แม่รักลูกเองไม่ต้องจ้าง..ห่วงลูกเองไม่ต้องจ้าง..หวังดีต่อลูกเองไม่ต้องจ้าง...คุ้มครองลูกเองไม่ต้องจ้าง
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2556
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
21 มิถุนายน 2556
 
All Blogs
 
โชคดี...อะไรเช่นนี้/ตะพาบหลัก ที่83





"โชคดี.....จริง ๆ"

                 นาง  รำพึงกับตัวเองแต่จิตใจของนางกลับห่อเหี่ยวสวนทางกับถ้อยคำ
ที่นางบ่นพึมพัมมาตลอดวันนี้

สิบปี ....หรือ....สิบสองปี   ไม่สิ ...............สิบห้าปีต่างหาก

นางได้ยินลูกชายคนเล็กเอ่ยขึ้นเมื่อวานนี้เอง

   "ตลอดสิบห้าปีที่แม่อยู่นี่... พวกพี่มากันกี่ครั้ง กี่หน...? น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่พอใจ

   "มีแต่ผม....ไอ้น้องทีไม่เอาถ่านนี้แหละ" ลูกชายนางตะโกนลั่นไม่สนใจสักนิดว่านางปวดร้าวเพียงใดที่เห็นลูก ๆ ทะเลาะกัน

แต่สิ่งที่ลูกชายคนเล็กพูดนั่น เป็นความจริงที่นางขมขื่นในใจตลอดมา

ในระยะปีสองปีแรก  พวกเขา หมั่นมาเยี่ยมนางเสมอ มีของอร่อย ทั้งคาว-หวาน ที่นางชอบ มาฝาก ประจำ  บางวัน มีหลานตัวน้อย ๆ มาวิ่งเล่นให้นางได้ สดชื่น มีความสุข

เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว....นางมีความสุขเสมอมา

     ครอบครัวนางเคยเพียบพร้อม   การค้าที่มั่นคง  การเงินที่มั่งคั่ง  มีสามีดี ดูแล นางและลูก ๆ อย่างเต็มที่ เป็นสามีตัวอย่าง เป็นพ่อดีเด่น

ตัวนางเองนั่นเล่า  ก็มีรูปเป็นทรัพย์  คงความงามสมวัย ได้อย่างทึ่ง

ลูกชายสอง หญิงหนึ่ง ทุกคนแต่งงาน มีครอบครัวที่ ทัดเทียมกัน

นางมีความภาคภูมิใจ ในสิ่งมีอยู่....... เป็นอยู่..........


รอยยิ้มหยันบางๆ ผุดที่ริมฝีปากสีกลีบบัว 

"สิ่งเหล่านั้น มีอยู่...เป็นอยู่....แต่ไม่คงที่"


เมื่อวันหนึ่งมาถึง ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป    



                  กระจกเงาบานใหญ่สะท้อนให้เห็นหญิงชราวัย เจ็ดสิบสี่ปี     วันและเวลาสิบห้าปี
ที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้รูปโฉมนางเปลี่ยนแปลง   

                  โลกของนาง  ที่มีนางและ คนรับใช้ชาย-หญิง   มั่งมีและศรีสุข  คือคนรับใช้เก่าแก่ อยู่กับนางตลอดวันเวลาที่ผ่านมา


"โลกของนางไม่เคยเปลี่ยน.......แต่โลกภายนอกกลับเปลี่ยนไป"



ภาพตรงหน้าพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตา  นางโทษตัวเอง ต่อว่าตัวเอง ที่เป็นฝ่ายละทิ้งลูกและสามี

                เพียงสามปี หลังจากนางจากมา   สามีที่เคยบอกว่า  "รักนางคนเดียว"

ก็มีหญิงอื่น     ความร้าวฉานระหว่าง พ่อกับลูก เกิดขึ้น


นางเข้าใจความเหงา ความว้าเหว่ ของสามี

แต่ที่นางไม่เข้าใจคือ   "ทำไม? สามีต้องบังคับลูก ๆ ยอมรับผู้หญิงของเขาด้วย"


นางเคยไปหาเขาด้วยความโกรธ...กราดเกรี้ยว  และผิดหวัง

แต่ นางไม่อาจห้ามปรามได้............เพราะ สิทธิของนาง ไม่มีอีกต่อไป

นางไม่อาจเรียกร้องสิ่งใด ๆ ได้อีกต่อไป  บ้าน ทรัพย์สมบัติ แม้กระทั่งสามี

ก็ไม่มีสิ่งใด เป็นของนางอีกต่อไป


      ลูกสาว เคยมาร้องไห้ คร่ำครวญว่า  พ่อหลงเมียใหม่  ลืมแม่..ลืมลูก

ข้าวของ เครื่องประดับของแม่  พ่อก็ให้เมียใหม่

     นางได้แต่นั่งนิ่งฟัง ไม่อาจปริคำใดออกมาได้ ด้วยความรวดร้าว

อีกวันต่อมา ลูกชายคนโต มาบ่นว่า "พ่อไม่ยอมโอนที่ ให้เสียที ทั้งที่รับปากแล้ว"

"พ่อคงจะกั้น ให้ นางนั่น...." น้ำเสียงลูกคนโต ตำหนิพ่อ

ส่วนลูกชายคนเล็กก็โกรธ ที่พี่ชายไปต่อว่า ไปดูถูก ว่า ทำการค้าไม่เป็น


ทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟัง  นางได้แต่อ้อนวอน ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลาย
ขอให้ปัญหาต่างๆ คลี่คลายไปด้วยดี  ความสุขของครอบครัว คือความสุขของนาง

