มิถุนายน 2550

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
26
27
28
29
30
 
All Blog
live in Vietnam ภาคจบ Halong-Hanoi-Thailand
ต่อจากภาคที่แล้วนะครับ

หลังจากที่เราได้ออกเดินทางจากอ่าวฮาลองแล้วก็เดินทางย้อนกลับมายังเส้นทางเดิม ซึ่งในระหว่างทางนั้นหนึ่งในพวกเราได้ปวดฉี่ จึงต้องมีการแวะปั้ม แต่พอเรามาถึงปั๊มเราก็แทบจะฉี่กันไม่ลงเนื่องจาก.....สภาพห้องน้ำ ไม่มีประตู ไม่มีที่กั้น ไม่มีช่องให้ฉี่ มีแต่ทางระบายน้ำ(ฉี่)เล็กๆ เอาไว้ ไม่มีน้ำไว้ล้าง กลิ่นแรงนิดหน่อย ทางปั๊มคงกะเอาไว้ให้ฝนตกทีนึงให้มันล้างโดยธรรมชาติมั้ง ดีนะที่ไม่ได้ปวดหนักไม่งั้นเดินไปถ่ายกลางทุ่งนาแน่ๆ ส่วนห้องน้ำหญิงนั้นสภาพไม่ต่างกันเลยครับเหมือนกัน พวกพี่ๆป้าๆผู้หญิงเลยต้องเข้าทีล่ะกัน ส่วนพวกผู้ชายก็ยืนฉี่เรียงกันคนละมุมครับ


หลังจากที่ทำธุระส่วนตัวเรื่องฉี่เสร็จ(ซึ่งมีบางคนไม่กล้าฉี่) ก็ออกเดินทางต่อเข้าสู่ตัวเมืองหลวงฮานอย ซึ่งก่อนที่จะเข้าสู่ตัวเมืองหลวงฮานอยนั้นเราก็จะข้ามแม่น้ำแดง ซึ่งเราก็จะเห็นสะพานๆหนึ่งรูปทรงแปลกตา ที่แปลกตาเพราะขอบสะพานที่ทำด้วยเหล็กนั้นสูงไม่เท่ากัน ไกด์บอกเราว่าสะพานนี้เป็นสะพานที่ฝรั่งเศสสร้างเอาไว้ ภายหลังถูกระเบิดจากสงคราม ต่อมาคนเวียตนามก็เลยมาซ่อมแซม ซึ่งจุดที่โดนระเบิดและจุดที่คนเวียตนามซ่อมแซมก็คือบริเวณที่ขอบสภาพต่ำกว่าส่วนอื่นครับ


หลังจากที่เราเข้ามาถึงฮานอยแล้วก็เข้าไปพักในโรงแรมครับ โรงแรมที่เรานอนกันนี้ผมจำชื่อม่ะได้แล้ว เพราะเป็นโรงแรมที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาพัก เนื่องจากเป็นความผิดพลาดของโรงแรมที่เราจองไว้ ที่ไม่ยอมจองห้องให้พวกเรา เล่นเอาไกด์เราด่าเป็นภาษาเวียตกับพนักงานในโรงแรมนั้นเลย ก็เลยต้องร่อนเร่หาโรงแรมกันใหม่สุดท้ายก็ได้ที่นี่ ซึ่งเป็นโรงแรมที่มีลักษณะเป็นอาคารพานิชย์ชั้นล่างขายเสื้อผ้า ชั้นบนเป็นที่พัก ตอนนี้พวกเราก็คิดว่าอะไรก็ได้แล้ว เด๋วจะไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนในคือนี้ ก็เลยเช็คอินกัน ซึ่งโรงแรมนี้ตั้งอยู่กลางใจเมืองเลยครับ อยู่ใกล้กับถนน 36 สายที่เป็นที่ขายของต่างๆมากมาย อยู่ไม่ไกลกลับสระคืนดาบ กับโรงละครหุ่นกระบอกน้ำ ดีมากๆเลยครับ หลังจากเช็คอินแล้วเอาของขึ้นไปเก็บ อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็รีบลงมาเดินเล่นในตัวเมืองกัน ซึ่งก็อย่างในภาพครับพลุกพล่านมาก คนที่นี่นิยมใช้มอเตอร์ไซต์กันเยอะ คนที่นี่ขับมอไซต์กันเก่ง บีบแตรกันบ่อยจนหนวกหู จะแซงก็บีบ จะเลี้ยวก็บีบ เจอคนรู้จักก็บีบ เจอหนุ่มหล่อ เจอคนสวยก็บีบ วุ่ยวายกันไปหมด ในการข้ามถนนต้องระวังครับ เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าข้ามยาก พอเอาเข้าจริงไม่ยากเท่าไรครับ วิธีข้ามถนนคือ เดินข้ามไปเลยครับ อย่าไปทำเดินช้าๆกล้าๆกลัวๆ จะเดินก็ไม่เดิน เพราะคนขับขี่มอเตอร์ไซต์ที่นี่เขาเก่งครับเขาจะหลบเราไปเอง สำหรับคนไทยที่คิดจะขี่มอไซต์ในเวียตนามก็ขออย่าเลยครับ อันตราย เราไปขี่แบบนั้นคงปรับตัวไม่ได้ คนที่นั่นไม่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวเลยครับ ขี่กันฉวัดเฉวียน เป็นเรื่องธรรมดา แต่อุบัติเหตุบนท้องถนนกลับน้อยมาก


