Neroli - Orange Blossom Perfumes Review | รีวิวน้ำหอมตระกูลดอกส้ม
สวัสดีครับ ช่วงอากาศร้อนๆ แบบนี้บางคนอาจจะกำลังมองหาน้ำหอมกลิ่นสดชื่นออกหวานนิดๆ มาลอง กลิ่นตระกูลดอกส้ม (fresh, white floral) นับว่าเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าสนใจและใช้งานง่าย วันนี้เลยมีรีวิวน้ำหอมกลุ่มนี้ฉบับสั้นๆ มาฝากกันเผื่อจะมีประโยชน์กับท่านอื่นๆ เนื่องจากบางตัวยังไม่ค่อยเห็นมีรีวิวสักเท่าไหร่ครับ เวลาเลือกน้ำหอมกลุ่มนี้ลองมองหาโน๊ตอย่าง orange blossom หรือ neroli ครับ ทั้งสองส่วนผสมนั้นได้มาจากดอกส้มเหมือนกัน แต่มีกลิ่นที่แตกต่างกันเล็กน้อยเนื่องมาจากกรรมวิธีการสะกัดกลิ่นที่แตกต่างกัน ส่วนตัวคิดว่า orange blossom จะออก floral กว่า ส่วน neroli จะมีความเขียวขึ้นมาเล็กน้อย (Image source: @renata.plachta.art) _____________________ 1. Van Cleef & Arpels Néroli Amara Top notes: Bergamot, Italian lemon, mandarin orange Middle notes: Black pepper, cypress, orange blossom, pear Base notes: Neroli, white musk
สำหรับตัวแรกจาก Van Cleef & Arpels นี้เป็นหนึ่งในน้ำหอม unisex จาก Collection Extraordinaire ที่ออกมาในปี 2018 ตัวนี้จะเปิดมาด้วยกลิ่นสดชื่นจากส้ม มะกรูด และมะนาว พอไปสัก 1-2 ชั่วโมง กลิ่นจะ soft ลง ออกละมุนขึ้น
สำหรับ sillage นั้นให้ออกไปทางกลางๆ กลิ่นค่อนข้างติดทน ยังสัมผัสได้หลังจากผ่านไปประมาณ 10-12 ชั่วโมงแล้ว (ส่วนตัวฉีดประมาณ 3 สเปรย์บนเสื้อตัวนอกและเส้นผมครับ) โดยรวมคิดว่าเป็นกลิ่นใช้งานง่ายและไม่เป็นพิษเป็นภัยกับคนรอบข้าง และสามารถใช้ในวันที่อากาศร้อนๆ ได้ครับ
สำหรับท่านใดที่ชอบกลิ่นแนว woody /spicy ขึ้นมานิดนึง แนะนำให้ลอง Cologne Noire จาก collection นี้ครับ _____________________
2. Jo Malone Basil & Neroli
Top Notes: Basil Middle Notes: Neroli Base Notes: Vetiver, white musk
สำหรับตัวที่สองนี้หลายๆ ท่านคงคุ้นเคยกันดี กับ Basil & Neroli จาก Jo Malone
กลิ่นจะเปิดมาด้วย basil ที่มีความเขียวและ herbal จากนั้นไม่นานกลิ่นเขียวจะจางลง แล้วตามมาด้วยกลิ่น soapy สะอาดๆ จาก musk ครับ กลิ่น neroli มีความจางค่อนข้างมาก ต้องตั้งใจดมถึงจะสัมผัสได้ ส่วนตัวแล้วชอบใช้เดี่ยวๆ มากกว่า combine กลับกลิ่นอื่นครับ
สำหรับ sillage นั้นค่อนข้างต่ำตามลักษณะของน้ำหอมค่ายนี้ ความคงทนให้ประมาณ 4 ชั่วโมงครับ _____________________ 3. Le Labo Neroli 36
Top Notes: Orange blossom, mandarin orange, aldehydes Middle Notes: Jasmine, rose Base Notes: Tonka bean, white musk, vanilla
สำหรับตัวที่สามนี้เป็นกลิ่นที่มีคนพูดถึงน้อยและไม่เป็นที่นิยมเท่ากับตัวอื่นๆ จากค่าย Le Labo นี้ ส่วนตัวแล้วเป็นกลิ่นที่ชอบและใช้บ่อยมากที่สุดตัวหนึ่งครับ
ตัวนี้จะเปิดมาด้วย aldehydes เป็นกลิ่นแรก แทรกมาด้วย orane blossom จางๆ ตามมาด้วย white floral จากดอกมะลิ ผ่านไปไม่นานกลิ่น white musk จะตีขึ้นมาชัดเจน และกลายเป็นกลิ่นหลัก หลายๆ ท่านเลยมักจะจัดกลิ่นนี้ให้อยู่ในกลุ่ม soap / powdery มากกว่า
ส่วนตัวแล้วจะฉีด 2 สเปรย์บนเสื้อตัวนอกและอีกหนึ่งสเปรย์บนเส้นผมครับ ความติดทนอยู่ในเกณฑ์ดีมากระดับเกิน 12 ชั่วโมง ยิ่งถ้าฉีดบนเสื้อโค๊ทในช่วงหน้าหนาวด้วยแล้ว กลิ่นสามารถติดทนอยู่เกินสัปดาห์เลยทีเดียวครับ _____________________ 4. Diptyque Eau Des Sens Top Notes: Orange blossom, bitter orange Middle Notes: Juniper berry Base Notes: Patchouli, angelica
สำหรับตัวสุดท้ายนี้มาจาก Diptyque เป็นกลิ่นที่ออกมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ช่วงประมาณปีที่แล้วออกมาเป็น collection พิเศษ ขนาด 30 mL ในขวดสีส้มครับ
ตัวนี้เปิดด้วยกลิ่นดอกส้มชัดเจนมาก แต่จะมีติดความสดชื่น และ tangy มาด้วยจาก bitter orange ส่วนตัวแล้วได้กลิ่น juniper berry ไม่ชัดนัก แต่กลับสัมผัสได้ถึงความ soapy คล้ายกับมีส่วนผสมจาก musk เป็นกลิ่นเบสที่แทรกด้วยความ earthy ตามลักษณะเฉพาะของ Diptyque อยู่ด้วย
กลิ่นนี้ sillage ค่อนข้างกลางๆ และติดทนประมาณ 6 ชั่วโมงครับ _____________________ สำหรับกลิ่นตระกูลดอกส้มอื่นๆ ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมและน่าลอง ก็จะมีเช่น Tom Ford Neroli Portofino Acqua Atelier Cologne Grand Néroli Serge Lutens Fleurs d’oranger Le Labo Fleur D’Oranger Jo Malone Orange Blossom หวังว่ารีวิวฉบับสั้นๆ นี้ จะมีประโยชน์สำหรับท่านที่กำลังมองหาน้ำหอมกลิ่นใหม่ๆ ครับ Have a wonderful day
Create Date : 09 สิงหาคม 2563 |
|
0 comments |
Last Update : 9 สิงหาคม 2563 9:34:40 น. |
Counter : 2473 Pageviews. |
|
|
|