       แต่ทว่า ยิ่งนางร้องขอ ยิ่งนาง หวั่นเกรง เรื่องร้อนใจ ต่าง ๆ มิได้บรรเทา
มีแต่จะทวีคูนมากขึ้น ....มากขึ้น และมากขึ้น


      "พ่อตัดลูก ลูกฟ้องพ่อเรื่องมรดก พี่น้องทะเลาะกัน ประกาศไม่เผาผี"

   วันนี้สามีของเธอมาเยี่ยม ด้วยเรือนกายที่ซูบผอม ผมหงอกทั่วศรีษะ  ดวงตาแห้งผาก 
รอยคล้ำใต้ตาบ่งบอกถึงการอดนอน

เสียงแหบพร่า ของชายวัย ย่างเข้าแปดสิบ มีความอ่อนล้าแฝงอยู่

"กิมฮวย...ลื้อได้ยินอั๊วหรือเปล่า?"

"อั๊วเหนื่อย.......เหนื่อยเหลือเกิน" ชายชรากลั้นสะอื้นในอก

"หากเป็นอั๊ว ที่ตายก่อน  ก็คงจะดี..."  ขา เช็ดน้ำตาที่หยาดลงสู่ร่องแก้มที่ซูบตอบ
ก่อนจะซบหน้ากับพื้นซิเมนต์ที่เย็นเยียนของ สุสาน  

เขาคร่ำครวญ ร้องไห้ราวกับเด็ก ๆ....."ทำไม...ฮือ...ฮือ...ทำไมลื้อต้องตาย"

เขาซบหน้าอยู่เช่นเนิ่นนาน...... ราวกับ...จะไม่มีวันลุกขึ้นได้อีกครั้ง

     ตราบจนละอองฝนโปรยปรายแผ่วเบาราวเทพเจ้าบนฟ้าปลอบประโลมชายชราผู้ทุกข์ตรม

เขาเงยหน้ามองฟ้า....มองสายฝนที่รินหลั่ง ก่อนละสายตา มองแผ่นปูนเบื้องหน้า

"มรณะ  23 มิย.25_ _"


"ครบสิบห้าปีแล้วสินะ"  

เขาหยัดกายขึ้นอย่างช้า ๆ  "เป็นบุญของลื้อที่ไม่ต้องอยู่ดูลูกทะเลาะกัน..."

"โชคดี...ของลื้อที่ตายก่อน"

เขาเดินจากไป ละทิ้งนางไว้กับมั่งมีและศรีสุข ให้อยู่กับโลกเล็ก ๆ ในสุสานที่เงียบเหงา

และเย็นยะเยือก

นางมองสามีด้วยสายตา ที่พร่าเลือน น้ำตานางรินไหล แข่งกับสายฝนที่รินหลั่ง        

"ใช่...อั๊วโชคดีจริง ๆ"







คุยกันท้ายโจทย์  เป็นตะพาบ แบบมือสมัครเล่น ออกเดินบ้าง นั่งนอนเล่นเกียจคร้านบ้างในยามที่ชาวตะพาบ ขมีขมัน ออกเดินกันทุกหลักกิโล

โจทย์วันนี้ ตอนอ่านเจอ ก็ผ่านเลยไป คิดว่า ไม่มีพล๊อต รออ่านของเพื่อน ๆ ชาวตะพาบดีกว่า
แต่ในวันที่ฝนพร่ำ  คนบนฟ้า ก็ส่งพล๊อตเรื่องมาให้ จึงออกมาได้ ประมาณนี้ค่ะ

ขอบคุณ...คุณเป็ดสวรรค์ ที่ตั้งโจทย์ ให้พ้องเพื่อน
ขอบคุณเพื่อน ๆ ทั้งตะพาบ และไม่ตะพาบ ที่มาอ่านทิ้งคอมเม้นท์
ขอบคุณพื้นที่บล็อกแก็งค์ 
ขอบคุณ...คนบนฟ้าที่เป็นแรงบันดาลใจ
ขอบคุณ  Line จากเนยสีฟ้า
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน๊ต



Create Date : 21 มิถุนายน 2556
Last Update : 23 มิถุนายน 2556 9:49:14 น. 50 comments
Counter : 858 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ

เช้านี้ วันอาทิตย์ ปกติจะไม่เข้าบล็อก หรือเปิดคอมพ์ แต่วันนี้ มีงานตะพาบ ซึ่งได้เขียนไว้เพราะแรงบันดาลใจจากคนบนฟ้า ดังที่กล่าวค่ะ จึงหยิบยืมคอมพ์ของนายต้น อัพบล็อกไว้ก่อน

วันนี้แวะทักทาย อ่านงานเพื่อนตะพาบได้ไม่กี่ท่าน
คงต้อง พักไว้ก่อนค่ะ
พรุ่งนี้ อาจเป้นช่วงบ่ายจึงได้เข้าไปทักทายเพื่อน ๆ นะค่ะ

มีความสุขกับกิจกรรมวันหยุดทุกท่านค่ะ



โดย: ตาลเหลือง วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:9:41:12 น.  

 
แวะมาอ่านตะพาบค่ะ
มีความสุขกับวันหยุดเช่นกันนะคะ
newyorknurse


โดย: newyorknurse วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:10:38:03 น.  