พอเดินออกจากโรงแรมได้สักพักก็ไปซื้อของกัน ระหว่างทางก็เหลือบไปเห็นผู้ชายวัยกลางคนกับวัยรุ่นกำลัง สูบอะไรซักอย่างโดยใช้กระบอกไม้ไผ่ ตอนแรกก็ตกใจนึกว่าสูบฝิ่น แต่ที่ไหนได้เป็นการสูบยาเส้นครับ


ข้างๆกับบริเวณที่มีผู้ชายสูบยากันนั้น ก็จะมีร้านค้าร้านนึงชื่อร้าน Mask ซึ่งเป็นร้านขายของที่ระลึกหลายอย่าง แต่ที่เด่นๆ ก็คงจะเป็นหน้ากาก ซึ่งผมก็ซื้อมาด้วยแปลกดี ผมชอบงานฝีมือ


ที่เวียตนามนี่ร้านดอกไม้ก็เยอะนะครับ ที่สำคัญจัดสวยมากๆ เราเห็นในบ้านเราเราก็ว่าจัดสวยแล้วนะ ไปเห็นการจัดดอกไม้ที่เวียตนามนี่ก็สวยไม่แพ้บ้านเราเลย เรียกว่าสวยคนละแบบ


หลังจากที่ได้ซื้อของกันพอสมควร ก็ได้เวลาไปดูการแสดงหุ่นกระบอกน้ำครับ อยู่ไม่ไกลเดินแป๊บเดียวเอง นักท่องเที่ยวที่มาดูการแสดงก็มักจะเป็น คนไทย ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี และก็คนจีนครับ นี่คือบัตรเข้าชมครับ


ซึ่งก่อนจะเข้าไปในโรงละคร เขาก็จะมีพัดกระดาษแจกครับ คงกันเผื่อแอร์ข้างในไม่เย็น (เพราะจากเท่าที่สัมผัสด้วยตัวเอง สถานที่ที่ติดแอร์ในเวียตนามนอกจากโรงแรมและสถานที่สำคัญๆจริงๆก็จะไม่ติดแอร์ครับ ถึงถ้ามีแอร์ก็ไม่เย็น) ผมก็เลยหยิบเอาพัดติดกลับมาเมืองไทยซะเป็นกำมือ และไอ้เจ้าพัดนี่ล่ะที่เป็นเรื่องขำขันกัน คือ พอเข้าไปในโรงละคนแล้วทุกคนก็จะเอาพัดมาพัดกัน พอคลี่พัดและพัดไปวูบแรก โบ๊ะ!!! ถึงกับพะง่ะ ทุกคนก็อึ้งกับกลิ่นของพัดที่เหม็นมากๆ รู้สึกว่าจะเหม็นกาวที่เอาไว้ทำพัด ซึ่งคงอาจจะเสีย ซึ่งเรื่องนี้พวกเราไม่ได้คิดไปเอง ผมยังเหลือบไปเห็นแม่ลูกฝรั่งก็เช่นกัน คนลูกเอาพัดมาพัดเสร็จก็เอาพัดมาดมและก็ให้แม่ดม คนแม่นี่ทำหน้าแบบบูดเบี้ยวเลย 555
นี่คือภาพในโรงละครก่อนที่จะมีการแสดงครับ


