ไม่รู้ว่าเรายึดมั่นถือมั่นในตัวเองเกินไปหรือเปล่า - -"
หลังจากที่ทำอะไรบางอย่างลงไปโดยไม่ทันได้ไตร่ตรองหรือคิดให้รอบคอบลงไปก่อน สุดท้ายก็มานั่งรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำไปมันไม่สมควรทำหรือเปล่านะ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันผิด มันไม่สมควรทำ หากแต่มันก็สายไปแล้ว เพราะเราได้ทำมันลงไปเรียบร้อยแล้ว และเราก็ไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปแก้ไขการกระทำตัวเองในอดีตได้เสียด้วยสิ เฮ้อ - -"
ฉันเชื่อเสมอว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนดูถูกคน ไม่เคยดูถูกความเป็นมนุษย์ของคนอื่น ไม่เคยดูหมิ่นว่าใครจะด้อยไปกว่าตนเองเลย เพราะแต่ละคนก็เลือกเกิดไม่ได้ และตัวเราเองก็ไม่ได้ว่ายิ่งใหญ่มาจากไหน จะว่าไป ฉันเองก็แค่ลูกแม่ค้าคนหนึ่งเท่านั้นด้วยซ้ำ หากแต่ว่าตนเองอาจจะโชคดีกว่าใครๆ ที่มีโอกาสได้ร่ำเรียนจนสำเร็จการศึกษาและได้ทำงานในสายวิชาชีพที่ใครหลายคนยกย่องชื่นชมในระดับหนึ่ง
แต่ก็นั่นแหละ บทบาทที่ฉันเป็นมันก็ไม่ได้ว่ายิ่งใหญ่เกินผู้คนคนอื่นไปเลย ฉันก็ยังเป็นแค่มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา คำนำหน้าชื่อตัว ก็ได้ใช้เฉพาะตอนอยู่ในเวลาทำงาน ตอนอยู่ในเสื้อกาวน์สั้น ที่ปักชื่อบนอกว่า "ภญ." ก็เท่านั้น พอถอดเสื้อออก อยู่นอกรั้วโรงพยาบาล ฉันก็ไม่ต่างอะไรจากคนอื่น กลับมาบ้าน ฉันก็คือลูกพ่อแม่ที่ทำอาชีพค้าขาย เจ้าของร้านอาหารเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่โต ลูกน้องก็ไม่มีด้วยซ้ำ
ใช่ล่ะ..วันหยุด ฉันก็อยู่กับร้านอาหารที่บ้านตัวเอง ไม่ได้มีคนแก่มายกมือไหว้จนฉันรับไหว้ไม่ทันตอนไปอธิบายหรือแนะนำการใช้ยาให้พวกเขาฟัง ไม่ได้มีใครมาเรียกฉันว่า "คุณ" ทั้งๆ ที่เขาเองก็อายุมากกว่าฉัน หากแต่เพราะฉันอยู่ในฐานะที่เรียกได้ว่าเป็นหัวหน้าเขา อาจจะมีบ้างที่เรียกพี่เรียกน้อง เพราะเราก็ไม่อยากให้มีช่องว่างของการทำงาน
หรือเพราะความรู้สึกว่าตัวเองก็มี "ดี" จะอวด มันจึงทำให้เกิดยะโสโอหังขึ้นมาในใจลึกๆ โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
ไม่ใช่ว่าพอตัวเองทำงานแล้วพอมาช่วยงานที่ร้านแล้วต้องทำหน้าที่บริการคนอื่นจะรู้สึกรังเกียจหรือทำไม่ได้งั้นหรอก เพราะตอนทำงาน หน้าที่ของเรามันก็คือการบริการคนอื่นเหมือนกัน เพียงแต่ระดับการให้บริการ มันไม่ใช่ว่าต้องตามใจลูกค้าไปเสียทุกอย่าง แล้วงานที่ร้านตัวเอง ก็ทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว คงไม่ได้นึกมารังเกียจอะไรเอาตอนนี้ ใครจะเรียกพี่ เรียกน้อง เรียกแม่ค้า หรืออะไร ก็ไม่ได้โกรธเคือง (ถึงจะไม่พอใจบ้าง หากแต่มันก็ยังอยู่ระดับที่รับได้) แต่วันนี้ฉันกลับคิดว่าเหตุการณ์บางอย่างมันสุดจะทนจริงๆ
ลูกค้าหญิงชายคู่หนึ่ง ที่ฝ่ายชายเป็นคนต่างชาติ เขาอาจจะติดธรรมเนียมต่างชาติที่ว่า พอเรียกคิดเงินค่าอาหาร ต้องให้ทิปคนเสิร์ฟ เพียงแต่ร้านฉันไม่ใช่ร้านอาหารแบบสวนอาหาร ไม่มีเด็กเสิร์ฟ เจ้าของร้านและลูกๆ ช่วยงานกันเอง ลูกค้าส่วนใหญ่ก็คนรู้จักสนิทสนม เด็กนักเรียน คนทำงาน แล้วค่าอาหารจานละแค่ยี่สิบสามสิบ ใครจะมาให้ทิปกัน ซึ่งพอลูกค้าฝรั่งคนนั้นให้เรียกให้คิดเงิน ฉันก็เดินเข้าไปเก็บ พอถึงเวลาทอนเงิน ก็เพียงแค่สิบบาท เขากลับไม่ยอมรับเงินทอนจากฉัน ฉันก็บอกว่าไม่เอา (เพราะว่าร้านเราไม่เคยว่าต้องมีทิป กำไรค่าอาหารมันก็บวกอยู่แล้วในราคาสินค้า) ซึ่งพอฉันจะส่งให้ ลูกค้าฝ่ายหญิงก็บอกฉันว่าทิป ฉันบอกไม่เอา เธอก็บอกว่าให้ลุง(หมายถึงพ่อฉัน) ..