 
มาอ่านตะพาบค่ะพี่

สวัสดีวันหยุดที่ร้อนๆค่ะ อิอิ





โดย: ญามี่ วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:12:50:11 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณตาล

ไม่ใช่มือสมัครเล่นแล้วค่ะ
อ่านเพลินเกินห้ามใจไปจนจบ
มาหักมุมตรงซบหน้ากับพื้นซีเมนต์ที่เย็นเยียบ

รู้สึกสงสารชายชราเสียจริงๆ
คิดถึงพ่อตะหงิดๆอินมากไปหรือเปล่า
แต่พ่อโชคดีค่ะ เพราะลูกๆรักและสามัคคีกันดี

แอมอร


โดย: peeamp วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:12:57:12 น.  

 
สวัสดีค่า มาอ่านตะพาบค่ะ ^^
ชอบๆค่ะ เขียนเก่งออก
มีความสุขมากๆในวันหยุดเช่นกันนะคะ



โดย: lovereason วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:13:57:09 น.  

 
ชอบจังค่ะ อ่านแล้วเป็นเรื่องสั้นที่ดีได้อีก
เรื่องหนึ่งเลยนะค่ะ


โดย: JewNid วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:14:24:27 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณตาล..

แวะมาอ่านตะพาบด้วยค่ะ..

โชคดีที่ตายก่อนนะค่ะ..

มีความสุขมากๆนะค่ะ



โดย: คนผ่านทางมาเจอ วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:15:01:31 น.  

 
รู้สึกหักมุมนิดหน่อย

ฉากที่บอกว่า "เขาเงยหน้ามองฟ้า....มองสายฝนที่รินหลั่ง" ให้ความรู้สึกสิ้นหวังดีจริงๆ


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:15:31:29 น.  

 
โชคดี 2 วาระ ความหมายเดียวกัน
อวยพร และ จากลา ใช่เปล่าครับ


โดย: panwat วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:19:08:26 น.  

 
เข้ามาอ่านตะพาบของพี่ตาลครับ
อ่านจบแล้วอยากเคาะสนิมเขียนเรื่องสั้นบ้างครับ


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:19:49:35 น.  

 
อ่านเพลินเลยค่ะ

คนเรากว่าจะรู้คุณค่าของสิ่งนั้น มันก็สายไปแล้ว


โดย: ซองขาวเบอร์ 9 วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:20:27:22 น.  

 
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่ะพรุ่งนี้ค่ะ จะตระเวนอ่านของเพื่อนๆ ค่ะ
สัญญาค่ะ^^


โดย: ตาลเหลือง IP: 115.67.134.163 วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:20:42:10 น.  

 

like ให้เป็นคนที่ 2
อ่านไปเศร้าไปแต่แฝงสัจธรรมล้ำเลิสเลยค่ะ



โดย: อุ้มสี วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:21:08:13 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับพี่ตาล










โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:6:35:07 น.  

 
นั่นสิ เดินเรื่องมาเหมือนว่ายังมีชีวิตอยู่
มาเอะใจว่าทำไมต้องซบหน้าลงกับพื้นซีเมนต์
โหย อ่านแล้วขนลุก ... โหวตค่า ^^

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ตาลเหลือง Literature Blog ดู Blog



โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:10:48:45 น.  

 
สวัสดีค่าพี่ตาล ..นั่นแน่มีตะพาบออกมาด้วยฝีมือและสำนวนการเขียนดียุนะคะกว่าจะเข้าใจความรักทนได้ตั้งห้าสิบปี..นางลาโลกไปเลี้ยวนิ

อู่ยยยยย...โชคดีจริงๆ...ไลท์ๆๆ
พี่ตาลเขียนเก่งอ่ะคะ มีความสุขมากๆนะค่ะ


โดย: mastana วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:12:42:09 น.  

 
เศร้านะคะ
โชคดี ที่ไปก่อนจริงๆ
หลายๆครอบครัว
เป็นแบบนี้..


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:14:34:19 น.  

 
เขียนได้เก่งเลยครับนี่ ฝึกๆๆๆ เขียนเยอะๆต่อไปจ้า อย่าหยุดเลยเชียว แล้วมันจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆเองแหละครับคุณตาล


โดย: ปลายแป้นพิมพ์ วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:14:59:32 น.  

 
คำถามที่พี่ตาลถามไว้
ผมขอนำมาตอบในก๋าราณีเลยนะครับ




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:15:03:01 น.  

 
มาทักทาย และอ่านเรื่องราวของคำว่า โชคดีค่ะ มีหลากหลายนิยามเลย


โดย: sawkitty วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:15:37:55 น.  

 
งานเขียน ชนิดใช้บทสนทนา
เดินเรื่อง น่าสนใจมาก และ
เขียนเก่งด้วยครับ

เขียนอีกนะ ผมจะแวะมาอ่านอีกครับ


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:20:14:40 น.  

 
แวะมาเยี่ยมยามค่ำ….สวัสดีครับ

ตามมาอ่านผลงานตะพาบด้วย เขียนได้ดีครับ


โดย: **mp5** วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:20:51:52 น.  