การแสดงเริ่มต้นด้วยการบรรเลงดนตรีเวียต ซึ่งเพราะมากๆง่ะ คล้ายกับดนตรีจีนแต่เพราะดี ไม่น่าเชื่อเล่นเอาเคลิบเคล้ม ไม่อยากกลับเมืองไทยเลย อยากอยู่ที่นี่ไปเลยอย่างไงอย่างงั้น


สำหรับการแสดงชุดแรกเป็นการแสดงชุดมังกรพ่นไฟ สวยดีครับ คนเชิดก็เก่งด้วย เชิดได้พริ้วดี


การแสดงชุดนางระบำ(ตั้งชื่อเองนะ)


การแสดงจริงๆมีหลายชุดครับมีทั้งตลกๆก็มี สื่อถึงวิถีชีวิตชาวเวียตก็มี แต่ถ่ายมาไม่หมดครับเกรงใจคนอื่น เพราะจริงๆแล้วถ้าหากเราจะถ่ายรูปต้องซื้อตั๋วถ่ายรูปด้วยครับ นี่ก็ลักลอบถ่ายไปตั้งหลายแชะแล้ว
พอการแสดงจบลงผู้เชิดก็สาธิตการเชิดแว๊บนึง และก็จะออกมาจากหลังม่านเพื่อโชว์ตัวหน้าตากันครับ


หลังจากดูหุ่นกระบอกน้ำเสร็จก็หิวกันพอดี ซึ่งตามโปรแกรมเราจะไปกินอาหารเวียตนามบุฟเฟห์กัน และนี่คือสถานที่ที่เราไปกินกันครับ ซึ่งอาคารสวยดีครับเป็นอาคารศิลปกรรมเวียตนาม เราไม่ได้ไปกินข้างในอาคารนี้นะครับ รู้สึกว่าจะเป็นระดับ VIP ติดแอร์ด้วย อาคารที่เราไปกินเป็นอาคารไม้เหมือนศาลาขนาดใหญ่ธรรมดาๆ


อาหารเวียตมีให้เลือกมากมาย โดยระหว่างที่เรากินนั้นก็จะมีคนขับกล่อมเล่นดนตรีทั้งดนตรีเพลงเวียตและเพลงนานาชาติด้วยเครื่องดนตรีเวียตนาม สำหรับเพลงนานาชาติที่เล่นนั้นก็จะเล่นเอาใจแขกชาตินั้นๆ เช่น เพลงอารีรังก็จะเอาใจคนเกาหลีที่มากิน เพลงจีนอะไรซักอย่างผมเองจำชื่อไม่ได้ พอเพลงที่เป็นเพลงของชาติตนขึ้น คนที่เป็นคนชาตินั้นๆก็จะโห่ร้องตบมือกัน แต่ไมไม่รู้ผมไม่ได้ยินเพลงไทยเลย(หรือว่าตอนที่มาเขาเล่นไปแล้วก็ไม่รู้)


หลังจากกินกันเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาปล่อยผีเดินซื้อของกัน ต่างคนก็แยกกันไปซื้อของที่เราต้องการกัน ผมกับแฟนก็ไปซื้อของด้วยกัน ผมอยากได้โคมไฟเวียต ก็เดินไปหา ถามๆไปเรื่อยๆด้วยภาษาอังกฤษที่สำเนียงสุดยอด แต่โง่ไวยากรณ์กับศัพท์+ภาษาจีนอันงูๆปลา+ภาษาไทยอันแข็งแกร่งของเรา จนได้ซื้อมาสมใจ และปัจจุบันก็เอามาแขวนไว้ที่ห้องแล้วครับ จริงๆแล้วอยากได้ทรงอื่น และก็เป็นสีแดง หรือสีเขียวมากกว่า
และนี่คือโฉมหน้าโคมไฟที่ผมซื้อมาครับ


หลังจากซื้อของกันจนหนำใจแล้วก็กลับโรงแรมครับ อาบน้ำอาบท่า และนี่คือที่พักของเราในคืนนี้และเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะนอนที่เวียตนามด้วยครับ


