๑. นิทานวันนี้ เกิดขึ้นที่เมืองมุมไบในประเทศอินเดีย
ประเทศที่กีฬายอดนิยมอันดับหนึ่งไม่ใช่ฟุตบอล แต่เป็นคริกเก็ต
๒. ที่เมืองมุมไบ มีชายวัยชราตอนต้นคนหนึ่งชอบนั่งสมาธิทุกวันๆ
วันหนึ่งมีเด็กกลุ่มหนึ่งมายึดเอาทำเลหน้าบ้านเขาเป็นสนามคริกเก็ต จนเขารำคาญ
๓. เพราะเด็กกลุ่มนี้จะส่งเสียงโหวกเหวก รบกวนเวลานั่งสมาธิของเขาอย่างยิ่ง
เขารู้ดีว่า เด็กกลุ่มนี้คงจะปักหลักที่หน้าบ้านเขาไปอีกนาน
๔. ไม่ว่าเขาจะอยากได้ความสงบคืนมาสักแค่ไหน ก็คงไม่สามารถไล่เด็กพวกนี้
ไปได้อย่างถาวร เขาจึงครุ่นคิดว่าจะทำวิธีไหนดี
๕. เขาตั้งสติ คิดอยู่นานก่อนจะเดินลงจากบ้าน ตรงไปหาเด็กๆกลุ่มนั้น
ที่กำลังส่งเสียงอึกทึกเล่นคริกเก็ตกันอย่างสนุกสนาน
๖. แทนที่เขาจะเข้าไปต่อว่าเด็กกลุ่มนั้นมีมาทำลายความสงบ แต่กลับเอ่ยปากชม
ที่เด็กกลุ่มนี้ได้นำความสนุกสนานมีชีวิตชีวามาให้บ้านในละแวกนี้
๗. และขอร้องเด็กๆว่า ให้มาเล่นที่นี่ทุกวัน อย่าย้ายไปที่อื่นเป็นอันขาด
เขาจะให้ค่าขนมสัปดาห์ละ ๒๕ รูปี เด็กๆได้ยินก็ดีใจไชโย
๘. เพราะนอกจากจะได้เล่นสนุกแล้วยังได้ค่าขนมแบบไม่นึกไม่ฝันอีกต่างหาก
อาทิตย์ถัดมาพวกเขาก็กลับมาเล่นที่เดิมอีก และไปเก็บสตางค์ค่าขนมตามที่สัญญา
๙. แต่ชายชราบอกเด็กๆว่าอาทิตย์นี้ ให้ได้แค่ ๑๕ รูปีนะ เพราะการเงินกำลังฝืดเคือง
เด็กก็ยิ้มย่องว่าเอาน่าได้ ๑๕ รูปี ก็ดีกว่าไม่ได้เลย
๑๐. พออาทิตย์ถัดมา เด็กกลับมาอีก คราวนี้เขารีบลงไปต้อนรับเอง
แล้วขอโทษเด็กๆว่าช่วงนี้การเงินย่ำแย่ คงให้ได้แค่ ๕ รูปีเท่านั้นนะ
๑๑. คราวนี้เด็กร้องเฮ้ยยยย.. แล้วไม่พอใจว่า ทีแรกสัญญาไว้ที่ ๒๕ รูปี
ไปๆมาๆจะลดเหลือ ๕ รูปีแบบนี้ มันรับไม่ได้นะลุง
๑๒. งั้นก็เลิกเล่นที่นี่ ไปเล่นที่อื่นดีกว่า เพราะเล่นแล้วไม่คุ้มค่าเหนื่อย
และตั้งแต่นั้นมา เด็กกลุ่มนี้ก็หายไปจากชีวิตชายชรา
นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าโดยพระอาจารย์ชยสาโร ท่านสอนว่า
เด็กที่เล่นคริกเก็ตอาจจะลืมไปว่า ทีแรกพวกเขาก็มาเล่นไม่ใช่เพราะเงินเลยสักรูปี
เขาแค่อยากเล่นสนุก บางทีเรามัวแต่ห่วงเรื่องที่ปรุงแต่งขึ้นมาทีหลัง จนลืมไปว่า
จริงๆเราเริ่มต้นทำสิ่งนั้นเพราะอะไร และยังสอนเรื่องความใจเย็น อดทน
การรับมือกับคนอื่นทำสิ่งที่เราไม่ชอบ อาจไม่ฉลาดนักที่จะวิ่งชนอย่างเดียว