 
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่ะพรุ่งนี้ค่ะ จะตระเวนอ่านของเพื่อนๆ ค่ะ
สัญญาค่ะ^^


โดย: ตาลเหลือง IP: 223.207.48.184 วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:21:16:04 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่ตาล ขอบคุณที่ไปอ่านงานตะพาบกิ่งค่ะเขียนเค้าโครงจากเรื่องจริงค่ะ เพราะแต่ละปีมีเด็กๆต้องจากไปเพราะวัยอันควรทำความเศร้าโศกเสียใจให้แก่พ่อ แม่ พี่น้อง เพื่อนๆครูบาอาจารย์มิใช่น้อยกิ่งจึงเขียนเรื่องเพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจว่าโชคดีอาจจะมาพร้อมกับโชคร้ายก็ได้นะคะ

มาอ่านตะพาบของพี่ตาลต้องขอปรบมือให้เลยค่ะเขียนได้ดีมากค่ะ กิ่งอ่านเพลินเลยค่ะ น่าสงสารชีวิตครอบครัวที่แตกแยกนะคะ

กิ่งไลท์ให้ก่อนนะคะเป็นคนที่ 5 โหวตหมดแล้วค่ะ หลับฝันดีค่ะ



โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:22:28:33 น.  

 
ขอแก้คำผิดหน่อยนะคะ "ก่อนวัยอันควร นะคะ ไม่ใช่ จากไปเพราะวัยอันควร ค่ะ แหะ แหะ


โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:22:31:31 น.  

 
~ เป็นอีกมุมของพี่ตาลที่แปลกมากๆๆเลย ค่ะ ~


โดย: ~ ริมน้ำ_voUฟ้า ~ (rimnam_kobfa ) วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:23:17:35 น.  

 
สวัสดีครับพี่ตาล







โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:7:07:32 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณตาล
เขียนได้หักมุมดีค่ะ อ่านมาตรงทำไมลื้อต้องตาย
อ่านแล้วสะดุดเลยค่ะ อ่านแล้วเดาใจคนเขียนไม่ได้เลยนะคะเนี่ย
แบบนี้ไม่ใช่มือสมัครเล่นแล้วล่ะคะ

อ่านแล้วเศร้าค่ะ เป็นงานเขียนที่สะท้อนสังคมปัจจุบันได้ดีทีเดียวเลยค่ะคุณตาล






โดย: แค่ได้รู้จัก_ก็เพียงพอ วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:7:40:27 น.  

 
:: ก๋าราณีตอบคำถามพี่ตาล ::


“สติ” กับ “สมาธิ” ทำเอาสับสนเช่นกัน

แล้วถ้าอย่างเช่น พี่ล้างจานไปเรื่อย ๆ แต่ใจไม่จดจ่อที่งาน(ล้างจาน)
แต่คิดเรื่องอะไรบ้างอยู่ จู่ๆ ก็คิดออก
กรณีนี้ คือ ล้างจาน ใช้ความเคยชินเพราะทำจนชำนาญ
แต่ “สติ” ไปจดจ่อเรื่องที่สนใจ จนตั้งมั่นเป็น “สมาธิ” และคิดออก
แบบนี้หรือเปล่าคะ

สรุปถ้าพี่ทำงานฝีมือ ปักครอสติช
พอสติเผลอ ปักด้ายผิดสี นี่คือไม่มีสติใช่ไหมคะ
พอทำไปแล้วจิตสงบเบิกบาน นี่คือสมาธิ

แต่การทำงานฝีมือจะไม่เกิดปัญญา
เพราะเราทำตามแพทเทิร์น
แต่หากมีไอเดียของตัวเอง นั่นคือ ปัญญา

แต่เป็นปัญญาทางโลก

ถ้าพี่จะให้เกิดปัญญาทางธรรม
ใช้งานฝีมือเป็นตัวกำหนดให้เกิดสมาธิได้หรือเปล่าค่ะ
( ประมาณว่าเป็นคนไม่ชอบนั่งสมาธิ ไม่ชอบเดินจงกรม ไม่ชอบสวดมนต์ค่ะ)



คำถามโดย : ตาลเหลือง




--------------------------------------------




สมาธิ สติ ปัญญา
ทั้งสามคำนี้ตอนแรกผมสับสนมากว่ามันคืออะไร ต่างกันตรงไหน

หนึ่งในคำอธิบายที่ผมว่าเข้าใจง่ายก็คือ
ให้เราหลับตาแล้วลองนึกจินตนาการไปถึงสายน้ำแห่งหนึ่ง
ที่น้ำไหลเชี่ยวมากจนน้ำในสายน้ำแห่งนั้นขุ่นข้น

จิตใจเราเหมือนสายน้ำนี้ที่ถูกพัดพาไปยังที่ต่างๆ
ไปเก็บรับเอาสิ่งต่างๆทั้งดิน ทราย โคลน ขยะเข้ามาไว้ในตัว
จากน้ำใสๆ กลายเป็นน้ำสีขุ่น

การทำสมาธิโดยคิดว่าต้องหยุดทุกอย่าง
จึงเหมือนการเอาแผ่นหินไปกั้นสายน้ำเอาไว้
วิธีนั้นสำหรับผมมีแต่ยิ่งทำให้สายน้ำเอ่อท้นและยังขุ่นข้นเหมือนเดิม

วิธีทำให้น้ำใสของผมคือการใช้ภาชนะอะไรก็ได้
ตักนำนั้นขึ้นมาพักไว้
ให้มันนิ่ง นิ่งจนโคลน ทราย หิน ใบไม้ใบหญ้า
หรือแม้แต่ขยะทั้งหลายได้ตกตะกอนนอนก้น หรือลอยขึ้นมาเหนือน้ำ

“สมาธิ” เกิดขึ้นตรงจุดนี้
คือการพักวางสิ่งต่างๆที่ลากดึงเราไปทางนั้นทีทางนี้ที
ให้หยุดและนิ่งในชั่วขณะ


...................................