วันที่สาม วันสุดท้าย

ตื่นเช้ามาอาบน้ำอาบท่าออกมากินอาหารเช้าที่ชั้นบนสุดของโรงแรม(โรงแรมมี 6 ชั้น)


กาแฟเวียตซึ่งจะแปลกตาสักนิดเพราะใส่นมข้นไว้ด้านล่าง ไม่ได้คนมาให้เรา นี่ถ้าเป็นกาแฟร้อนแล้วก็จะไม่แปลกเพราะบ้านเราก็มี แต่นี้เป็นกาแฟนเย็นใส่นำแข็งด้วย คนลำบาก แต่กาแฟอร่อยดีครับติดใจเลย



แจกัน+ดอกไม้ประดับแต่ห้อง


หลังจากกินกันพอเป็นพิธีก็ออกเดินทางไปเที่ยวกันต่อ จุดหมายวันนี้คือไปเคารพศพลุงโฮและไปเที่ยววัดครับ ก็นั่งรถโคชต่อกันไป ระหว่างทางก็เจอสิ่งที่น่าสนใจและแปลกตาเลยเอามาให้ดูกันครับ

ก่อนออกเดินทางก็เหลือบไปเห็นวิถีชีวิตชาวเวียตกัน ในภาพนี่ก็คือ วิถีการกินอยู่ด้วยขนมปังฝรั่งเศส โดยเขาก็จะไม่ได้กินเปล่าๆหรือจุ่มนมนะ เขาจะผ่าตรงกลางแล้วเอา ตับบดหรือไส้อื่นๆมาทาก่อน


อาม่าครับเห็นแกน่ารักดีอยากเข้าไปถ่าย พอดีพวกแฟนผมห้ามไว้บอกว่า เคยไปถ่ายตอนที่แกไปเที่ยวที่เว้ ว่าเข้าไปถ่ายด้วยแล้วแกคิดตังค์ด้วยอ่ะ เลยไม่กล้าเข้าไปถ่าย ก็เลยขอถ่ายแบบซูมเอาล่ะกัน


พอขึ้นรถได้ รถเราก็พาเรามุ่งตรงไปยังสุสานลุงโฮ ระหว่างทางก็เจอนี่ครับ อนุสาวรีย์เลนินซึ่งว่ากันว่าเป็นอนุสาวรีย์เลนินชิ้นสุดท้ายในโลกครับ


ตำรวจจราจรของที่นี่ มีร่มด้วยวุ๊ย


ตึกอาคารทรงฝรั่งเศสมากมาย


ถึงแล้วครับบริเวณสุสานลุงโฮ แต่ตั้งแต่จุดนี้เขายึดกล้องกับกระเป๋าครับห้ามพกเข้าไปเลยไม่ได้ถ่ายอะไรจนกว่าจะออกมาจากสุสานครับ


โดยในการเข้าชมนั้นเขาก็จะแบ่งแถวเป็น 2 แถว แถวหนึ่งเป็นแถวสำหรับคนเวียตนาม(เขาให้เดินตากแดด) และอีกแถวหนึ่งเป็นแถวคนต่างชาติ(จะมีหลังคาบังแดดให้) และมีระเบียบในการเข้าชมที่ว่า เมื่อเข้าไปในสุสานแล้วห้ามคุยกัน ห้ามส่งเสียงดัง ให้เดินต่อไปเรื่อยๆห้ามหยุดจนกว่าจะออกมา ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปในสุสานพวกทัวร์เกาหลีก็พูดกันเสียงดัง(คนเกาหลีชอบเงี้ยพูดจาเอะอะโวยวาย) ก็เลยโดนทหารมาเตือน ข้างในสุสานแอร์เย็นดีครับ เราเดินไปจนได้เคารพศพลุงโฮ ซึ่งนอนอยู่ในโลงแก้ว พวกเรามองศพลุงโฮแล้วก็ทำความเคารพ และเดินออกมา พอเดินออกมาปุ๊บพวกเราก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นศพจริงหรือเปล่า มันเหมือนกับของปลอดหรือหุ่นขี้ผึ้งเลย(มากับพวกสาธารณสุขก็เงี้ย) แต่อ้ายจันไกด์ของเราก็ยืนยันว่าเป็นศพของลุงโฮๆจริงๆ โดยการเก็บรักษาศพนั้นได้เทคโนโลยีใหม่จากรัสเซียในการเก็บรักษา
พอออกมาปุ๊บและได้กล้องคืนปั๊บ ก็รีบมาถ่ายรูปสุสานลุงโฮเลยครับ
และนี่คือหน้าตาของสุสานลุงโฮ