เท่านั้นแหละ .. ความรู้สึกไม่พอใจมันพุ่งจี๊ดขึ้นในใจทันที .. นี่พวกเขาคิดว่า บ้านเราเห็นแก่เงินงั้นเหรอ ฉันไม่เอา แล้วพ่อฉันต้องเอาใช่ไหม .. ฉันเดินกลับเข้าไป โยนเงินเหรียญสิบลงไปบนโต๊ะที่วางกระป๋องใส่เศษสตางค์ ก่อนจะเดินออกจากบ้าน ผ่านโต๊ะที่ลูกค้าสองคนนั้นยังคงนั่งอยู่ ทันที และฉันก็รู้ว่า อย่างน้อยๆ ฝ่ายหญิงที่เห็นกิริยาฉันเต็มๆ คงเข้าใจว่าฉันไม่พอใจ
ฉันไม่รู้อะไรเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองแสดงท่าทางแบบนั้น ประจวบเหมาะว่า ฉันกำลังจะเดินออกไปซื้อของข้างนอกอยู่แล้วลูกค้าก็เรียกเก็บเงินพอดี จะให้เดินผ่านไปเลยก็ทำไม่ได้ พอเกินความไม่พอใจ ก็เลยเผลอแสดงอารมณ์ออกมาโดยไม่คิด แถมยังคิดมากไปว่าเขาดูถูกเรา ดูถูกพ่อแม่เรา ..ฉันเป็นถึงอะไร ทำไมต้องมาทำเหมือนแค่ฉันเป็นเด็กเสิร์ฟด้วยนะ .. คิดในแง่ร้ายไปต่างๆ นานา แล้วไปสงบสติอารมณ์ที่ร้านหนังสือหน้าปากซอยบ้าน (ฉันเป็นโรคจิตที่ว่า หากอยู่ในภาวะเครียด การพลิกหนังสือ จะเป็นวิธีที่ทำให้ฉันผ่อนคลายตัวเองได้) พลิกดูนู้นดูนี่ กระทั่งรู้สึกดีขึ้นก็เดินกลับเข้าบ้าน ลูกค้าสองคนนั้นก็ออกไปแล้ว พ่อแม่ของฉันก็คงไม่รู้อะไร เพราะพอดีที่ว่าตอนนั้นท่านทั้งสองอยู่ในครัว ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่ฉันกระทำลงไป..
แต่มาตอนนี้.. ฉันจึงสำนึกได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปกันนะ ทำไมถึงได้ยึดมั่นถือมั่น ยึดติดกับสิ่งสมมติที่ได้สร้างขึ้น และมองโลกในแง่ร้าย จนกระทั่งแสดงอารมณ์และนิสัยเด็กๆ ออกไป .. ซึ่งต่อให้อีกฝ่ายจะคิดแบบนั้นจริงๆ ฉันก็ไม่น่าที่จะทำแบบนี้ ทำไมไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองบ้างก็ไม่รู้ ..
..ก็ได้แต่หวังกับตัวเองว่านี่คือบทเรียนหนึ่งที่ต้องจำไว้คอยเตือน คอยสั่งสอนตัวเอง เรายังต้องพบเจออะไรอีกมากในชีวิต การที่เราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ มันอาจจะนำพาความเดือดร้อนมาสู่ตนเอง การที่เราอวดดี ยึดมั่นถือมั่นในตัวเองมากเกินไป ไม่มีใครเขามาชื่นชมยินดีด้วยหรอก เขาจะพากันติเตียน ถ้าเรายังมีดีจะอวดก็ยังไม่เท่าไหร่ หากพอสักวันที่ตัวเองเกิดพลาดแล้วล้มขึ้นมา นั่นล่ะ จะมีแต่คนเหยียบย้ำซ้ำเติม ผิดกับถ้าเราอ่อนน้อมถ่อมตน ใครเห็นใครก็รักใคร่ยินดี พร้อมที่จะช่วยเหลือหากเราประสบกับความลำบาก
..ฉันไม่รู้ว่าลูกค้าชายหญิงคู่นั้นจะกลับมาที่ร้านฉันอีกไหม ฉันก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่โกรธเคืองการกระทำที่ไม่คิดของฉัน แล้วพาลพาโลไม่ชอบใจพ่อแม่ฉันไปด้วย อย่างน้อยๆ ความสำนึกผิดของฉัน คงจะพอให้เขาอภัยให้บ้าง และฉันก็คงต้องมีสติระลึกถึงการกระทำทุกอย่างของตนเองให้มากขึ้น ..จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับการกระทำที่ผ่านมาแบบนี้อีก
ปล.กลายเป็นความอัดอั้นตันใจประดับบล็อกไปอีกเรื่องจนได้นะเจ้ามะกอกช่อเอ๊ย - -"
Create Date : 29 เมษายน 2549 |
|
14 comments |
Last Update : 29 เมษายน 2549 22:04:00 น. |
Counter : 516 Pageviews. |
|
|
|