โดยธรรมชาติแล้ว “จิต” หรือ “ความคิด” ของคนเรานั้น
ทำงานเร็วมาก
เห็นปุ๊บ จำปั๊บ สมองทำงานทันที
ได้ยินเสียงก็รู้สึก สัมผัสร้อนหนาวก็รู้สึก
ได้กลิ่น ได้ชิม ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่
ขอเพียงมีสิ่งต่างๆกระตุ้น สมองของเราพร้อมทำงานทันที
การทำงานของสมองคือการคิด
คิดเสร็จคิดต่อว่าชอบ-ไม่ชอบ ใช่-ไม่ใช่
เกลียด-รัก อยากได้-ไม่อยากได้ ฯลฯ

แล้วสิ่งที่คิดจะถูกบันทึกลงไปในสมอง
เกิดเป็นความจำ เมื่อจำได้และเกิดความรู้สึก
หากถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเดิมๆ
ความคิดหรือจิตจะสนองตอบสิ่งนั้นไปตาม “ความเคยชิน”

เจ้า “ความเคยชิน” นี้เองที่ก่อให้เกิด “นิสัย”
“สันดาน” จนไปถึง “ตัวตน”


.................................



ระดับของ “สมาธิ” ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรใน “ความเคยชิน”
“ความเคยชิน” เหมือนสายน้ำหลากไหลและพัดพาทุกสิ่งอยู่ตลอดเวลา

น้ำขุ่นอย่างไรก็ยังขุ่นอยู่อย่างนั้น

แต่ “สติ” จะทำให้น้ำในภาชนะนั้นนิ่ง
นิ่งอย่างต่อเนื่องจนเกิดความสงบ
เมื่อสงบน้ำจะเริ่มหายขุ่น
ในภาชนะนั้นเราจะมองเห็นโคลน ดิน ทรายที่นอนก้น
จะมองเห็นขยะที่ลอยอยู่ด้านบนของผิวน้ำ

“สติ” จะทำให้เรามีเวลาพิจารณาว่าอะไรคือขยะ อะไรคือสิ่งสกปรก
ที่ควรนำออกไปจากน้ำนั้น
และจะนำมันออกไปได้อย่างไร


“สติ” คือ “สมาธิที่ต่อเนื่อง”
ทั้งสองสิ่งเป็นสิ่งเดียวกัน


..............................


เมื่อสมาธิเกิด สติมี
“ปัญญา” จะตามมา

“ปัญญา” นั้นมีอยู่แล้วในตัวเราทุกคน
มีมาแต่ดั้งเดิมเหมือนสัญชาตญาณในการใช้ชีวิตของมนุษย์
เพียงแต่เราหลงลืมไปเพราะไม่ค่อยได้ใช้
หรือสมองไปบันทึกวิธีการผิดๆเข้ามาแทนที่

เมื่อสมองถูกโปรแกรมใหม่หรือใส่ความเชื่อใหม่เข้ามาแทน
“ปัญญา” ที่เคยมีก็ถูกบดบัง ถูกกดทับจนไม่อาจใช้งานได้

“ปัญญา” นี้ไม่จำเป็นต้องแสวงหา
ไม่จำเป็นต้องหาวิธีเพิ่มเติมเพราะมันเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว

ไม่เหมือน “ความฉลาด” หรือ “ความรู้”
ที่เราเพิ่มเติมได้
ไม่รู้...อ่านจนรู้
ทำไม่เป็น...ทำซ้ำๆจนเป็น
ถามมาก ตอบมาก เขียนมากก็ทำให้ฉลาดขึ้น
แต่นั่นยังไม่ใช่ “ปัญญา”

“ปัญญา” เป็นเหมือนพระอาทิตย์ประจำตัวที่ทุกคนมีอยู่แล้ว
แต่ทุกคนก็มี “เมฆหมอก” ที่ตนเองสร้างขึ้นด้วยเช่นกัน
ความหลงผิด ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง
ทัศนคติในเชิงลบต่อทุกสิ่ง ความโกรธ เกลียด โลภ หลง ฯลฯ
กลายเป็นเมฆดำที่บดบังแสงสว่างในตัวเราไปเรื่อยๆ

ใครมีสิ่งนี้มาก “ปัญญา” จะถูกบดบังจนทึบแสง
ใครบดบังน้อย ย่อมใช้ปัญญาได้เต็มที่

ตัวอย่างของการใช้ “ปัญญา” ที่เด่นชัด
คือการคิดค้นทฤษฏีใหม่ๆของนักวิทยาศาสตร์
ส่วนใหญ่คนเหล่านั้นไม่ได้คิดได้จากการคิดด้วยหลักวิชาการ
แต่เป็นความคิดแบบ “ปิ๊งแว๊บ” ที่เกิดขึ้นมาในขณะที่ไม่ได้คิด

เหมือนนักร้องชื่อดังที่คิดงานเพลงห้าเดือนแต่เขียนเพลงไม่ได้เลย
พอเขาหยุดและทำใจให้ว่างจากการคิด
ขณะนั้นเกิดความคิดปิ๊งแว๊บขึ้นมา
แล้วเขาก็ใช้เวลาเขียนเพลง 15 เพลงรวดเดียวจนเสร็จ

ฯลฯ


ทั้ง “ความฉลาด” และ “ปัญญา” เป็นสิ่งเกื้อหนุนกัน
เหมือน “สติ” และ “สมาธิ” ที่ไม่จำเป็นต้องไปแยกว่าอะไรสำคัญกว่า
หรือสิ่งใดจะเกิดขึ้นก่อนกัน


...................................