หลังจากนั้นไกด์เราก็พาไปดูที่ทำการรัฐสภาของเวียตนาม สีเหลืองสวยเชียว อ้อ! ลืมบอกไปว่าสถานที่ราชการของเวียตนามทุกที่จะทาสีเหลืองครับ
รัฐสภาของเวียตนาม


หมู่อาคารที่ทำการของราชการ


ห้องพัก(นอน)ลุงโฮ


สระน้ำที่ลุงโฮขุดขึ้นเอง


อากาศร้อนมากเล่นเอาอ้ายจันไกด์ของเราเหงื่อท่วมเลย


ที่เห็นอยู่นี่คือบ้านของลุงโฮครับ ลุงโฮแกอยากอยู่แบบสงบๆพื้นๆลุงโฮเลยปลูกบ้านเป็นบ้านไม่แบบเรียบง่ายครับ พูดงายๆลุงโฮเป็นคนสมถะและพอเพียง


ใต้ถุนบ้านลุงโฮก็จะมีทหารที่สวมชุดเกียรติยศซึ่งจะเป็นชุดสีขาวยืนเข้าเวรยามอยู่ ซึ่งทหารเหล่านี้นั้นจะอยู่ในระเบียบมากครับ ผมขอเข้าไปถ่ายรูปด้วยเขาบอกว่าไม่ได้


ขึ้นมาบนบ้านแล้วครับและนี่คือห้องนอนลุงโฮ


ที่เห็นอาคารหลังเขียวๆนี่เป็นเรือนรักษาพยาบาลเมื่อครั้งลุงโฮป่วย


สวนส้มโอที่ลุงโฮปลูกมากับมือ


พอเดินออกมาจากบริเวณบ้านลุงโฮเพื่อที่จะเดินออกมาข้างนอกก็ได้เจอกับหนุ่มเวียตคนนึงครับ น่ารักดีเลยแอบถ่ายเก็บไว้ เสียดายที่สูบบุหรี่ ลืมบอกไปครับว่าหนุ่มเวียตนั้นชอบสูบบุหรี่ครับ และจะไม่ค่อยไว้หนวดไว้เครากัน พอดีเห็นหนุ่มคนนี้ดูดีและไว้หนวดไว้เคราด้วยก็เลยถ่ายซะ


เดินมาได้ไม่ไกลก็จะเจอกับวิหารเสาเดียว ซึ่งถ้าจำไม่ผิดนั้นมูลเหตุการสร้างเกิดจากการที่ฮองเฮาของกษัตริย์พระองค์หนึ่งได้บนบานขอลูกชายกับเจ้าแม่กวนอิม ต่อมาพระนางจึงสมหวังได้พระโอรส จึงได้สร้างวิหารหลังนี้ขึ้นมาถวายเจ้าแม่กวนอิม ว่ากันว่าต้องการสร้างให้เป็นทรงของดอกบัวที่มีก้านโผล่ขึ้นจากน้ำ


ถัดจากวิหารเสาเดียวก็ไปดูพิพิธภัณฑ์ของลุงโฮกันครับ
ซึ่งเป็นที่ที่บอกเล่าเรื่องราวและประวัติ วิถีชีวิตและแนวคิดของลุงโฮเอาไว้ครับ


และนี่คือที่ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปกัน ถ่ายกับรูปปั้นลุงโฮ


สิ่งของต่างๆที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าความเป็นมาและสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับลุงโฮ


บ้านที่ลุงโฮอยู่มาตั้งแต่เกิด ซึ่งได้จำลองขึ้นมาให้ทุกคนได้รับรู้


จากนั้นเราก็นั่งรถออกไปยังวัด Tran Qouc ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งอยู่บนกลางเกาะในทะเลสาป


