หนังสร้างจากประสบการณ์จริงของ Chris McCandless (Emile Hirsch) เด็กหนุ่มวัย 24 ที่หลังจากจบจาก college แล้ว ตัดสินใจครั้งใหญ่ที่จะเปลี่ยนชีวิต"เก่า"ของเขาไปตลอดกาล เขาเผา เงิน บัตรประชาชน และทุกสิ่งทุกอย่างที่บ่งบอกถึงความเป็นคนในสังคมมนุษย์ เพื่อที่จะออกเดินทางไปตามความตั้งใจที่เขาใฝ่ฝันมาโดยตลอด นั้นก็คือการไปอยู่ในป่าลึก ท่ามกลางความโดดเดี่ยวในรัฐอลาสก้า โดยตลอดการเดินทาง เขาได้พบกับผู้คนมากหน้าหลายตา ทุกๆ คนล้วนมีบางสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิต แต่บางทีการผ่านเข้ามาของ Chris อาจจะทำให้ส่วนที่พวกเขาขาดหายไป กลับถูกเติมเต็มได้อย่างไม่คาดฝันก็เป็นได้
หลังจากหายหน้าหายตาจากการกำกับหนังไปร่วมหกปี (เรื่องล่าสุดคือ The Pledge ที่นำแสดงโดย Jack Nicholson) Sean Penn ได้กลับมากำกับหนังอีกครั้ง แต่จริงๆแล้ว นี้คือโปรเจ็คที่เขาอยากทำมาร่วมนับสิบปี เมื่อจนมีโอกาสทำแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ ในการสร้างเป็นอย่างดี (ทุกๆ ฉากที่อยู่ในหนัง คือสถานที่จริงๆที่ Chris เคยเดินทางผ่าน) Sean Penn ได้วางโครงสร้างของหนังได้อย่างชาญฉลาดและซับซ้อน หนังเปิดด้วยฉากสุดท้ายเมื่อ Chris ที่อาศัยอยู่ในรถบัสคันนั้น แล้วย้อนกลับไปในการเดินทาง ที่ทำให้เค้ามาลงเอยอยู่ที่นี้
ความสุขจะเป็นจริงเมื่อถูกแบ่งปันกับผู้อื่น ; เป็นบทเรียนสุดท้ายที่ Chris นึกขึ้นได้ ถึงแม้ว่าจะสูญเสียมากกว่าที่เขาคาดคิดก็ตาม ผู้เขียนคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังจำพวก road movie ที่มีความพิเศษอยู่ในตัวเอง ถึงแม้ว่าการเดินทางที่เราจะได้สัมผัสนั้น จะมีความยาวเพียงแค่สองชั่วโมงครึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่เราจะได้รับนั้น มีคุณค่าสำหรับชีวิตคนทั้งชีวิตเลยทีเดียว
จุดประสงค์ของหนัง road movie นั้นอาจจะไม่ต่างจากกันมากนัก "จุดมุ่งหมายอาจเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญเท่ากับประสบการณ์ที่ได้รับจากการเดิน ทาง" "Into the Wild" ก็เป็นหนึ่งในหนังจำพวกนี้ ที่ตัวเอกของเรื่องเดินทางข้ามประเทศเพื่อจะหาความหมายของชีวิตตัวเอง (ไม่ว่า "ความหมายของชีวิต" จะมีความหมายว่าอะไรก็ตาม) แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกถึงความแตกต่างนั้นก็คือ ในขณะที่หนัง road movie อื่นๆ พยายามจะยัดเยียดบทเรียนของชีวิตให้เรา ไม่ว่ามันจะสมเหตุสมผลผลกับเรื่องที่เราได้ดูมากน้อยแค่ไหนก็ตาม "Into the Wild" คือประสบการณ์เดินทางจริงๆที่สอนให้เรารู้คุณค่าของชีวิต โดยที่ผู้สร้างไม่ได้พยายามยัดเยียดให้เราเลยสักนิดเดียว
Artist Eddie Vedder Title Hard Sun Album OST. Into The Wild
Hard Sun คือเพลงประกอบภาพยนตร์ เรื่อง Into The Wild ที่สร้างมาจากวรรณกรรมของ Jon Krakauers (จอน คราครัว) นำแสดงโดย Emile Hirch (เอมิลี่ เฮิร์ช - Alpha Dogs, Girl Next Door) เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มที่ละทิ้งทรัพย์สินและชีวิตของตัวเองเพื่อเข้าไปเผชิญกับความป่าเถื่อนของดินแดนอลาสก้า ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากเรื่องจริงที่โดนใจผู้อ่านทั่วโลกมาแล้ว
Into The Wild กำกับโดย Sean Penn (ฌอน เพน) เขาเองอยากจะได้ soundtrack ที่สามารถสื่อถึงเรื่องราวจากภาพยนตร์ได้ เขาจึงมอบหน้าทีนี้ให้กับ Eddie Vedder จากวง Pearl Jam ซึ่งเขาก็แต่งเพลงนี้ได้อย่างไพเราะ ด้วยอารมณ์ที่ลึกซึ้งกินใจ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นที่ชื่นชอบสำหรับแฟนเพลงวง Pear Jam เท่านั้นแต่ยังสามารถกระจายไปสู่แฟนเพลงที่ชอบฟังงาน Acoustic และนักร้อง นักแต่งเพลงทั้งหลายอีกด้วย
Eddie Vedder นักร้องจากวง Pearl Jam รับหน้าที่ทำดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์เรื่อง Into The Wild (ฅนค้นฝัน) หนังดราม่าชีวิตอีก 1 เรื่องที่ผมอยากจะแนะนำให้หลายๆคนหามาดู ดนตรีและเพลงประกอบแนวโฟล์คและออคูสติกนุ่มๆ ช่วยให้เนื้อหาของหนังมีความเข้มข้นอย่างชัดเจนเพลงเรียบๆที่เข้ากันได้ดีกับบรรนากาศของหนังที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ เป็น Ost. ที่เหมาะกับการนั่งฟังชิวๆสบายๆจริงๆครับ
รายชื่อเพลง
1. Setting Forth 2. No Ceiling 3. Far Behind 4. Rise 5. Long Nights 6. Tuolumne 7. Hard Sun 8. The Wolf 9. End of the Road 10. Society 11. Guaranteed
whenever you felt that your heart is going to breakdown feel it with the love of God ask for his and then you will find out what is the truth love in Your life as he does for me!
GOD always forgive your mistake the one that you cant even forget, he always does it and always being with us to help and blesss us for us whose heart is full of him
โดย: da IP: 124.120.6.112 วันที่: 30 มีนาคม 2553 เวลา:23:26:28 น.