ถ้า “สมาธิ” ทำให้น้ำในภาชนะนิ่ง
“สติ” ก็ทำให้น้ำนั้นหายขุ่น แยกขยะกับน้ำออกจากกัน
“ปัญญา” คือ กระบวนการในการนำขยะและโคลนทั้งหมดออกจากน้ำ


สมาธิ-สติ-ปัญญา
เป็นสิ่งเดียวกัน
เพียงแต่ทำหน้าที่คนละอย่าง

เหมือนเรากินข้าว
มองข้าวในจาน
ตักกับข้าว
ยกช้อนใส่ปาก
เคี้ยว
กลืน


เหมือนเราทำงานฝีมือ

มองด้าย
จำวิธีสร้างงาน
เริ่มถักทอ
เกิดลวดลาย ต่อดอก
ถักต่อไปจนเสร็จ
ได้ผลงาน


สมาธิ-สติ-ปัญญา

ผมว่ามันสามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้หมด
ขณะที่เราทำสิ่งหนึ่งๆนั้นอย่างตั้งใจ อย่างทุ่มเท
และไม่ได้คาดหวังอะไรมากไปกว่าการทำสิ่งนั้นอย่างดีที่สุด
ตามหน้าที่ที่ทำอยู่ในขณะนั้น


..................................


ตอนที่ อาร์คีมีดีส ค้นพบวิธีทดสอบมงกุฎทองคำของกษัตริย์
ว่าจริงหรือปลอม
เขากำลังอาบน้ำอยู่
เขาไม่ได้จดจ่อกับการอาบน้ำ
แต่ในช่วงที่สมองละวางจากการคิด
กลับได้รับคำตอบที่เกิดขึ้นจาก “ปัญญา” ว่า
ถ้าเขาสามารถหาปริมาตรของมงกุฎได้
ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่ามงกุฎนั้นมีโลหะอื่นเจือปนหรือไม่
การค้นพบนี้ทำให้เขาร้องตะโกนด้วยภาษากรีกว่า “ยูเรกา-eureka”
ซึ่งมีความหมายว่า “ฉันพบแล้ว” นั่นเอง


ขณะที่พี่กำลังทำงานฝีมือ
แล้วเกิดบังเอิญได้ค้นพบคำตอบอะไรบางอย่าง
นั่นก็เป็น “ยูเรก้า” ของพี่นะครับ

เหมือนพระบางรูปที่ขบคิดปริศนาธรรมเป็นเวลานาน
แต่ขบปัญหาอย่างไรก็ขบไม่แตก
วันหนึ่งขณะกวาดลานวัดด้วยจิตว่างๆ
กวาดพื้นดินแต่ทำก้อนหินกระเด็นไปโดนกอไผ่
เกิดเสียงดัง “แต๊ก”
แล้ววินาทีนั้นท่านก็ไขปัญหาธรรมนั้นจนหมดสิ้น
นี่ก็เป็น “ยูเรก้า” ในอีกรูปแบบหนึ่ง
ที่ทางเซนเรียกว่า “ซาโตริ” หรือ “การบรรลุธรรม”


..........................................


“บรรลุธรรม” สำหรับผมจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินขีดความสามารถของมนุษย์ทุกคน
“บรรลุธรรม” “ยูเรก้า” หรือ “ซาโตริ” สำหรับผม
คือการที่คนๆหนึ่งได้ค้นพบ “ความจริงที่จริงแท้”
ความจริงตามธรรมชาติที่ไม่ได้ถูกแต่งเติมเสริมเพิ่มเติมโดยมนุษย์
เป็นความเชื่อ ความศรัทธาที่ใสสะอาด
ไม่ถูกเจือปนไปด้วยอคติใดไม่ว่าทางการเมือง การปกครองหรือศาสนา

“ความจริงที่จริงแท้” นี้มีอยู่ในทุกศาสนาโดยไม่แบ่งแยก

ถ้าใคร “ค้นพบ” ได้
เขาก็รู้ธรรมตามความเป็นจริง

โดยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเหมือนกัน
ไม่ต้องนับถือศาสนาเดียวกัน
ไม่ต้องเชื่อและศรัทธาเหมือนกัน
ไม่ต้องใช้วิธีการหรือรูปแบบเดียวกัน

คนเรามีความแตกต่าง
การอยู่รวมกับความแตกต่างอย่างเข้าใจ
จะทำให้เราได้ค้นพบว่า
มีวิธีการมากมายในการเข้าถึงธรรมะหรือความเป็นจริงแห่งชีวิต

เมื่อไหร่ที่ค้นพบ
ก็ได้พบ
เมื่อพบแล้ว
ปัญหาที่เคยสงสัย...จะคลี่คลายหายสงสัย

เมื่อหายสงสัย
และได้รู้คำตอบอย่างแท้จริง

ความสุขสงบจะเกิดขึ้นที่จิต
เมื่อจิตสงบ มันจะไม่มีทุกข์หรือสุข
จะไม่ใช่สงบหรือฟุ้งซ่าน

จะมีแต่หน้าที่
มีการรับรู้ถึงความจริงที่เป็นอยู่
เกิดการยอมรับ เกิดการเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้น
สามารถอยู่ร่วมกับทุกสิ่งอย่างเข้าใจ
ไม่ฝืนธรรมชาติ ไม่เห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจตนเอง


ที่สุดแล้ว...
จากน้ำขุ่นกลายเป็นน้ำใส
จากน้ำใสกลายเป็นไม่มีน้ำ
ไม่มีแก้วน้ำ ไม่มีถังน้ำ
ไม่มีภาชนะใดๆรองรับน้ำ
ไม่มีแม้แต่สายน้ำ


ถึงตรงนี้แล้ว
แม้แต่ความใส และความขุ่นก็ไม่มี.