ทะเลสาปนี้ยังมีบริการล่องเรือ หรือยังสามารถรับประทานอาหารบนเรือก็ย่อมได้


เดินเข้าไปในวัดกันเลยครับ เราจะเห็นเจดีย์แดงได้แต่ไกลเลย


ทางเดินเลียบเกาะก่อนเข้าวัด


เมื่อเข้าในวัดแล้วเราก็จะเห็นเจดีย์ที่ก่อด้วยอิฐ ซึ่งเจดีย์เหล่านี้เป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าอาวาสของวัดนี้


วิหารวัด


กระถางธูปขนาดใหญ่


มุมสวยๆในวัด


แอบถ่ายหนุ่มเวียตอีกแล้วววว.ว.วว


และที่เห็นในภาพคือที่ตั้งศพของเจ้าอาวาสองค์ที่ก่อนที่มรณภาพไปครับ


หลังจากเดินชมวัดจนทั่วแล้ว พวกเราก็เดินออกมาเพื่อจะเดินทางต่อครับ ระหว่างทางก็เจอแม่ค้าขายลูกพลัมอยู่ แม่ค้าคนนั้นเธอก็ตะโกนบอกผมว่า "Hi Madam! Plum..." ไอ้เราก็ตะโกนกับว่า "(กู)ไม่ใช่ มาดาม(โว๊ย)" เล่นเอาพวกเราขำกันเลย


พอขึ้นรถเรียบร้อยแล้วพวกเราก็ไปรับประทานอาหารกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งผมจำชื่อไม่ได้จากนั้นก็ไปเดินห้างที่เป็นห้างของกรุงฮานอย ซึ่งผมก็จำชื่อไม่ได้เช่นกัน โดยภายในห้างนั้นมี 6 ชั้น ดูโดยรวมเป็นห้างเล็กครับเมื่อเทียบกับห้องในบ้านเรา ถ้าเทียบกับพิษณุโลกแล้ว ก็พอๆกับห้อง TOP LAND ครับ
นี่คือสภาพภายในห้างครับ คนเวียตนามเองไม่นิยมเดินห้างกันซักเท่าไร ผู้คนก็บางตา สินค้ามีให้เลือกซื้อไม่มากนัก


ร้านแว่นตาครับพอดีแว่นกันแดดผมน๊อตมันหาย ผมเลยตัดสินใจมาซ่อมที่ร้านนี้ (โดยใช้ความรู้ภาษาอังกฤษทั้งหมดเท่าที่เคยเรียนมา อิอิ)


พอซ่อมแว่นเสร็จก็ไปเที่ยวกันต่อที่ทะเลสาปคืนดาบที่อยู่ไม่ไกลจากห้างและโรงแรมที่พักของพวกเราสักเท่าไรครับ ที่เห็นในภาพเป็นเจดีย์บนเกาะกลางน้ำ


ซึ่งที่บริเวณทะเลสาบนี้จะมีวัดหง๊อกเซินครับ เป็นวัดที่สร้างขึ้นจากตำนานของทะเลสาปนี้ เท่าที่ผมจำได้รู้สึกว่าเป็นตำนานที่เกี่ยวกับจักรพรรดิ์องค์หนึ่งของเวียตนามต้องทำศึกกับจีน ต่อมาจึงมีเต่า(ซึ่งน่าจะเป็นตะพาบซะมากกว่า) เอาดาบมาให้ ซึ่งจักรพรรดิ์ก็นำดาบนั้นนำไปต่อสู้จนมีชัยชนะ และต่อมาภายหลังจากศึกสงครามสงบลง เต่าตัวนั้นก็ได้คาบเอาดาบเล่มนั้นกลับหายไปลงในทะเลสาบ
ทางเข้าวัดครับ


สินค้าที่ระลึกขายอยู่บริเวณทางเข้าของวัด


สะพานแดง ผมว่าคุ้นๆนะยังกับเคยผ่านตาในเรื่องฮอยอันฉันรักเธอไงไม่รู้


ลายปูนปั้นประดับรูปเต่าให้ตำนาน


ในวัดครับ


ในวัดอีกมุม


เจอแล้วครับคู่แข่งของป้าตุ๊กเรา รองเท้าสู้ป้าเราได้มั๊ยน๊ออ.อ


ดูกันจะจะ


เกือบลืมให้ดูเลย นี่คือเต่าตัวใหญ่ครับ ผมเข้าใจว่ามันน่าจะเป็นตะพาบ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเป็นเต่าตัวเดียวกับในตำนานหรือเปล่าแต่ที่แน่ๆอายุของมันน่าจะเป็นหลายร้อยปีแล้ว ตอนที่มันตายก็ได้ถูกสต๊าฟไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ดู


