่มีการเรียกร้องอะไรตอบแทน (นอกจากขนม) เป็นแววตาที่ทุกคนที่เลี้ยงหมาเท่านั้นเข้าใจและทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของชิโร่ ชิสุยักษ์ หมาอ้วนยอดแสบ หมาคอนโด แต่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร ชิโร่จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมตลอดไป...................................ปล. ผมขอสารภาพว่า จริงๆแล้วภรรยาผมไม่ได้เป็นเนื้องอกหรอกครับ เราสองคนเพิ่งได้ลูกชายคนแรก(ที่เป็นคนจริงๆ) เพิ่งคลอดได้ 2 เดือน ตอนนี้ชิโร่ได้น้องชายแล้ว ยังไม่รู้ว่าชีวิตครอบครัวของเราจะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหน ชิโร่จะรักน้องหรือเปล่า จะอิจฉาน้องไม๊ เป็นสิ่งที่ครอบครัวเราต้องเผชิญต่อไป แต่ผมเชื่อว่า ความรักจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ เมื่อเรารักกันซะอย่าง อะไรๆมันก็ดีไปหมดละครับ
Your browser does not support iframes.