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:8:37:39 น.  

 
จะสว่างทางธรรม หรือทางโลก อาจใช้ทางสายเดียวกันได้
แต่ขึ้นอยู่กับ ปัญญาที่ ตามมา ว่า เราจะนำปัญญาหรือว่า สว่างวาบ นั่น ไปคิด พิจารณาสิ่งใด

คิดเรื่องทางโลก ก็ได้ เรื่องทางโลก
คิดให้เป็น ธรรม ก็ได้ ธรรมะ

.
.
.
ถูกต้องเลยครับพี่
ทางทุกสาย
ล้วนทางสายเดียว
คือนำเราไปสู่การค้นพบอะไรบางสิ่งเสมอครับ


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:10:50:13 น.  

 
สวัสดีครับคุณตาล

เรื่องแนวนี้ นี่เป็นปัญหาอยู่คู่กับสังคมไทยมานาน แล้วก้คงจะไม่หายไปง่ายๆแน่นอนเลยครับ
ฝีมือการเขียนนี่ ในพันทิปแล้ว จัดว่าอยู่ในแถวหน้าได้เลยนะครับ
ปรบมือให้เลยครับ
แถมกดlikeให้อีกด้วยนะครับ


โดย: multiple วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:11:23:53 น.  

 


วันนี้ ปอป้าพาพ่อนาคกับลูกสาว (แม่พราหมณี)
มากราบขอบพระคุณในทุกกำลังใจที่มีให้กับครอบครัวของเรา...นะคะ

หลวงพ่อจะสึกวันที่ ๒๗ นี้ และอยู่รักษาศึลแปดต่ออีก ๓ วัน

ขอบุญกุศลทั้งหลายที่หลวงพ่อตั้งใจเพียรปฏิบัติตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน
จงอำนวยผลให้เพื่อนบล๊อกเพื่อนเฟสทุกท่านประสบแต่สิ่งที่ดีงาม
มีสุขภาพแข็งแรง มีความสุข ความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมตลอดไป...ค่ะ




โดย: พรหมญาณี วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:13:40:36 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณตาล

เป็นตะพาบน้องใหม่เหรอค่ะ

สู้ตะพาบเก่าได้แน่นอน เชียร์ๆๆ

ตกลงน้องต้นเล็งที่ไหนไว้ค่ะ



โดย: สมาชิกหมายเลข 861805 วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:15:01:54 น.  

 
แวะมาขอบคุณพี่ดี ที่ไปอวยพรให้ในวันเกิดนะคะ



อยุธยา วัดเก่าโบราณ มีมากมายเลยนะคะพี่
และอยู่ติดๆกันด้วย ไปวันเดียวเที่ยวไม่ทั่วเลยค่ะ
บางที่ก้อไปซ้ำ บางที่ก้อยังไม่เคยได้ไปเลยนะคะ
มีโอกาสต้องไปอีกค่ะ



โดย: ดาวริมทะเล วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:15:15:41 น.  

 
ตะพาบงวดนี้ เขียนได้ดีทีเดียวเลยค่ะพี่ดี

โชคดี ที่ตายก่อน เป็นเรื่องจริงเลยนะคะ



โดย: ดาวริมทะเล วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:15:22:49 น.  

 
มากดไล้ค์ให้ตะพาบสนุกๆค่ะ
แอบเศร้าหน่อยๆนะคะ
เขียนได้เก่งที่เดียวค่ะ อ่านเพลิน
ไล้ค์ก่อนนะคะ ช่วงนี้งบหมดเร็ว
ตะพาบออกกันเยอะค่ะ แหะๆ

ขอบคุณที่ไปบล็อกความงามนะคะ
บล็อกนั้นไม่ใช่หน้าหลักค่ะ
วันนี้ออนหลายบล็อกด้วยกัน
หน้าหลักเป็นเพลงค่ะ
พรุ่งนี้จะเปลี่ยนเป็นต้นไม้ละ



โดย: mambymam วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:15:31:48 น.  

 
สวัสดีครับพี่ตาล ไม่ค่อยได้เห็นบล็อกนี้ออกเดินตะพาบนะเนี่ย ทั้งที่ฝีมือเขียนเรื่องแจ๋วเลยครับ ^^

ถึงว่าล่ะ 15 ปี แม่ไม่เปลี่ยนไปเลย เพราะนอนอยู่ในหลุมนี่เอง
สามีภรรยาวัยใกล้ฝั่ง วันๆก็กังวลแต่ว่าใครจะตายก่อนใคร คนที่จากไปก่อนคงเป็นคนที่โชคดีกว่าจริงๆครับ ในเรื่องนี้นอกจากจะต้องเสียใจที่เสียภรรยาแล้วยังต้องดูลูกๆทะเลาะกันอีก


โดย: ชีริว วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:20:10:04 น.  

 
ฮาพี่ก๋า
...
มีบริการก๋าราณีนอกสถานที่ด้วย


โดย: ชีริว วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:20:11:58 น.  

 
สวัสดีครับพี่ตาล อิอิ เขียนงานตะพาบได้ดีมากๆ ครับ

หักมุมจนคิดไม่ถึงเลยนะครับ

ทุกอย่างไม่มีสิ่งใดจะคงที่ การติดยึดสิ่งใดไว้ก็ล้วนเป็นทุกข์จริงๆนะครับ แหะๆแอบอินจากในเรื่องน่ะครับผม ^^

ขอบคุณที่มาให้กำลังใจนะครับพี่ตาล

พวกเราทุกคนโชคดีที่มีในหลวง แล้วก็มีศาสนาพุทธนะครับ อิอิ ^^






โดย: วนารักษ์ วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:21:32:40 น.  