หลังจากนั้นเราก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางไปซื้อของฝากและใช้เวลาที่เหลืออยู่อีกไม่กี่ชั่วโมงบนผืนแผ่นดินเวียตนามเพื่อเก็บภาพความประทับใจต่างๆ
รถได้ผ่านไปเจอกับอาคารหลังหนึ่งครับ สวยดี ไกด์บอกเราว่าเป็นโรงละครแห่งชาติ


จากนั้นเราก็ไปที่ตลาด Dong Xuan ซึ่งคล้ายกับกาดหลวงที่เชียงใหม่ สภาพข้างในก็คล้ายกันเลยครับดังภาพ


หลังจากนั้นเราก็ต่างแยกย้ายกันไปซื้อของกันจนถึงเย็น อ้ายจันตั้งใจจะพาเราไปกินสเต๊กร้านที่อร่อยที่สุดแห่งหนึ่งในฮานอย แต่แกดันจำทางไม่ได้ก็เลยต้องถามทางจากหนุ่มเวียตคนนี้


สุดท้ายเดินไปเดินก็แกก็ยังหาร้านไม่เจอ ท้ายสุดก็กินร้านสเต๊กร้านนี้ครับ ซึ่งเราเห็นครั้งแรกก็ต้องอึ้ง เพราะทางเข้าร้านมันเล็กและแคบเหลือเกิน ตามรูปเลยครับ สำหรับรสชาตินั้นก็ธรรมดาๆครับ แต่เรื่องที่แปลกในการกินอาหารของคนเวียตก็คือ เรื่องผ้าเย็น ที่ร้านอาหารมักจะมีผ้าเย็นแจก ซึ่งในการแกะผ้าเย็นออกจากถุงนั้น ถ้าเป็นคนไทยเราก็จะค่อยๆฉีกออก แต่คนเวียตจะเอามือตบให้ถุงแตก จนกลายเป็นเสียงดัง "โป๊ะ"กันหนวกหู พาเอาเราตกใจไปหลายหน
และนี่คือทางเข้าร้านครับ ช่องที่เห็นเล็กๆน่ะครับใช่เลย


ดูทางเข้ากันจะๆอีกที


หลังจากกินเสร็จก็เดินตระเวณถ่ายรูปวิธีชีวิตชาวเวียต

ร้านตัดผม ตัดกันริมถนนเลย


ร้านขายข้าว ขนม ซึ่งคนเวียตชอบกินอยู่แบบนี้ครับ นั่งกันบนเก้าอี้กับโต๊ะตัวเล็กๆนั่งกินกันริมถนนอย่างสบายใจ


นี่ก็เช่นกันครับ ถ้าเป็นบ้านเรายังไงก็ต้องเป็นโต๊ะสูงๆมีเก้าอี้ให้นั่งห้อยขาได้


หาบเร่


และก็มาถึงช่วงสุดท้ายของการทัวร์ครั้งนี้คือการเดินทางกลับประเทศไทย เราก็ไปเริ่มต้นที่สนามบินนอยใบ
เพื่อไปเช็คอินครับ


หลังจากเช็คอินและโหลดกระเป๋าเสร็จ พวกเราก็มานั่งรอขึ้นเครื่องกันครับ และนี่ก็เป็น ร้านค้าปลอดภาษีของที่นี่


จนแล้วจนเล่าจนเวลา 3 ทุ่มครึ่งโดยประมาณประตูก็เปิดให้เราขึ้นเครื่อง ซึ่งครั้งนี้ผมไม่ได้วิ่งกรูรีบกันไปต่อแถว เพราะในใจลึกๆไม่อยากกลับเลย อยากใช้เวลาอยู่ที่นี่ให้นานที่สุด ในขณะที่ต่อแถวก็เจอกับผู้หญิงสาว 2 คนเข้ามาทักทาย แล้วก็ถามว่าคนไทยรึป่าวค่ะ ก็ตอบเขาไปว่า "ใช่" พวกเธอก็บอกว่า เข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนเวียตนาม ผมก็ถามว่าทำไม เธอก็ตอบว่า ก็ผู้ชายเวียตนามหล่อ...........(เป็นงั้นไป) หลังจากนั้นก็ขึ้นเครื่องครับ

และปิดท้ายด้วยภาพของอาหารค่ำสำหรับผม บนสายการบินแอร์เอเชีย


บทสรุปการเดินทาง
การเดินทางมาเวียตนามถือได้ว่าคุ้มค่าครับ เพราะราคาไม่แพงนัก ซึ่งถ้าหากมากันเองไม่ง้อบริษัททัวร์แล้ว ราคาต่อทริปก็ไม่ถึงหมื่นหรอกครับ ในส่วนของการมาท่องเที่ยวที่เวียตนามในครั้งนี้นั้นผมได้ไปสถานที่ใหญ่ 2 แห่งคือ ฮาลองและฮานอย
สำหรับฮาลองนั้น ก็น่าตื่นตาตื่นใจพอควรสมกับเป็นมรดกโลกที่มีภูเขากลางทะเลจำนวนมาก แต่พออยู่ไปนานๆก็เริ่มเบื่อ เพราะไม่มีอะไรให้ทำเลย นอกจากนั่งดูภูเขา
ส่วนฮานอยนั้นมีสถานที่จับจ่ายซื้อของจำนวนมาก ที่ขึ้นชื่อ เช่น ของที่ระลึก ของพื้นเมือง กระเป๋าก๊อบ รองเท้าหนัง ที่มีให้เลือกอยู่หลายแบบจำนวนมาก คนเวียตนามนิยมใส่กัน) ซึ่งเป็นหนังแท้จากอิตาลีด้วยนะครับ ราคาก็ประมาณ 1,200 บาทขึ้นไป ฯลฯ สำหรับคนที่ไม่ชอบสินค้าแนวๆนี้ก็คงต้องผ่านไปเลยครับ ในส่วนของสถานที่ท่องเที่ยวของเขายังน้อยและไม่สวยเท่าบ้านเราครับ แต่เพื่อเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิต ก็คุ้มค่าที่จะมาครับ
Tips
1.การจับจ่ายซื้อของ แนะนำให้แลกเป็นเงินดอลล่าห์กับเงินดองครับ เพราะหลายร้านเช่นกันที่ร้านค้าไม่รับเงินไทย โดยเฉพาะร้านเล็กๆที่มีอยู่ทั่วๆไป ทั้งนี้สินค้าในเวียตนามมักมีซ้ำๆและเหมือนกันหลายร้าน แต่ไม่สามารถหาราคาที่แน่นอนได้ต้องอาศัยการต่อ ต่อมากๆ ยิ่งเราทำท่าจะไม่ซื้อหรือไม่สนใจของแล้ว เขาจะลดให้เราอีกครับ
2.ภาษา รู้หลายๆภาษาดีครับ อันได้แก่ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ซึ่งคนที่นี่พูดจีนกลางกันพอได้อยู่ทีเดียว และสุดท้ายก็ภาษาไทยนี่แหละครับ
3.เครื่องดื่ม เตรียมพกน้ำ พัด ร่ม ผ้าเย็น ยาดม ยาแก้เมาเรือ(ผมเมาตอนนั่งเรือชมอ่าวฮาลอง)

จบแล้วครับกับ review การเดินทางในทริปนี้ ถ้ามีการเดินทางในทริปใหม่จะเอามาให้เพื่อนๆดูอีกครั้งครับ ที่แน่ๆ ปลายเดือนสิงหาคมนี้ผมจะไปเซี่ยงไฮ้ครับ แล้วพบกันครับ








Create Date : 22 มิถุนายน 2550
Last Update : 11 เมษายน 2553 9:19:36 น.
Counter : 4484 Pageviews.

1 comments
  
อิจฉาๆ ไปเที่ยวกับแฟน ว่าแต่ผมจะพาแม่ไปเที่ยวมั่งเนี่ย จะติดต่อ อ้ายจัน ได้ยังไงอ่ะครับ
โดย: BESTINO วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:14:12:02 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปืนแก๊ป
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Google