 
สวัสดีค่ะ
เป็นความโชคดี ที่โชคดีจริงๆรึเปล่านะ ?? เพราะก็ยังคงรับรู้
เรื่องราวให้ปวดร้าว .......
เขียนดีนะคะ มีหักมุมด้วย ...

ฝันดีค่ะ




โดย: NENE77 วันที่: 25 มิถุนายน 2556 เวลา:22:16:49 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับคุณตาล
เก่งเนาะเขียนได้แหล่มมากครับ อ่านเพลินเลย กดไลค์คนที่แปดครับ


โดย: ลุงกล้วย วันที่: 26 มิถุนายน 2556 เวลา:6:32:37 น.  

 
สวัสดียามสายค่ะคุณตาล





โดย: แค่ได้รู้จัก_ก็เพียงพอ วันที่: 26 มิถุนายน 2556 เวลา:10:35:27 น.  

 
คนที่ไม่หมุนตามโลก
ย่อมเหนื่อยจริงๆครับ
ผมเป็นบ่อยๆ


โดย: เป็ดสวรรค์ วันที่: 26 มิถุนายน 2556 เวลา:16:25:47 น.  

 
ปลดปล่อยกับงานเขียน....
มีความสุขมากๆกับแวดวงนี้นะคะ
ทั้งสำนวน..ภาษา...ยังลื่นไหล..สวยงามเสมอ...ชอบค่ะ


โดย: เก็บไว้เป็นความทรงจำ IP: 49.48.175.158 วันที่: 26 มิถุนายน 2556 เวลา:19:22:56 น.  

 
ไลค์ที่ 9 ค่ะพี่ดี ครั้งแรกออกตัวสวยงามเลยค่ะ เขียนต่อนะคะ คนชอบอ่านหนังสือ ไม่ใช่ว่าจะเขียนได้ดีทุกคน เชียร์ค่ะเชียร์...

หนูมาช้า...ภารกิจชีวิตแม่บ้านค่ะ ยังไงก็ต้องมาอ่านงานตะพาบของพี่ดีแน่ พี่ดีอัพบล็อกช้า หนูมาทันเลยเห็นมั้ย ไม่ทันจริงๆ ก็ตามได้ค่ะ

*** ลายขนมปังขิงมังคะ หนูก็ชอบ

พ่อแม่ทุกคนคงเสียใจมาก ถ้าลูกๆ พี่น้องทะเลาะกันเอง ยิ่งถ้าเป็นเรื่องสมบัติประดามีด้วยแล้ว เฮ้อ...กลุ้มเลยค่ะ

ในกรณีนี้ ใครๆ ก็คงอยาก "โชคดี" เหมือนนางนะคะ


โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 26 มิถุนายน 2556 เวลา:19:51:13 น.  

 
แวะมาสวัสดียามดึกค่า

ฝนพรำทั้งวันก็เย็นสบายดีนะคะ
ได้กาแฟอุ่น ๆ สักถ้วย จินตนาการคงบรรเจิดนะคะ

จะว่าไปคนตายแล้วก็คงไม่รับรู้อะไรแล้วล่ะค่ะ
นั่นถึงเรียกได้ว่า โชคดีจริง ๆ ^^



โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 26 มิถุนายน 2556 เวลา:21:27:51 น.  

 
มาช้านิดนึง แต่จบทุกตัวอักษรค่าคุณตาล

เดาใจไม่ถูกเลยว่า เป็นอย่างไร
ตอนแรกรินก็คิดว่า นางทิ้งลูกและสามีไว้ไปมีครอบครัวใหม่เสียอีก
สามีเลยต้องมีแม่ให่ให้ลูก
ลูกทะเลาะกันอีก
แต่สุดท้าย 15 ปีผ่านไปแล้วสินะ
นางอยู่ในหลุมนั้นชายชราเดินเข้ามาเล่าให้ฟัง
ลื้อโชคดีจริงๆ ที่ตายก่อน
เข้าใจเลยค่า
หักมุมเป๊าะๆเลย

หากไม่รู้ว่าคุณตาลเป็นคนอ่านหนังสือมากคนหนึ่งรินก็ไม่เชื่อนะเนี่ย อิอิ
คุณตาลมีต้นทุนเรื่องการเขียนมาก่อนแล้วด้วย นับถือค่า



สามผ่านเลยเรื่องนี้
เห็นแล้วอยากกลับมาเขียนตะพาบหักมุมอีก
แต่เวลาไม่ค่อยเอื้ออำนวย ขอตามอ่านงานเพื่อนๆ ดีกว่านะคะ





โดย: Rinsa Yoyolive วันที่: 26 มิถุนายน 2556 เวลา:23:00:12 น.  

 
มาอ่านตะพาบครับ
เงินทองไม่เข้าใครออกใครครับ


โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 27 มิถุนายน 2556 เวลา:0:27:58 น.  

 

สวัสดีตอนเช้าค่ะ



โดย: อุ้มสี วันที่: 27 มิถุนายน 2556 เวลา:7:55:55 น.  

 

คลิกเป็นผู้ที่ติดตามด้วยคนนะคะ



โดย: deco_mom วันที่: 27 มิถุนายน 2556 เวลา:13:39:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ตาลเหลือง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ตาลเหลือง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.